บท
ตั้งค่า

Type 20: หมูหรือเสือ

Type 20: หมูหรือเสือ

กฎข้อที่ 17 ของนักต้มตุ๋น ก่อนจะเลือกเหยื่อ จงพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้วว่ามันเป็นหมู ไม่ใช่เสือ มิฉะนั้น ชีวิตก็อาจปลิวหายไปได้ง่ายๆ

ยามเช้าคือหายนะ เมฆาต้องรีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่เพื่ออาบน้ำ เพราะเกรงว่าห้องน้ำคงจะไม่ว่างพอให้เขาอาบแน่หากถึงเวลาสาย แต่ก็ต้องผจญกับขันหลายใบที่ลอยมาใส่หัวเพราะเด็กสาวหลายคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน หลังจากนวดรอยนูนปูดและเอ่ยปากไล่ทุกคนออกไปด้วยใบหน้าแดงๆแล้วก็ขึ้นป้าย มันเป็นป้ายที่เขาเอาปากกาเมจิกเขียน เป็นสัญลักษณ์รูปผู้ชายแบบที่เขาแขวนเอาไว้หน้าห้องน้ำ เอามาประยุกต์เป็นป้ายอเนกประสงค์ที่แขวนไว้ทุกที่ทั้งห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องทำงาน เป็นการบอกว่ามนุษย์เพศชายเพียงคนเดียวของหออยู่ในนี้นะ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว

เมฆาแช่น้ำร้อนอยู่พักหนึ่งอย่างผ่อนคลาย รู้สึกดีพอที่จะปัดเรื่องน่าหงุดหงิดหลายเรื่องออกไปจากหัว เมื่อเดินออกมาพร้อมแต่งตัวเสร็จ ก็สวนกับผู้หญิงหลายคนที่จ้องเขาเขม็ง มองอุปกรณ์ในเมือแล้วพวกเธอก็คงกำลังจะมาอาบน้ำเหมือนกัน เขารีบจ้ำเดินหนีพวกเธอลงไปในครัว

หอพักแห่งนี้มีเวรทำอาหารเลี้ยงให้ทุกคนกินทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น นักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็เลือกที่จะมากินที่นี่มากกว่าไปกินที่โรงอาหาร เมฆาลองเดินลงไปในครัวดู แล้วพบว่ามีนักเรียนสิบคนกำลังวุ่นวายกับการทำอาหาร

“สวัสดีค่ะผู้ดูแลหอ” ซายองทักเมฆาอย่างร่าเริง เมฆายิ้มตอบ

“สวัสดีครับสาวๆ วันนี้ทำอะไรกินเหรอครับ?” เมฆาทัก ชะโงกหน้าลงไปดูอาหารในหม้อ ส่วนมือก็ผูกผ้ากันเปื้อนพร้อมใส่หมวกอนามัยอย่างตั้งใจช่วยเต็มที่

“นายไม่ต้องช่วยก็ได้นะ” เด็กสาวคนหนึ่งพูดอย่างกีดกัน

“ไม่ต้องห่วง เห็นแบบนี้ผมทำอาหารกินเองแทบทุกมื้อเลยนะ” เมฆาอวดแล้วเริ่มมอง “งั้นผมหั่นผักให้แล้วกัน” ไม่รอให้ใครตอบรับก็หยิบมีดมาหั่นช่วยทันที แม่ครัวทั้งหลายมองหน้ากันอย่างจนปัญญา แล้วปล่อยให้เมฆาทำงานไป

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เมฆาก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ ห้องอาหารมีโต๊ะยาวหลายโต๊ะวางเรียงรายกัน มีนักเรียนหลายคนแต่งตัวเสร็จแล้วมานั่งรอ เมฆายกหม้อแกงไปที่โต๊ะตัวใหญ่ แล้วเริ่มตักอาหารให้นักเรียนที่มาเข้าแถวรออาหาร ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างที่เมฆาตักแจก มองดูผู้ดูแลคนใหม่ทำงานอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไร เมฆาตักแจกแล้วเห็นทุกคนนั่งรอโดยยังไม่กิน ก็รู้ว่าถึงเวลา

“เอาล่ะครับ ใครจะนำสวด?” เมฆาถาม เท่าที่ฟังจากซายองในครัว ที่นี่มีธรรมเนียมอย่างหนึ่งนั่นคือการสวดก่อนอาหาร โดยจะเป็นการสวดแบบคริสต์ แต่ปัญหาคือเขาถือพุทธนี่สิ จะสวดข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่างฯก็คงไม่ได้

“นายนำสิ” ไอกะบอก

“ผมถือพุทธครับ” เมฆาบอก ไอกะยิ้ม

“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงซะก็ไม่มีบทสวดตายตัวอยู่แล้ว นายจะว่าอะไรก็ว่ามาเถอะ หรือว่าพุทธไม่ขอบคุณอาหาร?”

เจอแบบนี้เข้าไปปฏิเสธคงไม่ได้ เมฆาขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า “จะลองดูครับ” เมฆานิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มนำสวดขอบคุณพระเจ้าแบบแปลกๆ

“ขอบคุณชาวสวนที่ปลูกพืชผักให้เราทาน ขอบคุณเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ ขอบคุณแม่ครัวที่ทำอาหารให้เราทาน ขอบคุณสรรพชีวิตที่เสียสละตนเพื่อเป็นอาหารให้เรายังชีพต่อไปในมื้อนี้ ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อกินอาหารในวันนี้ ขอบคุณ”

ถึงฟังดูทะแม่งๆ แต่ก็ไม่มีใครแย้งออกมา ก้มลงมองอาหารแล้วเริ่มกิน เมฆาตักอาหารกินอย่างเงียบๆ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมายที่ไม่มีใครเข้าใจ เด็กหนุ่มรับประทานช้าๆไม่เร่งรีบอย่างสม่ำเสมอ เมื่อทานหมดแล้วก็นำจานชามมาเก็บ ดื่มน้ำ แล้วเดินขึ้นไปบนหอเพื่อทำหน้าที่ผู้ดูแลต่อ

หน้าที่ผู้ดูแลในตอนเช้าคือการตรวจตราดูให้แน่ใจว่าไม่มีนักเรียนหลงเหลืออยู่ในหอพัก จากนั้นก็ปิดไฟและเก็บความเรียบร้อย แล้วจึงทำการล็อกหอเพื่อออกไปเรียนได้ เมฆาลากนักเรียนที่ขี้เซาให้ลุกจากที่นอนแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำหลายคน ผู้หญิงขี้เซามีไม่ใช่น้อยๆ แถมส่วนใหญ่จะกรี๊ดลั่นแล้วใช้ไซต์ใส่เขาไม่ยั้งยังกับเขาเป็นโจร เมฆาต้องใช้ความอดทนมากพอดูถึงจะทำงานเรียบร้อย เมื่อเดินลงมาด้านล่างแล้วล็อคหอเสร็จ เขาก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เฮ้อ เหนื่อยใช่เล่น เมฆาถอนใจแล้วหันหลังกลับ แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่ายูกิมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เฮ้ย! ยูกิ! ตกใจหมดเลยครับ มาน่าจะให้สุ้มให้เสียงหน่อยนะ” เมฆาบ่น แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ยูกิใช้ดวงตาใสแจ๋วเหมือนตุ๊กตามองเขานิ่งโดยไม่พูดอะไรซักคำ เมฆาเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้จะรับมือเธอยังไงดี

“มีอะไรครับ?” เมฆาถาม เธอชี้ไปยังทิศหนึ่งโดยไม่พูดอะไร เมฆามองตามแล้วก็ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าไม้หนาทึบ เอ่อ... ทิศนั้นมันมีอะไรครับ?

“ไปบ้านแก้ว” เธอพูดง่ายๆ เมฆาตรองดูแล้วร้องอ้อ นึกออกว่าแก้วสัญญาว่าจะทำข้าวกล่องให้ และยูกิคงจะมาพาเขาไปแน่ เมื่อคิดได้แล้วจึงยิ้มให้ยูกิ

“ขอบคุณครับ” เขาว่า ยูกิพยักหน้าแล้วหันหลังออกเดิน

น่าอัศจรรย์ใจที่ขาสั้นๆนั้นจ้ำได้ไวชนิดเหลือเชื่อ เธอไปแข่งเดินไวน่าจะชนะใส เมฆาต้องก้าวยาวๆเดินตามมา ทั้งสองเดินไปด้วยกันโดยไม่พูดคุยกัน ถนนเป็นถนนปูหินขนาดไม่ใหญ่นัก พอให้รถแล่นสวนกันได้ สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง มีพันธุ์ไม้คล้ายสนอยู่มากมาย ใบไม้แห้งทับถมกันเป็นชั้นหนามองไม่เห็นพื้นดิน เมฆาก้มลงเก็บลูกสนที่เท้าขึ้นมาดูเล่นๆ มองรอบข้างพอเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงจุดหมาย

มันเป็นห้องแถวสองชั้นขนาดกลางหลังหนึ่ง ตัวอาคารเป็นสีขาว หลังคาสีแดง ด้านหน้าปลูกไม้ดอกหลายแปลงดูร่มรื่น มีสัตว์เล็กๆอย่างไก่และนกอยู่ในลานกำลังจิกกินข้าวสารที่มีคนมาโปรยเอาไว้ บรรยากาศสงบร่มรื่นน่าอยู่ ยูกิเดินไปเคาะประตูห้องหนึ่งเสียงหนักๆสองสามที

“ค่า อ้าว พี่ยูกิแล้วก็พี่เมฆานั่นเอง เข้ามาก่อนสิคะ เพิ่งจะทำเสร็จพอดี” แก้วที่เปิดประตูออกมาร้องทักอย่างดีใจพลางเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน ตัวบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ชั้นล่างเป็นห้องใหญ่ห้องเดียว มีโต๊ะกินข้าวที่ด้านหนึ่ง มีทีวีและตู้เย็น มันไม่กว้างมากนัก พูดกันตรงๆแล้วมันเล็กกว่าห้องพักของเขาเกือบสองเท่าได้ แต่มีบันไดให้เดินขึ้นไปชั้นสอง มีประตูเปิดออกไปด้านหลัง แก้วเดินนำไปยังห้องครัว

ห้องครัวแยกออกมาอยู่ด้านหลังบ้าน ต้องปิดประตูหลังออกไป เป็นห้องขนาดเล็กที่มีเตาแก๊สและเตาไมโครเวฟ ตู้กับข้าว และเครื่องปรุงต่างๆวางเรียงรายอยู่เป็นระเบียบ หม้อหุงข้างส่งควันฉุยออกมาหอมน่ากิน ด้านหลังเป็นพื้นที่โล่งพอสมควร มีพืชผักสวนครัวหลายอย่างปลูกเป็นแปลงอย่างเป็นระเบียบ แก้วกำลังจัดเรียงอาหารลงกล่องอยู่ เมฆากวาดตาไปรอบๆ

“ชินล่ะ?”

“ไปโรงเรียนแล้วค่ะ” แก้วตอบ หยิบกุ้งเทมปุระจัดใส่กล่อง ยูกิเดินไปจ้องตาไม่กระพริบ แก้วมองแล้วหัวเราะคิก

“อยากกินเหรอ? เดี๋ยวแก้วเพิ่มให้นะ” แก้วพูดแล้วหยิบกุ้งใส่กล่อง เมฆายิ้ม ท่าทางอาหารวันนี้จะอร่อย เมฆากวาดตามองไปรอบบ้าน นึกชอบใจที่นี่มากกว่าห้องพักของตัวเองเสียอีก อดรู้สึกอิจฉาเล็กๆไม่ได้ แล้วนึกย้อนกลับไปถึงบ้านที่เคยอยู่กับตา แล้วก็แม่

ที่นี่ให้ความรู้สึกเดียวกัน

ทั้ง 3 เดินเคียงกันมาตามถนน โดยหิ้วกล่องข้าวมาคนละกล่อง มุ่งหน้าไปที่อาคารเรียน เมื่อถึงทางแยกแก้วก็โบกมือลา แยกออกไปทางแผนก ม.ต้น เมฆาเดินต่อไปได้ไม่ไกลก็หยุดยืนกะทันหัน

“คุณไปก่อนนะครับ ผมมีธุระนิดหน่อยเดี๋ยวตามไป ฝากถือข้าวกล่องไปด้วยนะครับ” เมฆาพูด ยูกิพยักหน้าแล้วเดินจากไป เมฆามองจนแผ่นหลังยูกิหายไปก็ถอนหายใจ

“คุณที่อยู่รอบๆนี่ออกมาเถอะครับ” เมฆาพูด เสียงแซ่กๆดังขึ้นรอบๆพร้อมกับการปรากฏกายของนักเรียนเกือบสิบคน แต่ละคนมีอาวุธในมือทุกคน มองไม่ยากว่าไม่ได้มาดีแน่ ทั้งหมดล้อมเมฆาเอาไว้เป็นวงกลม

เมฆากวาดตามองไปรอบๆอย่างประเมินท่าที คิดดิ้นรนหาทางรอดในใจ ปากก็ถามออกไปว่า

“มีธุระอะไรกับผมครับ?”

หนึ่งในนั้นก้าวออกมา เมฆาจำได้ว่าเป็นคนที่พยายามสะกดจิตเขาในคาบเบรนซิงโคร จำได้ว่าชื่อวอนเนอร์ เป็นชายที่มีผมสีทองอร่ามตามเชื้อชาติอังกฤษ ในมือมีดาบญี่ปุ่นยาวหนึ่งเล่ม เขายิ้มยโสให้เมฆา

“ไงเมฆา เรามาชวนนายเข้ากลุ่มน่ะ” วอนเนอร์พูดสบายๆ เมฆาเลิกคิ้วผิดคาดเล็กน้อย

“เข้ากลุ่ม? ผิดคาดนะครับ กลุ่มของคุณเป็นยังไงล่ะ?” เมฆาพูดแล้วล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง เอียงตัวถ่ายน้ำหนักยืนด้วยเท้าข้างเดียวด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ “เป็นกลุ่มพวกจิ๊กโก๋ที่เอาแต่ต่อยตีชาวบ้านไปวันๆ? หรือเป็นพวกที่คอยเก็บค่าคุ้มครองชาวบ้านแบบขอทาน? สรุปว่ากลุ่มพวกคุณมีเป้าหมายอันสูงส่งแบบไหนกัน?”

สิ้นคำที่ดั่งเป็นการตบหน้าจังๆ หลายคนในนั้นคำรามอย่างกราดเกรี้ยว

“ไม่ใช่หรอก มันคือกลุ่มของคนที่ให้สัตย์ปฏิญาณจงรักแก่ข้าคนนี้ต่างหาก” วอนเนอร์พูดอย่างใจเย็นกวัดแกว่งดาบเล่น แผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมา “ฉันต้องการอัศวิน ผู้ที่จะติดตามฉันไปยังจุดสูงสุด” วอนเนอร์จ้องเมฆาด้วยดวงตาสาดประกายกล้า

“ในนามแห่งข้าผู้ปราดเปรื่อง วอนเนอร์ ครอฟอร์ด ขอบัญชา เหล่าอัศวินแห่งข้ารับบัญชา! จงสำแดงเกียรติยศแห่งข้าแก่อริศัตรู!!!” วอนเนอร์ประกาศกร้าว เหล่านักเรียนรอบๆทุกคนก้มศีรษะยกมือขวาทาบอกซ้าย ค้อมตัวลงอย่างนอบน้อยรับคำสั่งเสียงกระหึ่ม

“ชิน” เสียงทักทำให้ชินเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่กำลังอ่าน แล้วพบเบ๊นซ์เดินด้วยท่าทีสบายๆตรงมาหา

“มีอะไร?” ชินทักกลับห้วนๆ อันที่จริงแล้วพวกเขาใช่ว่าจะสนิทอะไรกัน แต่เพราะเมฆาทำให้พวกเขาเหมือนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว

“เห็นไอ้เมฆาปะ” เบ๊นซ์ถามกวาดตาไปรอบๆ

“ตัวไม่ได้ติดกันโว้ย จะไปรู้ได้ไงว่ามันอยู่ไหน”

“หือ? ก็แปลกดีนะ ปกติไอ้หมอนั่นชอบเล่นนายนี่นา” เบ๊นซ์พูดด้วยท่าทีประหลาดใจ

“หมายความว่าไงที่ว่าเล่นน่ะ” ชินพูดเสียงขุ่น เบ๊นซ์หัวเราะแล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด

“เหอๆ ได้ข่าวมาว่าเมื่อคืนมันได้ที่นอนสุดเหลือเชื่อมาด้วยว่ะ”

“ที่ไหน? อันที่จริงถ้ามันไปนอนที่ห้องอาจารย์ใหญ่ได้ฉันจะไม่แปลกใจเลย ถึงแกบอกว่าเป็นที่ไหนมาฉันก็ไม่แปลกใจหรอก” ชินพูด แล้วหวนคิดถึงความสามารถในการปั่นหัวคนของเมฆา แต่ถึงอย่างนั้นชินก็ยังตกใจจนสะดุ้งกับคำตอบ

“ถ้าฉันบอกว่ามันไปนอนที่หอหญิงล่ะ”

“เฮ้ย!” ชินร้อง ถึงจะทำใจว่ามันไปนอนที่ไหนก็คงไม่แปลก แต่ที่หอหญิงนี่... มันเกินไปไหม?!

“เห็นว่ามันได้เป็นผู้ดูแลหอพักด้วยนะ อยู่ยาวเลยล่ะ ทำอีท่าไหนวะ” เบ๊นซ์เอียงคอพยายามคิด แต่การพยายามตามความคิดของเมฆาก็เหมือนการพยายามคิดหาความปกติจากคนบ้า ชินถอนหายใจยาว

“ถึงยังไงก็ทึ่งว่ะ แล้วที่มาหานี่คงไม่ใช่แค่มาบอกเรื่องมันใช่มั๊ย?”

“เปล่า มาลองเตือนๆนายดูว่าไอ้วอนเนอร์มันเล็งเมฆาไว้อยู่นะ” เบ๊นซ์พูดหยิบลูกอมออกมาใส่ปาก

“ก็ไม่แปลกหรอก คนอะไรวะ บ้าบิ่นโคตร” ชินสวดเพื่อน “มีอย่างที่ไหนมาพูดแบบนั้น มันก็ไม่ต่างกับการชูนิ้วกลางให้คนทั้งโรงเรียนนั่นแหละ” ชินยิ้มเยาะ คิดคำนวณในใจว่ามันจะอยู่รอดปลอดภัยไปได้นานแค่ไหน

เอ่อ... ถ้าเป็นมันน่าจะรอดได้ยันมันออกจากโรงเรียนอ่ะนะ

“เห็นอย่างนั้นน่ะไอ้วอนเนอร์มันมีอัศวินใต้ปกครองตั้ง 12 คนเชียวนะ เห็นว่าตั้งเป็น12นักษัตร ท้าพวกเทพอย่างเราแน่ะ” เบ๊นซ์บอก

“จะหมูหมากาไก่สิงสาราสัตว์ที่ไหนก็ช่างมันเหอะ ปล่อยให้อัดไอ้เมฆาไปก็พอ” ชินว่า เบ๊นซ์หัวเราะ

“คิดผิดคิดใหม่นะ เดี๋ยวมันก็ไปอ้อนไอ้แก้วอีกหรอก” เบ๊นซ์เตือนยิ้มๆ

เป๊าะ

ปากกาในมือของชินหักกระจุยกระจายทันที เบ๊นซ์หัวเราะเยาะอย่างไม่ไว้หน้าเลยซักนิด เบ๊นซ์เหม่อมองวิวนอกหน้าต่างที่พระอาทิตย์สาดส่องเผยให้เห็นทิวไม้และวิวงดงามของโรงเรียน

“เราหาเจ้านายดีไหมเนี่ย? ถึงจะมีฉายาเทพ แต่ไอ้พวกอัศวินที่มีนายมันยั้วเยี้ยยังกะหนอน หาพรรคหาพวกไว้ก็ไม่เลวนา” เบ๊นซ์ครุ่นคิดจริงจัง

“พูดไปก็เท่านั้น มันจะมีใครรับพวกเรากัน? อีกอย่าง ให้ฟังคำสั่งคนอื่นนี่ฉันรับไม่ค่อยได้ว่ะ” ชินพูด

“หืม ถ้าเป็นพวกสภานักเรียนก็ไม่มีปัญหานี่นา” เบ๊นซ์เอียงคอ

“โลกิเหรอ? ฝันไปเหอะ” ชินบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย

“เฮ้ย พวกสภานักเรียนมีเทพอยู่ตั้ง 4 คน เชียวนะ” เบ๊นซ์โน้มน้าว ชินเหล่

“แล้วทำไมแกไม่เข้า?”

“ก็เหม็นขี้หน้าประธานเป็นการส่วนตัวน่ะ” เบ๊นซ์ว่า ชินกลอกตา

“แต่ถ้างั้นไอ้เมฆาที่ไม่มีพรรคพวกเลยเจอพวกอัศวินมีนายมันจะไหวเหรอวะ?”

ชินมีท่าทีคิดหนัก ถึงเมฆาจะเจ้าเล่ห์ตัวพ่อ แต่การใช้กำลังของอัศวินชั้นสูงสิบกว่าคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“อืม... ไม่รู้แฮะ”

เมฆาทรุดเข่าลงหลังพุ่มไม้ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เด็กหนุ่มชะโงกไปดูด้านหลังแล้วถอนหายใจ นับว่าหนีได้ชั่วคราว เมฆาก้มลงดูร่างกายที่มีแผลน้อยใหญ่เกือบสิบ แต่ก็จัดการไปได้ 2 คน แต่ถึงยังไงถ้าจะให้หนีไปตลอดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมฆานึกย้อนเหตุการณ์แล้วต้องกัดฟัน

ร่างของคนทั้งสิบสองพุ่งตรงเข้าใส่เมฆาพร้อมด้วยคลื่นกระแทกจนเมฆาลอยไปด้านหลัง เข้าทางหมัดของชายคนหนึ่ง เมฆาแม้จะระวังตัวแล้วแต่ก็ไม่วายโดนต่อยไหล่ขวาจนกระดูกแทบร้าว เมฆาพลิกตัวลงบิดร่างของชายคนหนึ่งเป็นโล่รับลูกไฟ เจ้าของรีบยั้งลูกไฟ เมฆาใช้นิ้วคว้าจับจุดเส้นที่ลำคอ ทำให้ตัวประกันขยับไม่ได้ ทั้งหมดหยุดร่างลงดู

“หืม? ตัวประกันงั้นเหรอ? คิดว่าฉันจะกลัวเหรอไง อีกอย่าง แกก็คงไม่กล้าหรอก” วอนเนอร์เยาะเย้ย

“แน่เหรอ ฉันจับพวกแกเป็นตัวประกันอยู่นะ” เมฆาบีบมือแรงขึ้นเมื่อตัวประกันดิ้น มันสกัดเลือดที่จะไปเลี้ยงสมองเกือบทั้งหมด ทำให้เป้าหมายหยุดชะงักทันที เมฆามองใบหน่าที่เริ่มเขียวคล้ำ

“นี่ๆ ผมบีบจริงๆนะ”

วอนเนอร์แยกเขี้ยว

“พูดบ้าๆ แค่นั้นมันเด็กๆ รอดูแกเข้าโรงบาลซักเดือนก่อนเหอะ” วอนเนอร์พูด ท่าทางไม่ได้บอกว่าพูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เมฆาหรี่ตา ท่าทางพวกนี้จะไม่ใช่พวกใจเสาะแบบลูกคุณหนูทั่วไป

“แบบนั้นพวกนายโดนพักการเรียนแน่” เมฆาขู่ วอนเนอร์หัวเราะเยาะใส่หน้า

“เฮอะ คิดว่าฉันกลัวหรือไง อำนาจมันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ถ้านายเป็นลูกทูตอเมริกันประจำไทยดูสิแล้วจะรู้ อ้อ ลองมีอาเป็นหัวหน้าหน่วยเอฟบีไอดูด้วยนะ แล้วจะรู้ว่าแค่ส่งคนเข้าโรงบาลน่ะไม่เท่าไหร่หรอก” วอนเนอร์บอก เมฆาหรี่ตา เส้นใหญ่ขนาดนี้มันหนักนะ

“บ้าจริง” เมฆาสบถ

“หึ จะยอมสยบหรือยัง? ถ้ายอมก้มหัวให้ฉันก็ไม่ต้องกลัวใครในโรงเรียนแล้วนะ” วอนเนอร์เสนอ เมฆานิ่งไปครู่ใหญ่ ทุกคนหยุดมือรอฟังคำตอบ ดวงตาของเมฆาทอแววครุ่นคิด

“ไม่ต้องกลัวใคร... แล้วแกล่ะ!!!” เมฆาประกาศกร้าวสับสันมือเข้าที่คอของชายในมือจนสลบคาที่ ผลักเข้าใส่คนที่ใกล้ที่สุด มีดสั้น 10 เล่มปรากฏในมือราวมายากล ซัดข้างไปยังเป้าหมายโดยหมายกลางอกชนิดกะตายทีเดียวจอด

ฉึกๆๆๆๆๆ!!!!!

เช้งๆๆๆ!!!!

เสียงมีดกินเป้าหมายหลายครั้ง และพลาดหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถนัดนัก เพราะเป้าหมายก็ไม่ใช่ย่อย ปัดป้องไม่ให้โดนจุดสำคัญได้เกือบหมด เมฆาพุ่งเข้ากลางวงชนิดดับเครื่องชน มีดในมือส่องประกายวาววับน่าอันตรายฟาดฟันเข้าใส่ชายที่ใกล้ที่สุดเต็มกำลัง คมมีดวนเวียนวูบไหวด้วยความเร็วที่น่าตระหนก ไล่ต้อนจนชายคนนั้นต้องรับเป็นพัลวัน แต่ความเร็วและฝีมือของเมฆาไม่ใช่เล่นๆ ฝากรอยแผลไม่ตื้นนักไว้ได้หลายสาย เมื่อคนอื่นรุมเข้ามาเมฆาก็มุดเข้าตะลุมบอน

น่าดีใจที่คนพวกนี้ไม่ได้ฝึกต่อสู้เป็นกลุ่มมา การตะลุมบอนและความสับสนวุ่นวายเป็นของชอบของเมฆามาแต่ไหนแต่ไร บางทีถ้าสองหรือสามคนล้อมเขาไว้ดีๆเขาอาจเสร็จไปนาน แต่ความไร้วินัยกลับทำให้กีดมือขวางเท้า เมฆากรีดรอยแผลยาวเป็นทางเลือดไหลอาบอย่างไร้ซึ่งความปราณี แต่ละมีดกะเอาตายอย่างไม่มีออมมือ แววตาวาววับโหดเหี้ยมนั้นข่มขวัญทุกคนได้ชะงัด เมฆาหันมาแสยะยิ้มข่มขู่ชายคนที่พยายามสะกดจิต แค่สี่ห้ามีด ชายคนนั้นก็ลงไปนอนโอดโอยเพราะโดนตัดเส้นเอ็น

เมฆาย่อตัวลงต่ำจนแทบติดพื้น เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางฝูงคนด้วยความปราดเปรียวเกินธรรมดา มีดในมือหมายข้อเท้าเป็นหลัก ผู้คนอีกสองคนล้มลงไปชนิดลุกไม่ขึ้นกุมเส้นเอ็นที่ถูกตัดขาดและเลือดไหลทะลักไม่หยุด ถ้าไม่รีบส่งหมออาจตายได้ภายในไม่กี่นาที เหล่าอัศวินครั่นคร้ามด้วยความหวาดหวั่นที่ปกคลุมจิตใจ แม้จะมีคนมากกว่า แต่ความมั่นใจกลับหดหาย แทนที่ด้วยความเกรงกลัวทีละน้อย

เมฆาหลุดจากวงล้อมพุ่งเป้าไปที่วอนเนอร์ทันที วอนเนอร์สะกดจิตแรงสูงใส่เมฆา แต่มันไร้ประโยชน์ เด็กหนุ่มบิดแขนอีกฝ่ายงอไปด้านหลังนิดหนึ่งในองศาเฉพาะ กระแทกเพียงครั้งเดียวไหล่ก็หลุดจากเบ้าอย่างโหดเหี้ยม

“โอ๊ยยยย!!!”

เมฆายกแขนอีกข้างที่ยังอยู่ไพล่หลังโดยไม่สนใจเสียงโอดโอย บิดข้อต่อข้อมืออีกฝ่ายจนหักรุ่งริ่งในพริบตา

“อ๊ากกกกก!!!!!” วอนเนอร์กรีดร้องเสียงโหยหวน เมฆายกมีดจ่อต้นคอวอนเนอร์โดยไร้สีหน้าหวาดหวั่น รอยยิ้มเยือกเย็นสนุกสนานราวพญามัจจุราจประดับอยู่บนใบหน้า

“ว่าไงครับคุณอัศวิน อ้าว ทำไมไม่พูดล่ะ? นี่แค่ตัวประกันเองนะ? อ๋อ เพราะเป็นเจ้านายสินะ ว่าแต่ทำไมเจ้านายกระจอกกว่าเพื่อนล่ะเนี่ย ฮะๆๆ” เมฆาหัวเราะเยาะใส่หูวอนเนอร์ เด็กหนุ่มกัดฟันกั้นเสียงกรีดร้อง เขาเป็นท็อปคลาสของสายเบรนซิงโคร หมอนี่กลับว่าเขากระจอกได้อย่างหน้าตาเฉย และลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากจนไม่ใช่คน!

“แก... มันชั่ว!!!” วอนเนอร์ด่า เมฆาเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย

“พูดอะไรไร้เดียงสาจังนะครับคุณวอนเนอร์ คนที่หาเรื่องกว่าก็คือคุณนะ แค่ผมโหดกว่าก็ด่าว่าชั่วแล้ว ไม่อ่อนหัดไปเหรอ? ก่อนจะดูน่ะหัดมองให้มันดีๆ คิดว่าเป็นหมู อาจเป็นเสือไปได้ง่ายๆนะ นายเหรอโหด? ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๊ย โหดน่ะ... มันต้องแบบนี้”

ปึด!

“อ๊ากกกกก!!!!!” วอนเนอร์กรีดร้องลั้น เมฆาบิดไหล่ที่หลุดออกมาแล้วอย่างไร้ซึ่งความปราณี กล้ามเนื้อที่ไร้กระดูกเกาะยึดบิดเป็นเกลียวอย่างรุนแรง สร้างความเจ็บปวดให้วอนเนอร์จนเหงื่อไหลโทรม

“อะไร? นี่ไม่ต้องไปนอนโรงบาลเลยนะ มันต้องอย่างตรงนั้นน่ะ เฮ้ นายน่ะ ไม่รีบไปพิการจริงๆนะ อ้อ เลือดไหลหมดตัวตายได้ง่ายๆนะเอ้อ ส่วนนายนั่น... สงสัยฟาดแรงไปหน่อย พาหาหมอหน่อยก็ดีนะ เผื่อกระดูกคอมีปัญหา” เมฆาพิจารณาอย่างเลือดเย็น แล้วหันมาแสยะยิ้มให้วอนเนอร์ “ในฐานะหัวหน้า อยากโดนแบบนั้นมั่งไหม?”

วอนเนอร์เหงื่อไหล แต่ยังข่มขู่ได้

“ลองทำอะไรฉันดูสิ ระวังเหอะ... แกจะไม่มีชีวิตสงบสุขอีกเลย!” วอนเนอร์ขู่ เมฆาเลิกคิ้ว

“หวาว น่ากลัวจริง แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” เมฆาพูดเสียงอ่อนหวาน “ลูกท่านทูต? เอฟบีไอ? จะทำอะไรฉันได้ลองบอกฉันทีซิ?” เมฆาลองท้า

“บ้านโดนยัดข้อหา ถูกรื้อฟื้นประวัติ ยัดข้อมูลอาชญากร อยากได้แบบไหนล่ะ?” วอนเนอร์ยิ้มเยาะ แต่เมฆาแค่เลิกคิ้ว

“งั้นเหรอ? คิดว่าจะกลัวจริงง่ะ? ยัดเลย ไอ้ข้อหาน่ะ เอาให้หมดทั้งเครือญาติเลยน่ะนะ” เมฆายิ้มละไม

“ท้าเหรอ? คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง!” วอนเนอร์ร้องลั่น เมฆายิ้มหยัน ดวงตาทอประกายเหี้ยม

“นายคิดว่าถ้าข่าวหน้าหนึ่งบอกว่าพ่อนายถูกปลดจากตำแหน่งเพราะข้อหายักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง ฟอกเงิน ส่วนอาก็รับสินบน ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ให้ข้อมูลผู้ก่อการร้าย จะรู้สึกยังไง?”

วอนเนอร์หน้าซีด แม้จะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่น้ำเสียงของเมฆานั้นราบเรียบจนน่ากลัว

“มัน.. ไม่มีทางหรอก!” วอนเนอร์ตะโกนย้ำความมั่นใจให้ตัวเอง เมฆายิ้มละไม

“นั่นสินะ มันอาจจะไม่จริง แต่ก่อนจะทำอะไรใคร คิดไว้มั่งว่าอาจจะโดนแบบเดียวกัน...” เมฆาเว้นวรรค กวาดสายตามองอัศวินทุกคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอำนาจสยบขวัญ “หรือมากกว่า”

ทุกคนตัวสั่นสะท้าน อำนาจที่บรรยายม่ถูกแฝงมากับน้ำเสียงนั้นจนทุกคนหวาดหวั่นอย่างอดไม่ได้ เมฆาฉีกยิ้มสดใสอันสุดแสนชั่วร้ายในสายตาทุกคน มันเต็ทมไปด้วยความหยิ่งยโสในตัวเองที่ไม่มีวันคลอนแคลน

“จำไว้ไอ้หนู... ฉายาทริกกี้โจ๊กเกอร์น่ะ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ” เมฆาเว้นวรรค รังสีอำมหิตอันแสนหนาวเหน็บแผ่กระจายกดดันทุกคนจนตัวแข็ง

“ถ้ามาหาเรื่องกัน... ก็จงเตรียมรับความทุกข์ทรมานที่ยิ่งกว่าความตายได้เลย!!!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel