Type 17: ในห้องที่มืดมิด
Type 17: ในห้องที่มืดมิด
กฎข้อที่ 14 ของนักต้มตุ๋น จงลงมือให้น้อยที่สุด แต่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด
พอพูดถึงการฝึกแล้ว เขาก็ห่างหายจากมันมานานจริงๆ เมฆาคิดกับตัวเองขณะเดินทางกลับหอพักหลังหมดวัน ในหัวนึกถึงการฝึกร่างกายที่เมื่อก่อนเคยทำ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแล้ว แม้จะนึกรังเกียจการฝึกเหล่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีประโยชน์ต่อตัวเขาในตอนนี้จริงๆ
“ที่นี่จะมีโรงฝึกเทควันโดไหมนะ? ไม่สิ ของธรรมดาๆแบบนั้นไม่ต้องสงสัยหรอก มีชมรมวิทยายุทธจีนไหมนี่สิ” เมฆาพึมพำขณะคิดหาทางฝึกแบบเดิม เขาไม่สามารถไปโรงฝึกเดิมได้อีกแล้ว การจะหาโรงฝึกแห่งใหม่ก็คงต้องรีบทำหน่อย เพราะรู้สึกว่าร่างกายจะเฉื่อยชาไปเยอะแล้วเหมือนกัน ต้องเตรียมรับมือกับการโจมตีของคนในโรงเรียนนี้ให้มากขึ้น
เวลาเย็นของโรงเรียนนั้นคึกคัก นักเรียนออกมาทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบกันมากมาย มีทั้งเล่นกีฬาธรรมดาๆอย่างฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิส ไปจนถึงทำอะไรพิลึกๆอย่างเปลี่ยนทะเลสาบให้กลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง หรือบินว่อนไปมาในอากาศ เมฆามองสิ่งเหล่านั้นความสนใจ คิดในใจว่าต้องหาชมรมศิลปะการต่อสู้สักแห่งลองดูเสียแล้ว
เมฆาถูกเขม่นจากสายตาหลายคู่ขณะเดินกลับหอ แม้จะเป็นส่งที่คาดว่าต้องเจออยู่แล้ว แต่ก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้ที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น มันให้ความรู้สึกไม่สบายใจเหมือนอยู่ผิดที่ เพราะจะเข้ามาก็ไม่เข้า เอาแต่ส่งคลื่นน่ารำคาญมาพยายามสะกดจิตหรือสร้างภาพหลอนจากที่ไกลๆอยู่ได้ รู้อยู่ว่าเป็นวิธีขี้ขลาด แต่มาอัดตรงๆได้ไหม? มันน่าเบื่อ
ระหว่างที่เมฆากำลังครุ่นคิดหาทางทำเรื่องราวให้มันลุกลามใหญ่โตเพื่อคลายเครียด เขาก็มาถึงห้องพักเป็นที่เรียบร้อย
เมฆาแปะลายนิ้วมือลงไปบนเครื่องแสกน แล้วกล่าวรหัสผ่าน ประตูห้องเลื่อนเปิดออก วินาทีนั้นเองที่เขารับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ แต่ไม่ทันเสียแล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือชายคนหนึ่งกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นของเขา ในมือถือถ้วยชาที่เขาชอบอยู่ บนโต๊ะมีกาชาและจานของว่างจานใหญ่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของเขา
อารมณ์เดือดดาลเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆภายในใจของเมฆา แต่เปลือกนอกเมฆายังยิ้มเยือกเย็น ถามคนแปลกหน้าว่า
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรถึงได้เข้ามานั่งเล่นอยู่ในห้องของผมกันครับ?” เมฆาถามอย่างมีมารยาทราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเก่าที่มาเยี่ยม “น่าจะบอกกันก่อนจะได้เปิดให้ ไม่เห็นต้องพังประตูกันเลยนี่นา”
ชายคนนั้นงงไปเล็กน้อยแล้วก็แค่นยิ้ม
“แต่กลอนประตูของนายไม่เลวนี่นา ต้องใช้เวลาพอควรเลยล่ะกว่าจะแฮ็กห้องนี้เขเมาได้” ชายคนนั้นชม ใบหน้าบ่งบอกยี่ห้อว่าเป็นนักเลงหยาบกร้าน ไม่เข้ากับถ้วยชาที่เจ้าตัวกรอกลงคอโดยไม่รู้มารยาทการกินชาเลยแม้แต่น้อย
“ชาอร่อยดีนะ” ชายคนนั้นแกล้งชม นึกในใจว่าไอ้น้ำจืดๆนี่มันอร่อยตรงไหน เมฆายิ้มเทพบุตร
“ขอบคุณที่ชมครับ นั่นเป็นชาอู่หลงน่ะ แต่บอกไปพี่ก็คงแยกความแตกต่างระหว่างชากับน้ำประปาไม่ออกอยู่ดี” เมฆายักไหล่อย่างกวนบาทา รุ่นพี่หน้าโหดยิ้มเหี้ยมขว้างถ้วยชาทิ้ง ถ้วยกระเบื้องเคลือบกระทบพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมฆามองตามเศษถ้วยชาอย่างแสนเสียดายแล้วสวดไว้อาลัยในใจ
“พูดมากจริง จะตายอยู่แล้วยังพูดมากอีก” ชายคนนั้นพูดเหี้ยมๆ เมฆายักไหล่ไม่ใส่ใจนัก
“นั่นสิทธิของผมนี่ แต่ผมว่าคนอย่างพี่คงไม่กล้ามาคนเดียวสินะ” เมฆาพูดหยั่งกวาดตามองไปรอบๆ แล้วหยุดลงที่ตู้เสื้อผ้า “ให้เดาน่าจะมีคนอีกสองคนอยู่ในตู้” กวาดตามองไปอีกด้าน “อีก4-5คนในห้องน้ำ” เมฆากวาดตามองไปที่ประตูอีกบาน “4-5คนในห้องนอน แล้วก็น่าจะอีก 2-3 คนที่ระเบียงสินะ?” เมฆาพูดยิ้มๆ ชายคนนั้นหน้าเสียไปนิด แต่ก็ฉีกยิ้ม
“กะอีแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนไร้สัมมาคารวะคนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ฉันลงมือเองหรอก” ชายคนนั้นพูดวางท่าหยิบขนมขึ้นมากิน เมฆายิ้มจนใจแต่น่ากระทืบมาก
“เป็นคำพูดติดปากของพวกขี้แพ้ชอบใช้หมาหมู่จริงๆเลยนะเนี่ย”
ชายคนนั้นอับอายจนหน้าแดง แสยะยิ้มเหี้ยม
“ว่าอะไรนะ!” ชายแปลกหน้าผู้หวังมาอัดเด็กตะคอกลั่น ไม่เคยมีใครกล้าว่ามันอย่างนี้มาก่อน ยิ่งเป็นคนในสถานการณ์แบบนี้มีแต่จะคุกเข่าอ้อนวอนด้วยซ้ำ แต่เท่าที่เห็น ไอ้เด็กนี่ทั้งๆที่รู้ว่าโดนล้อมยังทำท่าไม่ใส่ใจอยู่ได้
“ก็บอกว่าพวกน่าสมเพชตาขาวไม่มีปัญญากัดได้แต่เห่าเรียกพวกไง” เมฆาพูดซ้ำ แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบเดิม กระตุ้นให้ชายอีกคนที่อ้อมด้านหลังไปดักที่ประตูพุ่งเข้าหาอย่างเดือดจัด เมฆายิ้มบางๆเบี่ยงตัว จับไหล่ แล้วเสริมแรงตามน้ำ พุ่งชายคนนั้นเข้าหาชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จนล้มกลิ้งกันไปทั้งสองคน อาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดล็อก นึกขอบคุณความใจกว้างของคนสร้างและความขี้อายของสถาปนิกที่สร้างประตูห้องน้ำให้แข็งแกร่งกว่าผนังเหล็กกำแพงทองแดง จนอีกฝ่ายไม่สามารถตามเข้ามาได้
แน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาหนีออกมาจากที่นี่ไม่ได้เช่นกัน
เมฆามองสายตากระเหี้ยนกระหือของชาย 5 คนที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วก็ยิ้มเพลียใจ คิดชั่งน้ำหนักว่าการหนีเข้ามาในห้องน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้โดนคนทั้งหมดรุมทีเดียว อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เขาศพสวยมากที่สุดก็ได้
เอ... หรือเป็นหมูอัดตู้หว่า? ห้องแคบๆแบบนี้คงศพไม่สวยนักหรอกมั้ง
จะพูดว่าห้องนี้คับแคบก็พูดไม่ได้เต็มปาก หอพักของสาธิตเซนต์ปิแอร์หรูหรามากจริงๆ ห้องน้ำภายในห้องพักของนักเรียนแต่ละคนนั้นกว้าง 5 เมตรคูณ 10 เมตรใหญ่พอจะขนข้าวของเข้ามาหลับนอนในนี้ยังได้ มีอ่างอาบน้ำสีขาวกั้นไว้ด้วยผ้าม่านที่ด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นจุดอาบน้ำฝักบัว มีกระจกขนาดใหญ่ส่องครึ่งตัวและข้าวของในห้องน้ำอีกมุม สรุปแล้วห้องนี้แค่เอาของออกไม่กี่อย่างก็กลายเป็นโลงปิดผนึกสีฟ้าขนาดใหญ่ดีๆนี่เอง
ชายห้าคนตรงหน้ามองเมฆาด้วยท่าทีแปลกใจนิดหน่อย แต่ในเมื่อที่มือของคนหนึ่งมีลูกเหล็ก คนหนึ่งมีน้ำแข็ง คนหนึ่งมีต้นไม้เล็กๆบิดไปมา คนหนึ่งมีมือที่ดูยังไงก็ใหญ่กว่าปกติสองเท่า ส่วนอีกคนตาเรืองแสงด้วยอำนาจสะกดจิต อืม... เป็นกลุ่มอัดคนที่สมบูรณ์แบบกลุ่มหนึ่งจริงๆด้วย
เมฆาไม่สนใจชักไซปาล์มออกมาแล้วกดโทรออก คิดในใจว่าควรโทรหาใครดี โทรไปหาชินมันคงจะพูดว่า อ๋อเหรอ? ขอให้สนุกนะ ส่วนเบ๊นซ์ก็คงจะพูดว่า เหอๆ เดี๋ยวซื้อโลงให้นะ คิดยังไงเปอร์เซ็นต์ที่พวกมันจะมาช่วยก็ต่ำติดลบ แต่ไม่มีทางเลือก เมฆาโทรหาชิน
“ว่าไง มีอะไร” เสียงทักเข้มๆตอบกลับมาตามสายเมื่อปลายสายรับ
“ตอนนี้ฉันกำลังโดนตีแมวอยู่ที่ห้อง มาช่วยหน่อยสิ” เมฆากรอกเสียงลงไป ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะหึหึ
“อ๋อ เหรอ ไกล้ตายยัง? ตายแล้วเดี๋ยวซื้อโลงให้ แค่นี้นะ จะให้อาหารแมว” พูดจบก็วางสายไป เมฆามองหน้าจออึ้งๆ มันเห็นการให้อาหารแมวสำคัญกว่ามาช่วยเขาอีกเหรอ? เมฆาไม่ได้หวังซักติ๊ดขณะโทรไปหาเบ๊นซ์ รอสายประมาณสิบวิมันถึงรับ
“โหล กูจะนอน แค่นี้นะ คร่อก”
ตู๊ดๆๆ
“...” ถึงกับพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว
“อืม... ข้าว่านะ เพื่อนเอ็งนี่ก็น่าสนดีนะ” ชายที่ใช้ลูกไฟหัวเราะเยาะ “ถ้าขนาดเพื่อนยังไม่มาช่วยก็เตรียมตัวเป็นเนื้อบดเถอะ” ชายคนนั้นพูด ยกบรรทัดเหล็กยาวสองฟุตออกมา
เมฆาทำสีหน้าเพลียใจขณะยัดไซปาล์มเข้ากระเป๋า ยอมรับชะตากรรมเป็นเนื้อบดแต่โดยดี... ที่ไหนกันเล่า!!!
เมฆาควักไซปาล์มออกมาด้วยความไวเหนือแสงกดด้วยความเร็วขั้นเทพ ตะคอกกรอกลงไป
“ฉันจะยอมโดนอัด!”
ชินที่ปลายสายมีสีหน้างุนงงกับประโยคทะแม่งๆของไอ้ตัวแสบ แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เอาสิ โดนอัดเลย เละๆด้วยนะ” ชินส่งเสริมเต็มที่ แต่เมฆาฉีกยิ้มชั่วร้าย
“แต่ฉันจะไม่ไปหาหมอ” เมฆาพูดเสียงชั่วร้าย ชินนิ่ง เริ่มสังหรณ์ไม่ดี
“หมายความว่าไง?” ชินงง แต่วินาทีถัดมาก็คิดได้ “อย่าบอกนะ...” ชินพูดเสียงหวาดหวั่นตะกุกตะกัก ภาวนาอย่าให้ไอ้หมาบ้านี่ทำอะไรพิเรนท์ๆอีกเลย
“ฉันจะไปให้แก้วรักษา จะออเซาะดื้อด้านไม่ยอมหายอ้อนน้องแกให้ดูแลทั้งวันทั้งคืน ตกกลางคืนจะแกล้งทำเป็นกรีดร้องให้น้องแกมากอดปลอบ กลางวันจะแกล้งไม่มีแรงให้น้องแกป้อนข้าว ตกค่ำจะทำทีเป็นนอนไม่หลับให้น้องแกเล่านิทานให้ฟัง เวลากินข้าวจะทำท่าเบื่ออาหารให้น้องแกคอยป้อน เวลากินยา...”
“หยุด!พอแล้ว!!! มึงอยู่ไหนบอกมาเลย!” ชินจี๊ดสุดใจรีบห้ามกะทันหัน น่าแค้นใจที่มันพูดซะเห็นภาพ เล่นเอาลุกขึ้นมาทันที ให้ตายก็ไม่ยอมให้มันทำอย่างที่พูดเด็ดขาด น้องของเขาเป็นเด็กฉลาดไม่ใช่โดนใครหลอกง่ายๆ แต่สำหรับไอ้บ้านี่... น้องเขาสิบคนก็สู้ไม่ได้!
“โอ๊ย!ๆๆโดนไฟลวกแล้ว! ต้องถอดเสื้อให้แก้วทายาที่หลัง โอ้ว! โดนน้ำแข็งเกาะ ต้องให้แก้วให้ความอบอุ่น...”
“รักษาตัวดีๆเถอะครับพี่ ผมขอร้อง!!!” ชินกรีดร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววางสายไป เมฆาหัวเราะหึหึโทรไปหาเบ๊นซ์อีกครั้ง ไม่ยอมให้มันละเมอตอบแล้ววางสายชิงพูดดักคอ
“ที่หอฉันมีกระสอบทรายเดินได้ให้อัดฟรีเกือบสิบคน สนใจไหม?” เมฆาพูด
“อัดแล้วไม่โดนยูกิจับแน่นะ?” เบ๊นซ์ถามเพื่อความแน่ใจกันเหนียว
“ไม่แน่นอน นี่เป็นการป้องกันตัวที่ไม่มีทางจะป้องกันตัวมากไปกว่านี้อีกแล้ว” เมฆาตอบ
“ค่อยน่าสนหน่อย” เบ๊นซ์ที่ปลายสายพูดพอใจแล้วบิดขี้เกียจ แต่แล้วก็ชะงักค้างกลางคัน เมื่อเมฆาปล่อยหมัดเด็ด
“เห็นมันบอกว่าไรจินไร้น้ำยา กำลังจะไปฉุดสาวที่แกกำลังจีบมาดูว่าสวยซักแค่ไหน”
“เตรียมโลงไว้ไอ้ห่าเอ๊ยยย!!!”
เมฆาตัดสายแล้วฉีกยิ้มพึงพอใจ นักเรียนนักเลงทั้ง 5 มองคนตรงหน้าอย่างหนาวเหน็บ
ปีศาจชัดๆ
เมฆาหันมามองทั้ง 5 คนด้วยรอยยิ้มสว่างสดใสราวเทพบุตร แต่หนาวเย็นราวหล่มน้ำแข็ง ตอนนี้ทั้ง 5 ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังได้เปรียบอยู่เลยซักนิด กลับรู้สึกเหมือนกับว่าไปแตะต้องอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรยุ่งเกี่ยวเข้าให้แล้ว
“อย่างไวพวกนั้นคงมาถึงอีก 5 นาที ระหว่างนั้น...” เมฆาพูดลากเสียงยิ้มอย่างน่าสยดสยอง “ผมคงต้องจัดการพวกคุณให้หมอบหมดก่อนสินะ!” เมฆาแผดร้องสุดเสียง ทั้ง 5 คนสะดุ้งเฮือกเมื่อเมฆาพุ่งเข้าใส่อย่างลืมตาย ต่างตกใจจนเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ดรีม! ดับไฟฟ้าทั้งห้อง!” เมฆาตะโกนสั่ง ได้ดั่งใจในทันที ห้องทั้งห้องมืดมิดในพริบตา ห้องน้ำเป็นห้องที่ไม่มีหน้าต่างระบายอากาศ ต่างอาศัยระบบดูดอากาศ และมีผนังโปร่งแสงปรับได้ทดแทนหน้าต่าง เมื่อตัดระบบไฟฟ้า ห้องนี้ก็มืดมิดเหมือนอยู่ในโลง หมัดของเมฆาเข้าเป้าครึ่งปากครึ่งจมูกของชายคนหนึ่งอย่างจัง
“อั่ก! แก!” อีกคนร้องลั่นแล้วต่อยสวนกลับในความมืด หมัดรู้สึกว่าต่อยโดนใครบางคน
“อั่ก! หนอยแน่! ชกฉันงั้นเหรอ!” เมฆาร้อง เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับหมัดเท้าเข่าศอกที่ปะทะกันไปมาท่ามกลางความมืด
“บ้าเอ๊ย!!! เจ็บนะโว้ย!!!” ชายคนหนึ่งร้องลั่น
“กล้ามาอัดฉันถึงห้องไม่อยากตายดีใช่ไหม!!!” เมฆาร้องเสียงดังพร้อมกับเสียงตุ๊บตั๊บ
“อย่ามาดูถูกกันนะเว้ย!” ชายคนนหึ่งร้องแล้วบีบคอศัตรู
“อ่อกๆๆ อย่าบีบคอสิวะ!!!” เมฆาร้องลั่นแล้วหมัดเท้าก็พุ่งใส่เป้าหมายที่บีบคอเขาอยู่ในทันที สภาพการที่มืดมิดนั้นอุตลุตวุ่นวายมาก ทุกคนต่างอีดกันไปมาอยู่ภายในห้อง ได้ยินแต่เสียงแสดงความเจ็บปวดกันไปมาเท่านั้น เวลายิ่งผ่านไปทุกคนก็ยิ่งสะบักสะบอมกันมากขึ้น และลงมืออ่อนแรงลงตามระยะเวลา
“หนอย! คิดว่าฉันจะยอมให้จบง่ายๆงั้นเหรอ! หมัดนี้ฉันจะเอาคืนเป็นสิบเท่าเลย! อย่าให้รอดไปได้นะพวกเอ็ง!!!” เมฆาตะโกนอย่างคับแค้นท่ามกลางห้องที่มืดมิด ศัตรูหัวเราะร่า รับรู้ถึงร่างปวกเปียกในมือ
“มาได้แค่นี้ล่ะวะ ไม่มีทางรอดหรอก!” ชายคนนั้นร้อง
“ยอมเอ็งก็ควายแล้ว! เฮ้ย ไอ้นี่อย่าขัดขืนสิวะ!” เสียงเมฆาดังขึ้นอีก ร่างในมือของชายหนุ่มสะบัดดิ้นอย่างรุนแรง คว้าข้อเท้าของใครที่อยู่ไกล้ๆมาทุบ แล้วฟาดเข้าใส่คนใกล้ตัวอย่างรุนแรงดุดัน
“อ๊ากกก!!!!” เมฆาร้องลั่นอย่างเจ็บปวด “บ้าเอ๊ย! มืดขนาดนี้ยังโดนได้ไงวะ!” เด็กหนุ่มสบถ ยิ่งทำให้ชายผู้ใช้เหล็กมั่นใจว่าคนที่อยู่ในมือใช่ศัตรู ทุบเต็มแรงด้วยสนับมือจนอีกฝ่ายปากแตก แต่ก็โดนสวนกลับด้วยลูกหลังจนหงาย
“บ้าชิบ! พวกแก 5 คนมารุมคนเดียวแบบนี้ ไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไงวะ!!!” เมฆาพูดอู้อี้ๆด่าทออย่างเจ็บปวด ใครบางคนัวเราะร่า
“ฮ่าๆๆ ศักศรีน่ะต้องชนะถึงจะมีเว้ย!!!”
“พูดภาษาคนให้หมาฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ งั้นเข้ามาเล้ยยย!!!” เมฆาร้องลั่น แล้วการต่อสู้อันดุเดือดก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ลงไปคลุกอยู่กับพื้น ใครโดนต่อยก็ต่อยกลับเป็นสองเท่า ร่ำร้องด่าทอผสมสบถ ปะทะกันนัวเนียแยกไม่ออก อาศัยแต่เสียงระบุตัวเท่านั้น แต่ในห้องที่เก็บเสียงมิดชิดนี้ ยิ่งตะโกนมันยิ่งก้องเข้าหูหมดทุกคำจนหูแทบแตก จนในที่สุด...
“บ้าเอ๊ย!!! ซักวันพวกแกไม่ได้ตายดีแน่!!!” เมฆากล่าวอาฆาตด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อยอ่อนแรง ทุกคนต่างหมดแรงกันแล้ว ไม่นึกว่าศัตรูจะมีแรงดิ้นรนได้ถึงขนาดนี้ เล่นเอาหมดแรงไปตามๆกัน ชายคนหนึ่งตบหัวศัตรูที่คอพับคออ่อนอยู่กับตัวอย่างแรงตะคอก
“เพราะมึงนั่นแหละ! เล่นเอาพวกกูเหนื่อยแทบตาย ไอ้เวรเอ๊ย!!!” ชายคนนั้นตะคอก
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกอย่างเงียบลงจนได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจถี่ๆเท่านั้น
“สงสัยมันสลบไปแล้วล่ะลูกพี่” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“นั่นสิ ลูกพี่ลองเขย่าปลุกมันดู” อีกเสียงสนับสนุน ชายที่เป็นหัวหน้าเขย่าร่างปวกเปียกในมือก็พบว่าแน่นิ่งไปแล้ว สงสัยตบแรงเกินไปแฮะ ก็ดี หนวกหูชิบ
“เฮ้! ข้างในน่ะ เป็นยังไงมั่ง!” เสียงร้องตะโกนจากข้างนอกดังเข้ามา
“จับได้แล้ว แล้วข้างนอกล่ะ!” ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าตะโกนตอบ
“เก่งมากหมิงเยี่ย! ข้างนอกนี่โคตรมืดเลย มองอะไรไม่เห็นซักอย่าง ไอ้บ้านั่นมันตัดไฟ” เสียงข้างนอกตอบเข้มาบ่นพลาง “ลองปลุกมันขึ้นมาเปิดไฟทีซิ”
คนที่ถูกเรียกว่าหมิงเยี่ยทดลองตบคนในมือให้ตื่ น แต่ก็ไม่เป็นผล
“ไม่ไหวแฮะ ท่าจะเล่นมันแรงเกินไป” หมิงเยี่ยตะโกนตอบ
“งั้นลองลากไปรอบๆหาอ่างน้ำดู เอาน้ำสาดมันมันคงตื่น” คนข้างนอกแนะนำ ซึ่งข้างในก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดี จึงเริ่มลากเชลยหาแหล่งน้ำ แต่ยังไม่ทันเจอ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ไรจิน และเฮอคิวลิสมาถึงแล้ว ให้ทำอย่างไรคะ?” เสียงหวานใสของเอไอสาวดังขึ้น ทุกคนชะงักกับชื่อทั้งสอง ไรจินกับเออคิวลิส... เป็นการจับคู่ที่น่ากลัวเกินไปจริงๆ แต่ไม่นานก็ยิ้มเหี้ยม
“เฮอะ ช้าไปแล้วพวก เราอัดมันเละไปแล้ว” ใครบางคนด้านนอกพูด
“หึหึ มาแค่สองคน ไม่พอมือเราหรอก แค่ให้ไอ้หมอนี่เปิดไปแล้วเราก็นั่งรอนอนรออยู่ในนี้ซักพักให้เรี่ยวแรงฟื้นฟู...”
“อนุญาตให้เข้ามาได้ อ้อ เปิดไฟด้วยนะ” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงปริศนาก็ดังขึ้น
“ยืนยันคำสั่ง ให้ไรจินและเฮอคิวลิสเข้าห้อง เปิดไฟ”
เอไอสาวยืนยัน พริบตาห้องก็สว่างขึ้นมาทันที พร้อมๆกับที่ประตูห้องเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นชายสองคนที่เป็นตัวแทนของความหวาดกลัว
ไอทะมึนปรากฏรูปร่างของมังกรกระดูกที่มีร่างเป็นเหล็ก ดวงตากร้าวแข็งด้วยแววสยบขวัญ ส่วนอีกคนมีสายฟ้าแล่นเปรียะไปทั่วร่าง ผมบนหัวตั้งชี้ชันอย่างดุดัน ใบหน้าคมแบบลูกจีนหรี่ลงอย่างเอาเรื่อง
“แกทำอะไรไอ้บ้านั่น?” เสียงแหบทุ้มน่าสยดสยองดังขึ้นจากปากของเฮอคิวลิส รังสีอำมหิตแผ่กระจายกดดันจนคนทั้งห้องแข็งค้างด้วยความกลัว
แต่คงไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกของคนที่อยู่ในห้องน้ำ
เมฆาลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำว่างเปล่าที่ตัวเองลงไปนอนเหนียดยาวขึ้นมา บิดขี้เกียจอย่างช้าๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่รอยฝุ่น แตกต่างจากทั้ง 5 ที่ต่างก็แทบไม่มีแรงยืน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยฟกช้ำ เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง เปื้อนเลือดเป็นหย่อม เมฆามองทั้ง 5 ด้วยแววตาขบขันสมเพชที่เสียดแทงกว่าคมมีดใดๆ หมิงเยี่ยมองคนในมือ แล้วพบว่าเป็นลูกน้องของตัวเองคนหนึ่ง สลบเหมือดไปนานแล้ว หัวปูดหน้าบวมฉึ่งลิ้นห้อยท่าทางจะสลบไปนานแล้ว
“แก...” หมิงเยี่ยเค้นคำพูดอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี เมฆาเลิกคิ้วยิ้มขบขันที่ไม่ว่าสาวที่ไหนเห็นเป็นต้องยิ้มตาม
“ทำไมครับ?” เมฆาถามกลับ
“ทำไมถึงได้...” พูดได้เท่านี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“อ๋อ เรื่องนั้นหรือง่ายออกจะตาย ผมอาบน้ำอยู่ทุกวันก็รู้อยู่แล้วว่าอ่างอยู่ไหน” เมฆาทำท่าพึ่งนึกได้แล้วผายมือมาที่อ่างอาบน้ำขนาดสองคนนอนเรียงกัน “ก็เลยเดินมานอนอยู่ในนี้แหละ”
“แต่ฉันอัดแกชัดๆ...” ทุกคนพึมพำ สีหน้าเหมือนเจอฝันร้ายมา ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็นแม้แต่น้อย แต่เมฆายิ้มขัน
“พวกคุณก็อัดกันเองไง”
ไม่ต้องบอกก็รู้ ทุกคนยังทำสีหน้าว่างเปล่า งุนงงไม่เข้าใจ
“รุ้ไหม เวลาคนเราอยู่ในที่มืดนานๆสายตามันจะชินไปเองจนพอมองเห็นได้รางๆนะ” เมฆาพูดแล้วยิ้ม “แต่สำหรับคนที่เอาแต่อัดกันก็คงมืดสนิทนั่นแหละ” เมฆาบิดขี้เกียจแล้วเดินลากเท้าอย่างเกียจคร้านมาหาคนทั้ง 5
“เวลาใครซักคนโดนต่อยก็แกล้งร้อง พอเห็นรางๆว่ามีใครซักคนก็พูดว่าบีบคอฉันทำไม หรือ อย่าขัดขืนสิ ก็แค่ตะโกนไปเล่นๆเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าจะโง่อัดกันเองจนสลบไปจริงๆคนนึง สุดท้ายก็เงียบ จบ” เมฆายักไหล่มีสีหน้าเหนื่อยหน่าย “อะไรกัน ไม่มีอะไรสนุกๆกว่านี้อีกแล้วเหรอ อุตส่าห์ต่อให้เยอะแล้วนะ” เมฆาทำท่าผิดหวังถอนหายใจยกมือลูบคางขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด “ห้าต่อหนึ่งก็แล้ว อยู่ในห้องที่ไม่มีทางออกก็แล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวไปลอบกัดก็แล้ว ยังได้แค่นี้เอง คราวหน้าต้องต่อให้มากกว่านี้สินะ”
คำพูดที่แสนเสียดายของเมฆานั้น กลับทำลายความภาคภูมิใจในฐานะมนุษย์ของคนทั้ง 5 ย่อยยับในไม่กี่ประโยค รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่าราวกับมดตัวเล็กๆยืนเรียงแถวอยู่หน้าพญาเหยี่ยว ควบคุมแล้วเฝ้ามองอย่างขบขัน มองดูพวกเขาวิ่งวนไปมาบนแก้วน้ำใบน้อย เมฆายิ้มซื่อแต่เสียดแทงจนแทบทนไม่ได้ จากนั้นเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก
“อ้า ด้านนอกก็กำลังอัดกันอยู่เลย บ้าชะมัด มาเร็วไปหน่อยนะ ตอนแรกกะว่าจะเปิดประตูให้พวกนายตีกันเองให้สนุกซักหน่อย แต่คิดอีกทีพวกนั้นคงจะเห็นมีดที่ฉันซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วล่ะมั้ง ชุลมุนแบบนั้นคงจะมีคนโดนลูกหลงเจ็บหนักแน่ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”
โครม!!!
เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นพร้อมๆกับที่ประตูห้องน้ำสั่นไหว เป็นเสียงคล้ายกับอะไรบางอย่างที่น้ำหนักประมาณมนุษย์กระแทกเข้ากับประตูอย่างรุนแรง
“อืม... คิดอีกที ปล่อยให้พวกนายอัดกันเองน่าจะเจ็บหนักน้อยกว่านะ”
เมฆาเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังเป็น 5 คนที่โดนอัดจนหมอบราบคาบแก้วลุกไม่ขึ้นอีก แน่นอนว่าหลังจากอัดกันมาเกือบ 10 นาทีสุดแรงไม่หยุด ทุกคนก็ร่อแร่ปางตายกันหมด เมฆาซ้ำอีกคนละทีสองทีก็ไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ
เมฆากวาดตามองสภาพห้องที่เละไปครึ่งแถบแล้วขมวดคิ้ว
“พวกนายรู้จักรักษาของกันมั่งไหมเนี่ย?” แน่นอนว่าสองตัวต้นเหตุทำหูทวนลม ชินดูพอใจที่เมฆาไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ส่วนเบ๊นซ์ก็หายผมตั้งแล้ว แต่ตายังขวางอยู่
“ไอ้คนไหนวะที่ว่าจะไปฉุดเพิร์ล?”เบ๊นซ์ถามเสียงเคียดแค้น
“เปล่า ผมแหลงั้นแหละ ตกลงว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อเพิร์ลสินะ?”
เบ๊นซ์ตัวแข็งทื่อ ในหัวมีอีกาบินวนไปมาพร้อมร้องว่า งี่เง่าๆๆ อยู่เต็มหัว รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองเพิ่งจะเอาจุดอ่อนของตัวเองใส่พานประเคนให้มันถึงที่ เด็กหนุ่มหน้าทะมึนไปครึ่งแถบยืนเศร้าสลดอยู่กับที่ เมฆาก้มลงนับหัวคนตรงพื้นก็นับได้ 6 คน แน่นอนว่าไม่อยู่ในสภาพที่จะลุกได้
“อืม... ในตู้ผมน่าจะมีของที่เอามาใช้แทนเชือกได้นะครับ เอามามัดพวกนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็หยิบไซโฟนขึ้นมา เบ๊นซ์ที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้วก็กลับเข้าร่าง เดินไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออกหาเข็มขัดหรืออะไรทำนองนั้นมามัดเชลย
“สวัสดีครับยูกิ มีนักเรียนบุกเข้ามาที่ห้องผม 11 คนครับ ไรจินกับเฮอคิวลิสช่วยผมจับเอาไว้ได้ทุกคนแล้ว ครับๆ เดี๋ยวผมจะเอาตัวลงไปข้างล่างครับ” เมฆารับปากแล้วตัดสาย
“นี่เมฆา ทำไมในตู้นายมีโซ่อ่ะ?” เบ๊นซ์ถามแล้วหยิบโซ่เส้นยาวออกมา
“ก็ดีแล้วนี่ จะได้เอามามัดพวกนี้ไง” เมฆาตอบปัดๆ เบ๊นซ์เดินมามัดเชลย ส่วนชินเปิดตู้ออกดู
“แล้วทำไมในตู้นายมีมีดสปาร์ตาร์อีก 3 เล่มล่ะ?” ชินถามชูมีดสปาร์ตาร์ยาวเกือบศอกสามเล่มออกมาโชว์
“เอาไว้สับหมู” เมฆาบอก ชินไม่พูดอะไร วางมีดลงบนพื้นพรมแล้วคุ้ยต่อ
“แล้วทำไมมีมีดพับอีกเป็น 10 ล่ะ?” ชินถาม ชูมีดพับเล่มเล็กอีกเป็นกำขึ้นมา
“เอาไว้ปาเป้าเล่น ลูกดอกหาย” เมฆาบอก
“แล้วกล่องลูกดอกเหล็กท่าทางอันตรายนี่ล่ะ” ชินชูกล่องใส่ลูกดอกเหล็กรูปร่างเพรียวบาง ปลายแหลมคมอันตรายกล่องใหญ่ขึ้นมา
“โอ้ เจอแล้ว ขอบใจนะ” เมฆาขอบใจเสียงยินดี ชินวางลง จากนั้นก็ขุดเอาดาวกระจายพร้อมซองใส่คาดเอวมาอีกแผง พร้อมด้วยหน้ากากไอ้โม่งครบชุด พอรวมกับชุดสีดำแนบเนื้อรัดกุมที่แขวนอยู่ข้างบนก็ครบคอนเซ็ปนินจาพอดี
“นั่นเอาไว้คอสเพลย์เล่นเป็นนินจาแก้เซ็ง” เมฆาว่า มองชินหยิบโล่เหล็กแบบพับได้อีกอันออกมาแล้วชูขึ้นเป็นเชิงถาม
“เอาปากกาเมจิกมาวาดวงๆลงไปแล้วเอาไปแขวนก็เป็นเป้าแล้วไง” เมฆาตอบหน้าซื่อ ชินไม่เชื่อซักนิด ชินกวาดตามองก้นตู้ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแล้ว แต่มือก็เผลอไปเคาะผนังตู้ด้านหลังเข้า ตัวตู้เปิดออกเผยให้เห็นดาบสั้นแบบไอกุชิ 1 เล่ม และดาบซามูไรยาวหนึ่งเล่ม แขวนอยู่บนผนัง พอเอามารวมกับชุดนินจาคงจะเหมาะดี
“นั่นเอาไว้โชว์” เมฆาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ชินขี้เกียจถามว่าทำไมยังไม่แขวน มันคงตอบว่าลืมไม่ก็ยังไม่ได้ทำ เคาะไปบนผนังอีกสามสี่ที คราวนี้ผนังซ้ายขวาเปิดออก เผยให้เห็นมีดสั้นรูปแบบต่างๆวางเรียงรายกันเป็นตับ ทุกคนในห้องอึ้งเบิ่งตาค้างมองสรรพอาวุธที่พอจะเป็นร้านขายมีดได้สบายๆนั้นอย่างพูดไม่ออก
“ว่าจะเปิดร้านขายมีดน่ะ” เมฆาพูดออกมาแบบสิ้นคิดสุดๆ
“อ๋อเหรอ? เหอๆๆ” เบ๊นซ์หัวเราะอย่างไม่เชื่อเลยซักนิด ส่วนอีก 5 คนต่างนึกภาพเมฆาที่หนีเข้าไปในตู้แทนที่จะเป็นห้องน้ำ ไม่อยากนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ขายมีด... บ้านแกเซ่!!!
ชินลากคนทั้งทั้ง 11 คนมาตามทางอย่างไม่หนักแรง ต้องใช้คำว่าลาก เพราะมือของชินกำโซ่ที่มัดทั้ง 5 เอาไว้แล้วเดินไปข้างหน้า ให้ทั้ง 11 คนล้มลุกคลุกคลานกลิ้งเกลือกตามหลังมาอย่างไม่สนใจใยดี ยัดคนทั้งหมดเข้าลิฟต์ แล้วหมดปัญญายัดตัวเองเข้า จึงกดลิฟต์ให้ลงไปด้านล่างแทน
“ระบบรักษาความปลอดภัยนายต่ำไปหน่อยปะ?” เบ๊นซ์ถาม เมฆาขมวดคิ้ว
“ดรีม รายงานความเสียหายซิ”
“ระบบเสียหาย 32 เปอร์เซ็นต์ค่ะ” เสียงเย็นๆตอบ
“รายงานสภาพเอไอ” เมฆาถามซ้ำ
“เสียหาย 88 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”
เมฆาหน้าเครียด การที่เอไอของเขาเสียหายขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว
“ไหนลองปิดไฟชั้นนี้ซิ” เมฆาสั่ง
พรึ่บ!
ไฟทั้งชั้นดับทันที เมฆาพยักหน้า
“แล้วจะหาทางซ่อมให้” เมฆาพูดแล้วเดินลงบันไดมาพร้อมๆทั้ง2 คนลงมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้นชินก็ล้งเล้งโวยวายเรื่องน้องสาวไปตามเรื่อง เมฆาดูใจลอยไม่ใส่ใจฟังนัก ดวงตาว้าวุ่นอย่างคนคิดหนัก ซักพักชินก็รู้ตัวแล้วเงียบไป เมฆาเดินมาจนถึงชั้นล่างแล้วก็หยุดรอ
“แกเป็นอะไรไป?” เบ๊นซ์ถาม เมฆาขมวดคิ้วแนบแน่น
“รู้สึกไม่ดีเลยว่ะที่ห้องโดนแฮ็กจนระบบเสียหายหนักขนาดนี้” เมฆารู้สึกแย่กับการที่ห้องโดนแฮ็กมาก เขาควรต้องหาทางทำอะไรซักอย่าง ดรีมเสียหายหนัก
“ก็หาคนซ่อมสิ แล้วอัพเกรดให้เจ๋งกว่านี้ก็แล้วกัน” เบ๊นซ์แนะ เมฆาพยักหน้า สีหน้าดีขึ้นมาบ้าง
“แต่ว่านะ... ทำไมลิฟต์ยังไม่ลงมา?” ชินงุนงง
“...” ทุกคนเงียบไปชั่วครู่
ยังไม่ได้เปิดไฟเลย ลิฟต์คงไม่ค้างหรอกนะ...
หวอๆๆ!!!
เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมๆกับที่ รปภ.ที่นั่งอยู่ที่เคาเตอร์วิ่งไปที่ลิฟต์ ในหัวคล้ายจะปรากฏภาพเหล่าผู้โชคร้ายกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานมาแต่ไกล
“มีคนติดอยู่ในลิฟต์! เร็วเข้า พวกนั้นจะหมดสติแล้ว!!!”
ทั้ง 3 คนยืนไว้อาลัยมองดู รปภ. วิ่งวุ่น ภาวนาให้พวกนั้นไปที่ชอบๆ
