บท
ตั้งค่า

Type 16: ห้องเรียนสายก็อดโอเมน

Type 16: ห้องเรียนสายก็อดโอเมน

กฎเหล็กของนักต้มตุ๋นข้อที่ 13 จงอย่าคิดว่าเมื่อความลับถูกแพร่งพรายแล้วจะแก้แค้นอย่างไร แต่จงคิดหาวิธีไม่ให้ความลับนั้นถูกเปิดเผย

ถ้าหากว่าการเรียนในสายวิชาเบรนซิงโครเป็นความโกลาหล การเรียนในวิชาสายก็อดโอเมนนั้นรับมือยากกว่ามาก หากคุณต้องรับมือกับการวาร์ปไปมาหลายๆหนเพื่อมาเตะคุณแล้วล่ะก็ การต่อต้านการสะกดจิตตอนจิตว่างกลายเป็นของง่ายไปเลย ที่น่าตลกคือเมื่อคุณจะอัดมันกลับ หรือจะเอาเรื่อง มันก็กลับไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่เดิมโดยตีหน้าผู้บริสุทธิ์

“อะไรครับอาจารย์? ผมไม่รู้เรื่อง อย่าใส่ความกันน่า?”

“พูดบ้าๆ ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย” ชายอีกคนให้การด้วยสีหน้าดูถูก

อืม... ถ้าอาจารย์ผู้สอนไม่ได้เป็นอาจารย์ตาแก่หัวล้านใกล้เกษียณที่ไม่กล้าหือกับลูกศิษย์ที่ชื่อโทมัสล่ะก็นะ เหมือนว่าเขาอยากกลับไปเรียนสายเบรนซิงโครซะจริงๆ

“สายก็อดโอเมนเป็นสายที่เกิดจากคลื่นสมองที่ลึกและยาวที่สุด เราจะสามารถใช้ไซต์ได้ก็ต่อเมื่อเกิดสมาธิระดับลึกขึ้น พลังแฝงของสมองเราน่าทึ่งมาก เราสามารถคิดคำนวณเรื่องราวต่างๆได้มากมายที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้ สมองของสิ่งมีชีวิตก็เปรียบเสมือนซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่อินสตอลสุดยอดระบบปฏิบัติการที่เรียกว่าสติปัญญาลงไป”

อาจารย์โทมัสพูด ตัวอาจารย์ยืนบรรยายอยู่บนแท่นหน้าห้อง ด้านหลังเป็นกระดานไวท์บอร์ดสีขาว ฉายภาพสมองของคนเรา แบ่งเป็นรูปร่างชัดเจนจนสังเกตเห็นส่วนต่างๆของสมองได้อย่างชัดเจน

“การจะทำเช่นนั้นจำเป็นต้องอาศัยการทำสมาธิ ซึ่งพวกเธอก็ได้เรียนรู้กันมาแล้ว คาบนี้จะเป็นการฝึกสอนวิธีการใช้ไซต์ของพวกเธอ” อาจารย์โทมัสพูดแล้วหายตัวลงมากลางวงนักเรียน นักเรียนต่างแยกย้ายกันไป บ้างก็ทรุดนั่งลงกับพื้น บางคนก็นั่งบนเก้าอี้วางของลงบนโต๊ะ บางคนก็นอนเอกเขนก ส่วนบางคนก็ไม่ทำอะไรนอกจากหยิบหนังสือออกมาอ่าน เมฆาชักสงสัยแล้วว่านี่เป็นการเข้าสมาธิแน่หรือเปล่า หรือว่าแค่ไม่มีใครฟังอาจารย์เท่านั้น

ครูโทมัสมีท่าทีห่อเหี่ยวใจ เมื่อตักเตือนนักเรียนคนหนึ่งแล้วได้รับคำตอบว่า “นี่เป็นวิธีการเข้าสมาธิของผมนะครับ” ช่างน่าเชื่อถือเหลือเกิน เพิ่งรู้ว่าอ่านการ์ตูนก็เป็นการทำสมาธิด้วย แล้วเป็นเรื่องแว่วเสียงเรไรด้วย อืม... ไอ้การ์ตูนเลือดสาดนั่นมันทำให้สมาธิดีตรงไหนกัน?

“สวัสดีครับอาจารย์” เมฆาทักอาจารย์โทมัส ชายวัยกลางคนผู้น่าสงสารหันมายิ้มให้เมฆา

“อ้าว สวัสดี มีอะไรจะถามครูหรือเปล่า?” ครูโทมัสถาม ที่ไม่ถามว่าทำไมเขามาอยู่ที่นี่ หรือไซต์ของเขาเป็นสายอะไร น่าจะเป็นเพราะว่าได้ศึกษาสอบถามข้อมูลของเขามาก่อนแล้ว เขารู้สึกสงสารครูโทมัสนิดๆไม่ได้ เพราะครูโทมัสเป็นครูที่มีจรรยาบรรณความเป็นครูสูงดีทีเดียว

“ครับ ผมอยากทราบว่าทำไมสมองเราถึงทำเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างการเทเลพอร์ต หรือว่ายกของทั้งๆที่ไม่ได้แตะได้ล่ะครับ? ความสามารถสายเบรนซิงโครนั้นผมพอเข้าใจเพราะว่าอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย แต่ความสามารถสายก็อดโอเมนกับเนเจอร์ไนท์นี่ผมงงจริงๆครับ” เมฆาถามเพราะอยากรู้จริงๆ

การสะกดจิตคนไม่ใช่เรื่องใหม่ การเทเลพาทีหรือการส่งกระแสคลื่นก็อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจได้อย่างง่ายว่าเป็นเพราะคลื่นสมองที่เป็นรูปธรรม แต่ไอ้เรื่องเหนือความเข้าใจอย่างการเทเลพอร์ต อ่านอนาคต เสกน้ำ เสกไฟนั้น... สำหรับเมฆาที่ทั้งชีวิตอยู่กับหลักเหตุและผล มันทำใจเชื่อได้ยากอยู่ดี

ครูโทมัสยิ้มอย่างพอใจในความใฝ่รู้ของลูกศิษย์คนใหม่ เขากระแอมแล้วเชื้อเชิญให้นั่งลงบนชุดโซฟามุมห้อง

“ครูดีใจที่เธออยากรู้นะ เป็นการใฝ่รู้ที่ดีจริงๆ ตั้งแต่ครูเจอเด็กคนอื่นๆมาที่ถูกพาเข้ามา พวกนั้นก็แทบไม่สนใจอะไรนอกจากใช้พลังจิตของตัวเอง แทบไม่เคยสนใจใคร่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังของเขาเกิดขึ้นมาได้ยังไง เหมือนๆกับที่เขาเดินได้ วิ่งได้ แต่ไม่เคยอยากรู้โครงสร้างสรีระของคนเราที่ทำให้วิ่งได้นั่นแหละ” ครูโทมัสสุดแสนจะปลื้มที่ได้เจอลูกศิษย์ใฝ่รู้แบบนี้ซักที “อันที่จริงแล้วทุกอย่างตั้งอยู่บนหลักเหตุและผลเหมือนกันหมดนั่นแหละคุณเอกนภา การเทเลพอร์ตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก หากเธอพอจะรู้เรื่องทฤษฏีรูหนอน (Worm hold) เธอก็คงจะไม่แปลกใจสงสัย” อาจารย์โทมัสบอก เมฆาทำสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที อาจารย์โทมัสมีสีหน้าแปลกใจมาก “เธอเคยอ่านด้วยหรือ?”

“ที่จริงก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมศึกษาแค่ผิวเผินเท่านั้นเอง เพราะลึกลงไปกว่านี้ภูมิความรู้ของผมก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำความเข้าใจ เข้าใจแต่ว่าการจะเรียนรู้ทฤษฏีควอนตัมนั้นต้องลบล้างสามัญสำนึกของตัวเองทิ้งไปด้วย”

“ถูกต้อง! เธอเข้าใจถูกแล้ว เมื่อเธอเรียนในชั้นฟิสิกส์ ที่นั่นเธอจะได้เรียนเรื่องทฤษฏีควอนตัม ทฤษฏีสัมพันธภาพ หลักความไม่แน่นอนของไฮเซ็นเบิร์ก สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูงที่คนทั่วไปยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ แต่ที่นี่ หากเราต้องการจะเรียนรู้เรื่องของพลังจิต เราจำเป็นต้องอาศัยหลักการที่นอกเหนือสามัญสำนึกเดิมๆ” ครูโทมัสยิ้มแป้นอย่างชอบอกชอบใจที่ได้อธิบายอะไรเป็นเรื่องเป็นราวยาวๆ

“การอ่านอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหม่มาแต่ไหนแต่ไร สิ่งเหล่านี้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันน่าทึ่งของคนพิเศษบางคน คลื่นสมองของเขามีลักษณะแปลกประหลาดที่ไม่อาจวินิจฉัยได้ด้วยวิทยาการในยุคนั้น จึงถูกมองว่าเป็นพ่อมดหมอผี แน่นอนว่าตัวผู้ใช้ความสามารถนั้นเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ก็มีความเชื่อของตนเองต่างๆกันไป มีหลักฐานหลายอย่างที่บ่งบอกว่านอสตราดามุสเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นทางที่ถูก แต่เรื่องที่เขานั่งอยู่คนเดียวในห้อง จ้องมองลงไปในกระจก จนกระทั่งเห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคต นั่นคงเป็นวิธีการใช้ไซต์ของเขา การใช้ไซต์ต้องใช้จิตสมาธิสูงมาก นั่นคือต้องอาศัยความศรัทธาอย่างแรงกล้าในสิ่งที่กำลังทำ จึงจะกระตุ้นความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ อันที่จริงหอสมุดของเรามีคำทำนายของนอสตราดามุสฉบับแปลด้วยนะ ข้อความที่เราถอดได้มีมากกว่าที่คนข้างนอกรู้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันเป็นคำทำนายของโลกเบื้องหลังนี่แหละ แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะตาแก่นั่นเขียนได้มั่วซั่วจริงๆ”

ครูโทมัสหัวเราร่วน เมฆาหัวเราะตาม เขาเคยอ่านข้อความของนอสตราดามุสเหมือนกัน และคิดว่ามันก็ไม่ได้เหลวไหลไปซะทีเดียว

“ส่วนเรื่องการควบคุมธาตุนั้น อันนี้น่าแปลกใจกว่าอีก ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่สืบทอดมาจากทางอินเดียซะส่วนมาก ศาสตร์ของโยคีมีคำอธิบายที่น่าเชื่อว่าจิตของเรามีอำนาจกว่าที่เราคาดคิด หากเราฝึกฝนมันถึงจุดหนึ่ง มันจะมีอำนาจร้ายแรง มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือธรรมดา ก็พอเป็นคำพูดที่ฟังขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่เรายังไขไม่ออกเหมือนกัน แต่ว่าการแหกกฎแบบนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย ที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเมื่อเรามีสมาธิถึงระดับหนึ่ง สมองจะก่อให้เกิดพลังงานปริศนา ทำให้สิ่งที่ฝืนกฎฟิสิกส์ หรือก่อให้เกิดเรื่องเป็นไปไม่ได้ต่างๆ ยอมรับว่าการไขความลับพลังจิตสายนี้นั้นก้าวหน้าน้อยกว่าสายอื่นจริงๆ มันค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเวทมนต์ แต่มีคำอธิบายที่ฟังดูกำกวมหน่อยๆจากพระไตรปิฏก น่าเสียดายที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้มากนัก เพราะทรงเห็นว่าการปฏิบัติไปสู่การพ้นทุกข์นั้นจำเป็นกว่าการสำแดงอภินิหาร หากพระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์อีกมากจริงๆ” ครูโทมัสทำหน้าเสียดาย เมฆายิ้มละเหี่ย เพราะเคยอ่านบทความที่เปรียบเทียบพลังงานปรมาณูกับอนัตตาในพระพุทธศาสนา ข้อความนั้นเปรียบเทียบจนเขาอดคล้อยตามไม่ได้

“เรายังต้องศึกษาเรื่องราวเหล่านี้กันต่อไป แต่ที่เรารู้ก็คือจะพัฒนาความสามารถของพวกเธอได้ยังไง พยายามเข้าล่ะ ไม่มีใครเก่งได้โดยไม่ฝึกฝนหรอกนะ” ครูโทมัสยิ้ม เมฆายิ้มตอบ รู้สึกชอบอาจารย์คนนี้ขึ้นมาทันที

ใช่จริงๆ ไม่มีใครเก่งได้โดยไม่ฝึกฝนจริงๆ การที่เขามาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ดวง ถึงเราจะไม่ได้มีไซต์ หรือพอจะฝืนใจถือเอาความสามารถในการต่อต้านการสะกดจิตสูงกว่าคนอื่นหน่อยมาเป็นไซต์ก็ตาม ความสามารถส่วนตัวที่มียังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้

จิตวิทยา วาทศิลป์ คำโกหก การแสดง สิ่งเหล่านี้คงจะพอช่วยให้เราเอาตัวรอดไปได้ซักพัก แต่จะหวังพึ่งมันตลอดก็คงไม่ได้ เรายังขาดสิ่งที่จำเป็นต่อการปกปิดอยู่

เมฆามองแหวนเงินที่นิ้วก้อยซ้าย

หากถูกจับได้ ช่วงเวลาแห่งความสนุกนี้คงจะหมดลงแน่ๆ ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาชักชอบที่นี่ขึ้นมาจริงๆซะแล้ว

“ทางเลือกของคุณเป็นทางเลือกที่ยากลำบาก เป็นทางที่คุณเลือกเอง” เสียงพูดแว่วหวานราวกระพรวนเงินดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้เมฆาหันหลังกลับไปมอง พบกับหญิงสาวอยู่ในชุดยิปซีกำลังจิบชาอยู่บนโต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่น เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามองเมฆา ดวงตาสีน้ำตาลนั้นทอแววเยือกเย็นอย่างผู้ผ่านโลกมามาก “คุณจะได้รับผลของการกระทำของตัวเองในท้ายที่สุด”

เมฆาฉีกยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มสนุกสนานและตื่นเต้นแบบเดียวกับเด็กที่รู้ว่าพ่อแม่กำลังจะพาไปสวนสนุก เมฆาเดินมาทรุดลงตรงหน้าของเด็กสาว

“ผมรู้ และผมก็ไม่คิดจะหลีกหนีมันอยู่แล้ว” เมฆาพูดเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงฟังดูเริงรื่นแบบเด็กๆ ฟรองซ์เยอซีเงียบไป แล้วหยิบแก้วชาอีกแก้วออกมา รินชาสีอำพันร้อนๆหอมละมุนในกาใส่ถ้วย ยื่นมาตรงหน้าเด็กหนุ่มท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงของคนโดยรอบ ที่มองเมฆาราวกับว่าเขาเสียสติไปแล้ว ซึ่งเมฆาเองก็สงสัยว่าตัวเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า

“ผมว่าชื่อเสียงคุณตกต่ำจนไม่รู้จะต่ำยังไงแล้วนะ” เมฆาพูดพลางกวาดสายตาไปโดยรอบ สายตาไว้อาลัยนั่นมันอะไรกันครับอาจารย์โทมัส

“ฉันชินแล้วล่ะ แม้แต่ในยุคสมัยและสถานที่นี้ ผู้มองเห็นอนาคตก็ยังเป็นเรื่องแปลกประหลาดและน่าหวาดหวั่นเสมอ” เธอพูดด้วยภาษาไทยชัดเปรี๊ยะทุกคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวท้องน้ำไร้ระลอกคลื่น เมฆายิ้มแล้วจิบชา รับรู้รสหวานอ่อนๆและกลิ่นหอมสดชื่น เด็กหนุ่มชมเชยคำหนึ่ง

“คุณชงชาได้อร่อยดีนะ” เมฆาชม “ว่าแต่ความสามารถของคุณคืออะไรล่ะ?” เมฆาถามกลับ เธอจ้องมองเมฆาอยู่นานมากราวกับจะประเมิน แต่เมฆาก็จ้องประสานสายตาโดยไม่หลบ

“ความสามารถของฉันคือการมองเห็นอนาคตที่น่ากลัวของคนอื่นได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหวานใสแต่ไร้อารมณ์นั้นเช่นเดม เมฆาทำท่าเหมือนกระจ่างแจ้ง

“อย่างนี้นี่เอง น่าสนใจดีนะ เพราะอย่างนี้ถึงได้เห็นอนาคตอันสุดแสนจะเลวร้ายของผมสินะ” เมฆาพูดอย่างไม่ยี่หระ จิบชาด้วยท่าทีเคลิบเคลิ้มต่อไป ยิปซีสาวมองชายตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดปาก

“คุณคงเดาออกว่าฉันพบเห็นความลับของคุณแล้ว” เธอหยั่ง

“ใช่ ก็พอเดาได้” เมฆาพูดเรื่อยๆ

“แล้วทำไมไม่มีท่าทีอะไรเลย” เธอถามเรียบๆ เมฆาฉีกยิ้มน้อยๆ

“ก็ไม่รู้จะแสดงท่าทีอะไรน่ะสิ เรื่องที่แก้ไขไม่ได้มันก็จนปัญญา ถึงจะโกรธ ร้อนใจไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นซะหน่อย จิบชาไปให้ผ่อนคลายแล้วยอมรับชะตากรรมซะดีๆยังดีกว่า” เมฆาซดชาแล้วยิ้มน้อยๆราวเทพบุตร “อย่าว่าแต่ใช่ว่าผมจะไม่มีทางเอาคืนซะทีเดียวนี่นะ”

“คุณเป็นคนแปลก คงมีเรื่องสนุกเยอะแยะเลยสินะ” เธอพูด เมฆาก็วางถ้วยชาลง

“แน่นอน ผมมีชีวิตอย่างน่าเบื่อไม่ไหวหรอก จะให้ผมผูกติดอยู่กับเรื่องราวซ้ำๆเดิมๆ? ฆ่าผมซะเลยง่ายกว่านะคุณฟรองซ์ฯ” เมฆาว่า ถือวิสาสะหยิบกาชามารินเติมเอง เด็กสาวมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนอ่านไม่ออก เมฆาจิบชาถ้วยใหม่แล้วพูดอย่างร่าเริง “อีกอย่าง ผมกำลังสนุกเลย และไม่ได้อยากให้ความสนุกนี้จบลงเร็วนัก ถ้ายังไงถือว่าช่วยๆกันหน่อยดีไหม?” เมฆาเสนอด้วยน้ำเสียงออดอ้อนน่าเห็นใจ แต่เหมือนไม่ได้ผล ฟรองซ์เยอซียังคงยิ้มเย็นชาเช่นเดิม

“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ?” เธอถาม เมฆานิ่วหน้าทำหน้าจนปัญญา

“ผมก็จนปัญญาแล้วล่ะ” เมฆาถอนหายใจ

“ที่จะรักษาความลับน่ะหรือ?” เธอถาม แต่เมฆาส่ายหน้าน้อยๆด้วยรอยยิ้มที่เธอยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่รอยยิ้มเทพบุตร หากแต่เป็นรอยยิ้มของซาตาน

“เปล่า จนปัญญาที่จะจบเรื่องด้วยดีต่างหาก ได้แต่หันไปหาทางเลือกว่าจะแก้แค้นคุณยังไงให้สาสมที่สุดแทน” เมฆาพูดอย่างจนปัญญาราวกับเด็กสาวเป็นคนทำให้เขาตกอยู่ในสภาพน่าสงสาร แต่เนื้อความกลับไม่ได้เข้ากับน้ำเสียงและท่าทีเลยแม้แต่น้อย

“คิดว่าทำได้?” เธอถามติดเย้ยนิดๆ แต่เมฆากลับฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นออกมา ความเชื่อมั่นในตัวเองที่ไร้ข้อกังขา มั่นใจในสติปัญญาของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมไร้ความลังเล

“ได้สิ”

ฟรองซ์เยอซีฟังแล้วไม่ได้คิดว่าเขาพูดเล่นเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้โกหก และคิดว่าเขาไม่เคยโกหกด้วย เขาพูดขู่ และจะทำจริงๆ เด็กสาวไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นหรือโมโหเลย เธอยังคงเรียบเฉยอยู่อย่างนั้น เมฆาซดชาอึกเดียวหมดวางถ้วยชาเปล่าลง แล้วรินชาเป็นถ้วยที่สามโดยไม่ได้คิดว่าตัวเองเพิ่งจะข่มขู่เจ้าของชาไปหมาดๆ

“คุณจะทำอะไรได้บ้างล่ะ” ฟรองซ์เยอซีถามออกมาในที่สุด

“โอ้ นั่นต้องถามว่าผมทำอะไรไม่ได้บ้างสิถึงจะถูก” เมฆาพูดอย่างโอหัง แต่ไม่ใช่เพียงคำคุย น้ำเสียงและแววตานั้นบ่งบอกว่าเขาเชื่อว่าตัวเองทำได้แน่นอน “จะเอาเบาะๆเช่นการกลั่นแกล้งให้อยู่ไม่สุข หรือประจานความลับทั้งหลายดี? ยังมีแบ่งระดับด้วยนะ ไม่กล้าหน้าคนในห้อง ไม่กล้าสู้หน้าคนในระดับชั้น ไม่กล้าสู้หน้าคนในโรงเรียน หรือกระทั่งไม่กล้าสู้หน้าคนบนโลก ขอเพียงคุณขอมาผมจัดให้ได้หมดนั่นแหละ” เมฆาพูดโอ้อวดอย่างภูมิใจอย่างไร้เดียงสาราวดวงตะวันอันอบอุ่น แต่เนื้อความนั้นกลับหนาวเย็นยิ่ง

“คุณจะทำจริง?” เธอถาม

“อืม... ไม่แน่หรอก ผมต้องดูอะไรหลายๆอย่างด้วย รุนแรงขนาดนั้นคงไม่หรอก” เมฆาพูดเหมือนกับว่าที่ตัวเองพูดออกไปนั้นแค่คำโว แต่ประโยคถัดมากลับเผยธาตุแท้

“ถ้าผมต้องเอาสมองไปคิดเรื่องจะทำยังไงถ้าถูกเผยความลับ สู้เอาเวลามาหาวิธีปิดปากคุณไม่ให้พูดเลยดีกว่าแยะ”

ฟรองซ์เยอซีมองดูชายที่ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือเลวผู้นี้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอ่านยาก พิจารณาบุคลิกที่เหมือนไม่ใส่สิ่งรอบตัวรักสนุก แต่กลับเจ้าความคิดและมั่นใจในตัวเองอย่างที่สุด ประกอบไปด้วยความอ่อนโยนไร้เดียงสารักสนุก และความอำมหิตที่ทำได้ทุกอย่าง กลายเป็นชายผู้ที่ไม่มีอีกแล้วเป็นคนที่สองในโลก

เด็กสาวจ้องเมฆาเขม็ง แต่แล้วก็ยิ้มน้อยๆออกมา รอยยิ้มนั้นเปลี่ยนจากสาวน้อยไร้อารมณ์ให้กลายเป็นเด็กสาวขี้เล่นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดในทันที เป็นความงามที่ทำให้ผู้คนโดยรอบที่มองอยู่ตกตะลึง

“นายนี่ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆนะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ เสียงหวานใสนั้นน่าหลงใหลขึ้นไปอีก แต่เมฆาไม่ใช่คนที่จะหลงใหลในความงาม ถึงความงามของเธอจะงามถึงขนาดล่มเมืองได้ก็ตาม เมฆายังคงยิ้มแล้วผงกศีรษะรับด้วยท่าทีนอบน้อม

“อา... นั่นเป็นคำชมที่สูงส่งที่สุดเลยล่ะครับคุณฟรองซ์เยอซี”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel