บท
ตั้งค่า

Type 15: ห้องเรียนสายเบรนซิงโคร

Type 15: ห้องเรียนสายเบรนซิงโคร

กฎข้อที่ 12 ของนักต้มตุ๋น แม้ว่าการกระทำของเราจะทำเพื่อตัวเราเอง แต่จงมองไปรอบๆ และหาทางทำให้มันเป็นการกระทำเพื่อคนอื่นเพื่อสร้างบุญคุญซะ

เป็นที่คาดเดาได้ถึงการต้อนรับอันแสนอบอุ่นเมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้องเรียนของสายเบรนซิงโคร จากการที่เขาประกาศหน้าด้านๆหน้าที่ประชุมเมื่อเช้า เป็นผลให้เกิดความหมั่นไส้จากทุกคนมุ่งเป้ามาที่เขาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

ห้องเรียนของสายเบรนซิงโครเป็นตึกสูงสีขาว 6 ชั้น แต่ละชั้นเป็นของนักเรียนแต่ละชั้นปี โดยตัวอาคารเป็นรูปตัว U แขนทั้งสองข้างเป็นของ ม.ต้น และประถม ส่วนตรงกลางเป็นของ ม.ปลาย ความสูง 6 ชั้นมากพอที่จะอัดนักเรียนทุกห้องมาเรียนพร้อมกันได้ด้วยซ้ำ แต่ก็มีนักเรียนของสายเบรนซิงโครเท่านั้นที่มาเรียน

เมื่อเขาก้าวเข้ามาในอาคาร คลื่นกระแสจิตมากมายก็ถาโถมเข้าใส่เหมือนคลื่นท้องทะเลซัดสาด มีทั้งบางเบาทั้งหนักแน่น สมเป็นของนักเรียนชั้น ม.ปลายจริงๆ มีคลื่นแปลกๆที่ทำให้เขาตายลายนิดๆ และได้ยินเสียงแปลกๆด้วย คงจะเป็นการสร้างภาพหลอน และหลอนประสาท อย่างน้อยหนังสือที่เขาอ่านมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์น่ะนะ

“สวัสดีครับ” เมฆาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาไม่สะทกสะท้าย สะกดความมั่นใจในการสะกดจิตของใครหลายๆคนให้ฝ่อลงได้นิดหน่อย เมฆาหันไปทางอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า “ผมเป็นนักเรียนใหม่ ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

“สวัสดีเช่นกันคุณปัญญาวิวัฒน์ อ้อ คนไทยเขาเรียกชื่อต้นกันสินะ งั้นก็คุณเอกนภา” อาจารย์หนุ่มพูดเนิบๆ เขามีอายุอยู่ราวๆยี่สิบปลายๆ ไว้ผมสั้นหวีเรียบร้อย สูทสีดำเรียบแปล้ไม่มีรอยยับแม้เท่าเส้นผม แว่นกรอบเหลี่ยมสีดำและแววตาคมปลาบอย่างอาจารย์ผู้ยึดมั่นต่อหน้าที่ บอกให้รู้ว่าการฝ่าฝืนกฎในห้องเรียนไม่ใช่เรื่องดี

“ครูชื่อครูจัสติน สอนวิชาตรวจสอบคลื่นจิตในสายเบรนซิงโคร กรุณาหยุดส่งคลื่นสะกดจิตได้แล้วมิสเตอร์วอนเนอร์ คุณโรซาเลีย” อาจารย์จัสตินปราม คลื่นสะกดจิตที่เสียงชัดที่สุดในหัวของเขาสองเสียงก็หายไป เมื่อครูจัสตินจ้องไปที่นักเรียนบางคนทีละคนๆ คลื่นสะกดจิตของเขาก็ค่อยๆแผ่วลงทีละเสียงๆ นั่นทำให้เมฆานับถืออย่างมาก เพราะขนาดตัวเขาเองที่เป็นเป้ายังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกว่าคลื่นนั้นส่งมาจากไหน ถ้าหากเขาสามารถจับคลื่นได้ล่ะก็คงจะมีประโยชน์ไม่น้อย

จัสตินหันมาทางเมฆาแล้วมองด้วยท่าทีประเมิน เมฆาประสานสายตาอย่างไม่คิดหลบ แม้จะรู้สึกว่าตาของจัสตินทอประกายประหลาด แต่กลับทำให้เขาไหววูบมากที่สุด

“ใช้ได้นะ ว่าแต่ไซต์มาสเตอร์ไมน์ของเธอครูเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก มันเป็นไซต์แบบไหนล่ะ?” จัสตินพูดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เมฆานั่งลงบนพื้นที่มีเบาะนุ่มๆวางเรียงรายอยู่ และสังเกตว่านักเรียนในห้องต่างก็นั่งลงหมดแล้ว

ห้องเรียนของสายเบรนซิงโครเป็นห้องโล่งกว้างสีขาว ผนังห้องบุด้วยวัสดุที่คล้ายๆนวมกันกระแทก หรือเครื่องบุเก็บเสียง แต่เขาเดาว่าคงจะเป็นฉนวนกันคลื่นสมอง ผนังห้องด้านหนึ่งมีจอภาพสีขาว ด้านหนึ่งเป็นโปสเตอร์สีสันสดใสหลายแผ่น ส่วนอีกด้านดูเหมือนจะเป็นผังรายชื่ออะไรซักอย่าง เมื่อนักเรียนนั่งลงบนห้องแล้วก็หยิบไซปาล์มออกมาเตรียมจดเล็กเชอร์กันแล้ว

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ดูเหมือนว่าด็อกเตอร์วิลเลียมจะยังระบุสายของไซต์มาสเตอร์ไมน์ไม่ได้ เลยให้ผมมาเรียนแต่ละสายไปพลางๆก่อนครับ”

คำตอบของเมฆาทำให้นักเรียนที่ไม่ได้เรียนอยู่ห้อง 4A พากันงุนงงสงสัย ครูจัสตินมองเมฆาด้วยแววตาประหลาดใจ ดูเหมือนว่าความรู้สึกที่สมองคล้ายกับถูกเจาะแบบนี้จะเป็นการถูกอ่านความทรงจำนะ

“เอ่อ... การอ่านความทรงจำนักเรียนนี่มันผิดกฎไหมครับ?”

การเตือนของเมฆาทำให้จัสตินชะงักไป ชายหนุ่มยิ้มระบายเต็มหน้าอย่างถูกใจแล้วพยักหน้า

“ทำได้ดีนี่คุณเอกนภา ดูเหมือนว่าเธอจะรับรู้ถึงการแทรกแซงนะ สนใจจะมาเรียนกับครูไหม?” ครูจัสตินทาบทาม เมฆายิ้มระรื่นแต่ส่ายหน้าน้อยๆ

“ยังก่อนละกันครับ ผมว่าลองเรียนให้ครบแล้วหาสายวิชาที่อยากเรียนให้เจอก่อนดีกว่า” ครูจัสตินพยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มพูดต่อ

“ถ้าเธอไม่เคยมาเรียนสายนี้ครูจะอธิบายให้เธอฟังก่อนนะ นักเรียนแต่ละคนจะได้รับตารางสอนตามสายพลังของตัวเอง โดยจะมีครูที่เชี่ยวชาญในแต่ละสายคอยสอน เช่นการสะกดจิต การป้องกันจิต การหลอนจิต คาบนี้เป็นคาบของนักเรียนสายตรวจสอบจิต เธอก็ลองเรียนดูก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเป็นการเข้าเนื้อหาบทเรียน เมฆาที่มาหลังจากเขาเริ่มเรียนไปเป็นเดือนเกิดอาการปรับตัวไม่ทันนิดหน่อย แต่โชคดีที่มีคนใจดีส่งเมมโมรี่การ์ดเล็กๆมาจากด้านหลังให้

“เอานี่ เล็กเชอร์เทอมนี้” ใบหน้าราบเรียบของสาวจีนมองเขาแล้วยื่นเมมโมรี่การ์ดในมือให้ กระตุกเบาๆเป็นเชิงเร่งให้รับไปเร็วๆ ส่วนเมฆากำลังงงที่ทำไมเซี่ยหลานถึงส่งให้ เซี่ยหลานเพิ่งนึกออกว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษจึงเอียงคอน้อยๆ

“หนีห่าว” เธอลองทักเป็นภาษาจีน เมฆาขมวดคิ้ว คิดในใจว่าทำไมต้องทักรอบสอง อ๋อ เมื่อกี้ไม่ได้ทักทาย เลยทักทายใหม่สินะ เป็นคนแปลกๆดี

ส่วนเซี่ยหลานเห็นเมฆาขมวดคิ้วหนัก เลยเข้าใจว่าคงไม่เข้าใจ เธอเองก็ไม่ค่อยถนัดภาษาไทยนักเพราะคิดว่าไม่ได้ใช้ เพราะปกติแล้วเวลาคุยกันนอกชั้นเรียนก็จะพูดกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก เมฆาที่อยู่โรงเรียนไทยมาตั้งแต่เด็กคงจะไม่สันทัดภาษาอังกฤษพอๆกับเธอห่วยภาษาไทยนั่นแหละ รู้งี้ไม่น่าหลับคาบไทยบ่อยๆเลยแฮะ เธอเกาแก้มแล้วนึกหาทางใหม่

“เอ่อ... สวัสดี?” เธอทักภาษาไทยที่ง่ายที่สุดในโลกแล้วยกมือขึ้นไหว้ จำได้ว่าคนไทยทักกันอย่างนี้

“สวัสดี” เมฆายกมือขึ้นไหว้ตอบ ละกำลังพิจารณาอย่างจริงจังว่ากำลังสนทนากับคนไม่เต็มเต็งอยู่หรือเปล่า

“เอ่อ... ให้” เซี่ยหลานนึกถึงคำไทยง่ายๆที่นึกออก แล้วยื่นเมมรี่การ์ดในมือส่งให้ประกอบไปด้วย คิดในใจว่าทำไมการทำดีมันช่างยากเย็นแบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนเมื่อเช้าก็ต้องอดทนทำดีต่อไป

‘เซี่ยหลาน วันนี้เธอต้องพยายามมีน้ำใจกับคนที่กำลังลำบากนะ แล้วเธอจะได้การช่วยเหลือตอบแทนในภายหลัง ไม่งั้นเธอจะมีเคราะห์ได้’

ถึงเธอจะไม่ค่อยอยากเชื่อฝีมือไพ่ทาโร่ของฟรองซ์เยอซีเท่าไหร่ แต่ในเมื่อข้อพิสูจน์ของความแม่นคือการเดินแหวกทางราวกับโมเสกแหวกน้ำเวลาเพื่อนเธอเดินผ่าน ก็ทำให้เธอไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำทำนายนั้น

“ขอบคุณครับ” เมฆาพูดขอบคุณสั้นๆแล้วรับมาด้วยรอยยิ้ม เธอยิ้มตอบอัตโนมัติ คิดอิจฉาคนไทยที่ยิ้มสวยในใจ เกิดความสุขของการเป็นผู้ให้ขึ้นมา ว่างๆไปทำบุญหน่อยน่าจะดี ระหว่างที่กำลังจะสอนให้เมฆาใช้เมมโมรี่การ์ด เจ้าตัวก็ยัดการ์ดเข้าไปในในเครื่องแล้วเปิดไฟล์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเลยชักมือกลับเก้อๆ แล้วเสลงจดงานต่อแทน

เมฆายิ้มแล้วจดงาน รู้สึกว่าโรงเรียนนี้ไม่ได้มีแต่พวกกวนโมโห (นักเลง) ไม่เอาใคร (เบ๊นซ์) พวกหัวดื้อ (ชิน) หรือพวกน่ากลัว (ฟรองซ์) เท่านั้น

“การตรวจสอบคลื่นสมองแบบง่ายที่สุดคือการปล่อยจิตให้ว่าง สงบ พร้อมรับทุกความคิดที่อยู่รอบตัว หากเราคิดนั่นคิดนี่วุ่นวายและปิดกั้นก็จะไม่สามารถรับคลื่นต่างๆได้” ครูจัสตินพูด

“แต่แบบนั้นก็โดนครอบงำง่ายขึ้นน่ะสิครับ?” นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม

“นั่นก็ใช่นะคุณวอนเนอร์ แต่ถ้าเธอไม่หาต้นตอของมัน เธอก็จะโดนสะกดจิตไปเรื่อยๆจนกว่าจะเป็นฝ่ายแพ้ อย่างน้อยถ้าเธอปล่อยจิต ก็ยังมีโอกาสที่จะจับต้นตอของคลื่นได้ ถึงจะเสี่ยงหน่อย แต่ก็ยังดีกว่างอมืองอเท้านะ” ครูจัสตินพูดแล้วยิ้ม “เอาล่ะ คราวนี้ครูจะเริ่มสะกดจิตพวกเธอทีละคน ใครที่รู้สึกตัวว่าโดนสะกดจิตขอให้ยกมือขวาขึ้นนะ แต่ถ้าใครยกมือซ้ายขึ้นแปลว่าโดนครูสะกดจิต แล้วจะโดนหักคะแนน ส่วนใครที่ยกมือขวาได้ก็ได้คะแนนไป เอาล่ะ เริ่ม”

นักเรียนทั้งห้องหลับตาลงทันที การหลับตาเป็นการตัดช่องทางรับรู้ทางหนึ่งทำให้ตั้งสมาธิได้ง่ายขึ้น เมฆาหลับตาลงแล้วปล่อยจิตให้ว่างแบบเดียวกับการนั่งสมาธิ เขารับรู้ถึงความเงียบสงบอย่างช้าๆ จนกระทั่งเข้าสู่สมาธิ

‘ยกมือซ้าย’

คลื่นเสียงคำสั่งนุ่มลึกนั้นดูน่าคล้อยตามอย่างน่าประหลาด มันแทบจะทำให้คนที่ได้ยินยอมทำตามคำสั่งในทันที แต่สำหรับเมฆาที่ทั้งชีวิตอยู่กับการต่อต้านคำสั่งมาตลอด มันจึงแค่เกือบๆไป ไหล่ซ้ายของเขากระตุก แต่เขาก็ระงับไว้

แม้จะเกือบถูกสะกดจิตได้ง่ายกว่าเก่า แต่ในมโนภาพปรากฏเป็นคลื่นบางๆที่มองเห็นได้รางๆมาจากทิศทางหนึ่ง มันเห็นชัดเจนกว่าที่เคย ปกติแล้วเมื่อมีคนพยายามสะกดจิตเขา เขาจะรู้สึกซ่าๆในหัว ไม่รู้ว่าคำสั่งที่ส่งเข้ามาคืออะไร ดังบ้างเบาบ้างตามแต่ความแรงของคลื่น แต่ไม่มีครั้งไหนที่ชัดเจนจนหาที่มาได้แบบนี้ ครูจัสตินพูดถูก ถึงจะถูกสะกดจิตได้ง่ายขึ้น แต่ก็หาตัวคนทำได้ง่ายพอๆกัน เมฆายิ้ม แล้วยกมือขวาขึ้น

คลื่นคำสั่งนั้นหายไป ราวๆสามหรือสี่นาทีต่อมา เขาก็ถูกสะกดจิตอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาต้านมันได้ไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว คลื่นการสะกดจิตแรงขึ้นกว่าเก่า แต่เมื่อเขาเตรียมตัวพร้อมแล้วเลยจับรับมือได้ง่ายกว่าเก่า นั่นทำให้เขาเรียนรู้เรื่องหนึ่ง

การตั้งสมาธิก็เหมือนกับการก่อเขื่อนรับน้ำ ถ้าก่อสูงไป แม้จะป้องกันได้หมด เขาก็ไม่มีทางมองเห็นผิวน้ำ แต่ถ้าต่ำไป คลื่นจะทะลักทลายเข้าทับเขา การตั้งสมาธิก็ต้องตั้งอยู่ในระดับที่พอดีกับคลื่นแต่ละครั้ง แต่ใครมันจะไปตรัสรู้ว่ามันจะสะกดจิตแรงหรือเบามาล่ะวะ ได้แต่จับหลักแล้วจำเอาไว้เท่านั้น จากนั้นค่อยๆฝังตัวเองลงในสมาธิลึกขึ้น แล้วลืมตาขึ้นมา

การลืมตาทำให้สมาธิของเขาตกวูบลง เปรียบเสมือนเขื่อนที่พุ่งพรวดสูงขึ้น แต่เขาไม่ได้สนใจมากนัก ค่อยๆประคองสมาธิให้ลึกลงทั้งๆที่ยังลืมตา จากนั้นก็มองไปรอบๆห้อง แล้วพบว่าทุกๆ8หรือ9วินาทีจะมีนักเรียนยกมือขึ้นแล้ววางลง ส่วนใหญ่จะเป็นมือซ้าย เขาตรองดูชั่วครู่ก็เห็นครูจัสตินหันหน้าไปทางนักเรียนหลายคนกว่าจะมีนักเรียนยกมือก็เข้าใจ

นักเรียนบางคนจะเข้าสมาธิไม่ค่อยได้ ดังนั้นครูจัสตินที่จงใจปล่อยคลื่นอ่อนๆก็จะไม่สามารถสะกดจิตได้ ส่วนบางคนที่เข้าสมาธิลึกเกินไปก็จะโดนสะกดจิตเข้าเต็มๆ มองจากจำนวนแล้วคนที่เข้าสมาธิได้มีน้อยคน แถมยังเข้าลึกไปอีกด้วย เมฆายิ้มบางๆกับตัวเอง ชักรู้สึกว่ามีทางเอาไซต์มาสเตอร์ไมน์มาเพิ่มลูกเล่นได้อีกหน่อยแล้ว

เมฆามองไปรอบห้องแล้วสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ในหูของเธอเสียบหูฟังแล้วโยกไปตามเพลง เธอยกมือขวาขึ้นแล้วก็เอาลงถึงสามครั้งตอนเขามอง เมฆายิ้ม รู้สึกว่าเป็นวิธีที่ฉลาดดีทีเดียว เอาเพลงมาฟังให้จดจ่ออยู่กับเพลงจนรับคลื่นง่ายขึ้น แต่ก็ตั้งสมาธิกับเพลงจนไม่หลงไปกับคลื่นสะกด พอรู้สึกว่ามีคลื่นรบกวนก็ยกมือ แน่มากจริงๆ

น่าเสียดายที่เมฆาไม่ได้ยินเพลงที่เธอกำลังฟังอยู่

‘...อยากสวยอยากใสอยากเด่น แต่ดันเรียนไม่เก่ง ก็ขอให้ยกมือขึ้น อยากรวยอยากเท่ห์อยากหล่อ แต่ยังขอเงินพ่อ ก็ขอให้ยกมือขึ้น แก่จะตายแต่อยากได้แฟนเด็ก เอาที่ใส่ฟันเหล็ก ก็ขอให้ยกมือขึ้น...’

เย้วๆ เด็กสาวร้องในใจแล้วก็ยกมือขึ้นอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้สนใจที่ครูสอนเลยซักนิด ถ้าเมฆาได้ยินคงเอาหัวโขกเต้าหู้ตายแน่

เมฆาตั้งสมาธิให้ลึกลง ได้ไอเดียจากเด็กสาวใส่หูฟังมาปรับใช้ การตั้งสมาธิทำให้รับคลื่นง่ายขึ้น แต่การปล่อยจิตให้ว่างกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ถูกสะกดจิตได้ง่าย ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งสมาธิโดยไม่ให้จิตว่างแทนสิ

มือขวาและมือซ้ายของเมฆาวางหงายอยู่บนเข่า ในห้วงสมองจำลองภาพของตัวเองในท่ากำลังนั่งอยู่ ค่อยๆตัดรายละเอียดอื่นออกจนเหลือคั่วเองนั่งอยู่ในห้องสีขาว หมุนไปรอบๆเหมือนกล้องที่เปลี่ยนมุมมอง จนรับรู้ทุกส่วนของร่างกายแม้กระทั่งเสื้อผ้า จากนั้นก็ตั้งจิตให้ตัวเองลอยเข้าร่าง มองภาพเบื้องหน้าเหมือนดวงตามองเห็นปกติทั้งๆที่หลับตาอยู่ ค่อยๆก้มหน้าลง ภาพที่เห็นก็ค่อยๆต่ำลงจนมองมือทั้งสองข้างที่อยู่บนตักได้อย่างชัดเจน

มือทั้งสองข้างค่อยๆปรากฏเปลวไฟเล็กๆขึ้น แล้วค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นบนฝ่ามือทีละน้อย ความรู้สึกบนผิวหนังเริ่มร้อนวูบวาบตามมโนภาพ ลูกไฟดวงเล็กเริ่มใหญ่ขึ้นจากหัวเข็มหมุดค่อยๆขยายออกเท่าไม้ขีด แล้วก็ย่อลงไป เมฆาตั้งสมาธิปล่อยจิตให้ว่าง ตั้งแน่วแน่อยู่ที่ลูกไฟในมือขวาอย่างแน่วแน่ ลูกไฟค่อยๆใหญ่ขึ้นพร้อมกับความรู้สึกร้อนที่มือก็กลับมา เมฆายิ้มให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ

วิธีการเข้าสมาธิแบบนี้ของเมฆาเรียกว่ากสิณ เป็นวิธีการเข้าสมาธิแบบหนึ่งของพระ แม่ของเขาเคยสอนให้นั่งสมาธิแบบวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการปล่อยจิตให้ว่างเปล่าอิ่มเอิบ แต่เขาทำตามแล้วไม่ค่อยเข้าสมาธิเท่าไหร่ เลยใช้วิธีจ้องเปลวเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาแทน ผลปรากฏว่าเขามีสมาธิดีเกินคาด หลังจากนั้นมาเขาก็ใช้วิธีนี้มาตลอด เมื่อไม่มีเทียนก็หลับตานึกภาพเปลวไฟบนมือแทน ไปๆมาหลังจากนั้นเวลาเขาเข้าสมาธิแบบเพ่งกสิณ เขาก็เกิดความร้อนขึ้นที่มือจริงๆ พอไปถามผู้รู้ เขาก็บอกว่าเป็นวิธีการเพ่งกสิณที่เป็นวิธีหนึ่งในการเข้าสมาธิ รายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะแยะขี้เกียจจำจนเขาลบทิ้งจากสมองไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อรู้ว่าใช้ได้จึงเอามาลองทำดูเลย

เมฆารู้สึกแปลกๆเมื่อเปลวไฟบนฝ่ามือมันไหววูบๆเหมือนมีคลื่นอะไรบางอย่างมารบกวน เมฆาลองขยับความรู้สึกมารอบตัว รับรู้ได้ถึงกระแสคลื่นแปลกๆที่แผ่ออกมาจากรอบด้าน โดยมีความรู้สึกรุนแรงมาจากด้านหลัง เป็นคลื่นประหลาดที่รุนแรงแบบการสะกดจิต แต่มันไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา มันมุ่งมาที่เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาต่างหาก เขาลองเพ่งไปที่กระแสคลื่นที่แตกแถวออกมา ปล่อยให้มันเข้ามาในสมองแล้วฟัง

‘บีบคอไอ้คนข้างหน้าแรงๆเลย’

เป็นคำสั่งที่อาจจะไม่มีอะไร ถ้าคนที่โดนสั่งไม่ได้นั่งข้างหลังเขาน่ะนะ

เมฆาลืมตาขึ้นแล้วหันหลังกลับทันที เด็กสาวที่ชื่อเซี่ยหลานกำลังขมวดคิ้วแนบแน่น ดูท่ากำลังพยายามต่อต้านอยู่ แต่มือทั้งสองข้างเริ่มยกจากบนตักแล้ว แถมยังกำเสียแน่นด้วย ไม่อยากคิดว่าถ้ามันมาอยู่บนคอเขาแล้วมันจะรู้สึกยังไง

เขาหลับตาลงอีกครั้งเริ่มสร้างมโนภาพไฟบนฝ่ามือ จับหาต้นตอของการปล่อยคลื่น สูงไป ลดลงอีกๆ เมฆาลดระดับการป้องกันลงช้าๆจนจับต้นตอได้ จากนั้นก็ลืมตาขึ้น หยิบไซโฟนของใครซักคนแถวๆนั้นมา ขว้างอย่างแม่นยำลงไปกลางหัวของคนที่เขาจำชื่อได้ว่าวอนเนอร์เต็มแรง

โป๊ก!

“โอ๊ยยย!!!”

เสียงเครื่องอิเล็กทรอนิกส์กระทบเนื้อหนังเสียงดังฟังชัด มาพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด วอนเนอร์ยกมือขึ้นกุมหัวป้อยๆแล้วสอดส่ายสายตาหาคนทำ เมฆาหันหลังกลับหลับตาทำเนียนต่อในพริบตา วอนเนอร์ยกไซโฟนต้นเหตุขึ้นมาดูแล้วพลิกไปด้านหลังตัวเครื่องที่เขียนชื่อเจ้าของเอาไว้

“ไอ้แม็ก!!!” เสียงแผดร้องอย่างกราดเกรี้ยวดังขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่ที่กระโจนมาเบื้องหน้า บีบคอผู้ชายที่นั่งข้างๆเมฆาเขย่าไปมาอย่างโกรธจัด

เซี่ยหลานถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก มองผู้ชายข้างหน้าที่ก้มตัวลง ไหล่สั่นน้อยๆอย่างคนกำลังหัวเราะ เธอหัวเราะเบาๆ ไม่นานนัก ห้องเรียนก็เละเทะจากการตีกันของคนทั้งสอง ขยายลามไปยังคนรอบๆ และแผ่ขยายไปทั้งห้องอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะเมฆากับเซี่ยหลานหลบมายืนที่ด้านข้างกับครูจัสตินอย่างผู้รู้เหตุการณ์

“ครูรู้นะว่าเธอทำ” ครูจัสตินพูดกับเมฆา

“ครูพูดเรื่องอะไรเหรอครับ? พอดีความจำเสื่อม” เมฆายืมมุกเบ๊นซ์มาใช้พลางโยกหัวหลบของที่ปลิวมา มันกระแทกกับผนังแล้วร่วงลง ปรากฏว่าเป็นหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง

“เอาเถอะ ถือว่าเธอไม่ได้เริ่มก่อน” ครูจัสตินหัวเราะหึหึแล้วไม่พูดอะไรต่อ เมฆายิ้มบางๆ ส่วนเซี่ยหลานรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ฟังคำเพื่อน

โดยไม่ทันทีใครสังเกตเห็นเปลวไฟดวงเล็กๆบนมือเมฆาที่วูบหายไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel