Type 14: โล่อันยิ่งใหญ่
Type 14: โล่อันยิ่งใหญ่
กฎข้อที่ 10 ของนักต้มตุ๋น จงอาศัยจุดอ่อนของคนคนนั้นในการควบคุมเขา แต่จงระวัง ใช้มันอย่างพอดี อย่าไล่ให้เขาจนตรอกจนหมดทางเลือก หากมากเกินไป เขาจะหันมาแว้งกัดเราโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“บอกหน่อยได้ไหมไอ้คุณเมฆา ว่าทำไมต้องไปประกาศศึกซะกลางวงดงตีนประชาชีขนาดนั้นด้วย ไม่รู้เหรอว่าอีกไม่กี่นาทีพวกถ่อยๆทั้งหลายในโรงเรียนจะแห่กันมาให้สารอาหารเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (โปรตีน) แกเป็นโขยง” เบ๊นซ์พูดอย่างเบื่อหน่ายขณะที่พวกเขาเดินจากแถวเข้ามาในห้อง
“ช่ายยย... และฉันว่าถ้าฉันเลิกทำแบบนี้นายจะเละเป็นวุ้นในไม่กี่นาที” ชินยกมือขึ้นปัดค้อนที่ ‘บังเอิญ’ ลอยมาทางทิศที่คำนวณดูแล้วเป็นหัวเมฆาพอดีเป๊ะเป็นครั้งที่ 10 ในระยะ 200 เมตรจากแถว
“แล้วพวกนายคิดว่าฉันมีพวกนายเป็นเพื่อนไว้ทำหอกอะไรล่ะ?” เมฆาย้อนถามแล้วหันไปฉีกยิ้มหวานให้ไอ้บ้าที่พยายามสะกดจิตเขาเป็นคนที่ 11 “อีกอย่างนะครับ กรุณาเลิกพยายามสะกดจิตผมเสียที เดี๋ยวปั๊ดสั่งให้ไปเต้นระบำแก้ผ้ารอบสนามซักสิบรอบเลยนี่” เมฆาพูดพร้อมประกายตาแข็งกร้าว อีกฝ่ายเบิกตากวางอย่างเสียขวัญ เมฆาสะบัดแขนที่จับเขาออก “ให้ตายสิ ทำไมมีแต่พวกที่ต้องอาศัยการแตะตัวเพื่อสะกดจิตทั้งนั้นเลยนะ ไม่มีพวกที่เข้าท่ากว่านี้แล้วหรือไง?” เมฆาสะบัดแขนอย่างรำคาญ “ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ว่าซักคำ”
“งั้นไหนลองบอกเหตุผลที่ฉันต้องมาทำแบบนี้ให้นายซักข้อซิไอ้ตูด” เบ๊นซ์ว่าพลางดีดน็อตกระแทกก้อนหินลอยละลิ่วไปอีกทางพลางยื่นมือไปรับก้อนหินที่ลอยมาจากทางด้านหลังราวกับมีตาหลัง
“ง่ายๆนะ อีกไม่กี่นาที ถ้าไอ้พวกนี้ยังทำเรื่องงี่เง่านี่ไม่เลิกโดยการโยนอะไรใกล้มือมาเรื่อยๆ พวกนายที่อยู่ในรัศมีก็ต้องปัดป้องโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นพวกนายจะถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับไอ้เด็กใหม่จอมหยิ่งไร้สัมมาคารวะสุดจองหองไงล่ะ” เมฆาตอบสบายๆ
“คิดอีกแง่นะ ถ้าฉันหยุดมือไม่ช่วยล่ะมันจะเกิดอะไรขึ้น” ชินพูดแล้วเอียงคอหลบ ปล่อยให้ก้อนหินลอยไปตามทางของมัน ปะทะเข้ากับหลังหัวเมฆาดังโป๊กสนั่นหวั่นไหว เลือดสีแดงไหลรินลงมาทันที ทั้งแถวหยุดสะดุดกึก แม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างก็หยุดรอดูท่าที
เมฆายกมือขึ้นลูบศีรษะ เลือดแดงฉานเลอะเต็มมือ เจ้าตัวเอียงคอพินิจดูของเหลวเหนีวข้นนั่นนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร ไม่ถึงอึดใจก็มีเด็กสาวคนหนึ่งแหวกวงล้อมเข้าไปหาเมฆาทันที
“พี่เมฆา! เดี๋ยวแก้วรักษาให้ รอแป๊บนะคะ” เธอพูดอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพ โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง เธอยกมือขึ้นเหนือบาดแผลแล้วหลับตา หนังหัวเมฆาเต้นตุ๊บๆ ก่อนกระบวนการฟื้นฟูเซลล์จะถูกเร่งขึ้นหลายสิบเท่า ชั่วอึดใจเดียวบาดแผลแตกก็สมานหันจนสนิท เหลือเพียงคราบเลือดเป็นทางยาวเท่านั้น
“ขอบใจมากจ้ะแก้ว” เมฆาหันมายิ้มให้ แก้วฉีกยิ้มอ่อนหวาน แล้วก้อนหินก้อนหนึ่งก็ลอยมาทางเมฆาอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเบิกตามองก้อนหินก้อนนั้นลอยมาในแนวเฉียดแก้วเข้าศีรษะเข้าโดยไม่ทันขยับตัว
ตูม!
เสียงหมัดเพียวๆปะทะกับก้อนอิฐนั้นจนแหลกเป็นผุยผง ไอทะมึนแผ่ซ่านกดดันจนทุกคนหายใจไม่ออก มือข้างหนึ่งชูค้างอยู่ในอากาศ มีฝุ่นผงติดอยู่เต็ม ทำให้รับรู้โดยไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนชกทีเดียวก้อนหินแตกป่นเป็นผง ชินหรี่ตาที่แวววาวไปด้วยโทสะนั้นกวาดตามองไปในฝูงคน
“ใคร... ขว้าง...” ชินพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม “บังอาจ... มันอาจจะโดนน้องข้าได้นะเว้ย... แกคิดว่าตัวเองปาแม่นแค่ไหนกันหา!!!” ชินตวาดเสียงกัมปนาทด้วยโทสะ ก้องไปทั่วทั้งทางเดิน ทุกคนหยุดเท้าด้วยความหนาวเหน็บ
“นายอาจจะไม่รู้นะเมฆา แต่คนโรงเรียนนี้น่ะ...” เบ๊นซ์พูดพลางหัวเราะหึหึเอนตัวพิงกำแพงด้วยท่าทางรอชมละครฉากสนุก “กลัวคนมีฉายาเทพกันหัวหดเลยว่ะ”
“ใครเป็นคนทำ... ก้าวออกมา!!!” ชินตวาดเสียงก้อง สองมือกำแน่นจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
“หมอนั่น” เมฆาชี้ไปที่นักเรียนซึ่งยืนหน้าซีดคนหนึ่งที่สะดุ้งทันทีที่โดนชี้ ชินหันไปมองราวกับพยัคฆ์เห็นเหยื่อ เด็กคนนั้นที่น่าจะอยู่ซัก ม.3 หน้าซีดปฏิเสธตะกุกตะกัก
“ม... ไม่ใช่นะครับพี่เฮอคิวลิส...” ชายคนนั้นปฏิเสธเสียงสั่นๆ
“หมอนั่นอาจจะตอแหลเก่ง...” ชินพูดเสียงต่ำย่างสามขุมเข้าหาชายคนนั้น “แต่มันไม่มีทางปล่อยให้คนที่ปาหินใส่มันรอดไปได้หรอก ฉะนั้น...” ชินหรี่ตาฉีกยิ้มเหี้ยม “เอ็งตายยย!!!”
เมฆายิ้มพลางมองชินลากหมอนั่นไปอัดอีกทาง แล้วหันมายิ้มไร้เดียงสาอันน่าอันตรายให้เบ๊นซ์ “นั่นไงเหตุผล” แล้วก้มลงมองแก้วที่กำลังตรวจแผลเขาตาแป๋ว
“แก้ว พี่โดนหาเรื่องอ่ะ พี่ว่าอีกไม่นานพี่ได้มีแผลเต็มตัวแน่เลย...” เมฆาลากเสียงด้วยท่าทีน่าสงสาร แก้วถอนหายใจ
“แล้วพี่ไปประกาศแบบนั้นหน้าที่ประชุมทำไมล่ะคะ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆเลย” แก้วบ่น เมฆายิ้มแหยๆ
“ก็พวกมันหาเรื่องอัดพี่ก่อนอ่ะ เมื่อเช้าพี่ก็โดนดักตีนะ เห็นไหม นี่แผลยังอยู่เลย” พูดจบเจ้าตัวก็ถลกแขนเสื้อโชว์แผลที่มีรอยเลือดซิบๆเป็นทางให้ดู มันไม่ได้หนักหนาอะไร น่าจะถูกมีดบาดเฉี่ยวๆมากกว่า เลือดก็ออกแค่ซิบๆ แต่แก้วก้มลงรักษาให้ทันที
“จริงเหรอพี่! ตายแล้ว ทำไมพวกนั้นทำแบบนี้ล่ะ!” แก้วบ่นไปรักษาไป “โธ่ มาแบบนี้ก็อีหรอบเดียวกับพี่ชินน่ะสิ” แก้วพูดแบบปลงตก เมฆาทำตาแป๋วน่าสงสาร
“แก้วทำแผลเก่งจัง” เมฆพูดลอยๆ
“แน่สิพี่ พี่ลองมีพี่ชายที่ได้แผลเต็มตัวกลับมาวันเว้นวันสิ ไม่เก่งไงไหว” เธอพูดไปก็ทำท่าแค้นพี่ไป “หนูต้องตื่นมาตอนกลางคืนมาทำแผลให้พี่เขาประจำเลย” เธอพูดอย่างอัดอั้น
“แก้วมีไซต์รักษาแผลนี่นา งั้นถ้าพี่เป็นแผล แก้วทำแผลให้พี่บ้างสิ” เมฆาขอ แก้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ได้เลยพี่” เธอรับคำ เมฆายิ้มแป้น
“อืม... แก้วนี่น่ารักจัง ทำอาหารก็เป็น ทำแผลก็ได้ งานบ้านก็เป็น แบบนี้ใครได้เป็นเจ้าสาวโชคดีตายเลย” เมฆาว่า แก้วหน้าแดงขึ้นมาทันตาเห็น เมฆายิ้มสง่างามเมื่อเห็นว่าแววตาของเธอมีแววหวานของสาวแรกรักอยู่เต็มที่ หวาๆๆ น้องแกมีหนุ่มที่ชอบแล้วนะชิน
“พี่น่าจะมีน้องแบบนี้มั่งนะ... จะได้ทำอาหารให้พี่กินได้” เมฆาทอดถอนใจ แก้วเงยหน้าขึ้นมาทั้งๆที่ยังหน้าแดงอยู่
“งั้นหนูทำให้พี่เพิ่มอีกกล่องก็ได้นะ” เธอเสนอ
“จริงอะ!” เมฆาพูดอย่างดีใจ เด็กสาวพยักหน้ารับจริงจัง
“จริงสิ ปกติหนูก็ทำข้าวกล่องสามกล่องอยู่แล้ว เพิ่มมาอีกกล่องก็ไม่แตกต่างกันมานักหรอก” เธอพูดแล้วยิ้มอ่อนหวาน โอ้ มีแก้วเป็นน้องสาวนี่ทำบุญมาสิบชาติจริงๆ
แก้วเดินแยกไปเข้าชั้นเรียนแล้ว ชินก็เดินกลับมาในสภาพที่เสื้อผ้าไม่ยับ เหงื่อไม่ซึม ลมหายใจไม่หอบ มาถึงก็กวาดตาหาน้องทันที
“อ้าว แก้วไปไหนแล้ว?”
“ไปเรียนแล้ว” เมฆาว่า “อ้อ แก้วบอกว่าถ้าฉันบาดเจ็บแล้วจะรักษาให้ฉันแน่ะ” เมฆาพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่ชินเบิกตากว้าง
“นายไปหลอกน้องฉันอีท่าไหนวะ!” ชินสบถ เมฆาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เปล่านะ ฉันออกจะใสซื่อบริสุทธิ์ จะไปหลอกใครได้” เมฆาตีหน้าแบ๊วได้น่าถีบมากในสายตาชิน
“ถ้าแกใสซื่อโลกนี้ก็ไม่มีใครเจ้าเล่ห์แล้วล่ะ” ชินแดกดัน “ชิ ฉันไม่ยอมให้นายเข้าใกล้น้องฉันหรอกโว้ย!” ชินหมายมาด แต่เมฆากลับยิ้มระรื่นพูดต่อด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แต่แสบใจคนฟังอย่างชินเป็นที่สุด
“อ้อ ลืมบอกไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ น้องนายบอกว่าจะทำข้าวกล่องให้ฉันกินด้วยนะ”
ชินอึ้งไปสามวิ
“ว้ากกก!!! แก!!!” ชินร้องเต้นเหยงๆเป็นเจ้าเข้าด่าไม่ออก เมฆากลับยิ้มสบายอารมณ์เหมือนไม่รู้ตัวว่าคนฟังโกรธจนแทบพ่นไฟ
“เวลาฉันมีแผลน้องแกก็รักษาให้ หิวข้าวก็ทำข้าวกล่องให้กิน มีน้องแบบแก้วนี่ทำบุญมาสิบชาติจริงๆนะ” เมฆาพูดอย่างชื่นชม แต่จี๊ดใจคนฟังสุดๆ
“แก!!! อย่ายุ่งกับน้องชั้นนะเฟ้ย!!!” ชินร้องเสียงหลงจับชินมาเขย่าๆ
“อ๊ะๆ เขย่าแรงเดี๋ยวฉันบาดเจ็บนา” เมฆาเตือนเสียงนุ่ม ชินชะงัก
เขย่าแรง = บาดเจ็บ = น้องเขารักษา พอไล่เรียงได้ก็แข็งค้างไปทันที
“แก... คิดจะจีบน้องฉันเรอะ?” ชินถามเสียงต่ำอย่างน่ากลัวเมฆาแกะมือชินออกจากคอเสื้อ
“แล้วแต่จะคิด แต่ก็เป็นความจริงที่ว่ายิ่งฉันบาดเจ็บหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้ชิดน้องนายมากเท่านั้นนะ” เมฆาเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง แต่สำหรับชินแล้วมันราวกับยาพิษ “เอ... ฉันว่าฉันไปโดดตึกซักรอบดีกว่า”
“หยุดเลย หยุดความคิดนั่นเดี๋ยวนี้เลย อย่าทำบ้าๆนะเฮ้ย!!!” ชินว้าก พูดจบก็ยกมือกุมหัว “ว้อยยยย!!! แกมันปิศาจชัดๆ!!!” ชินโหยหวนเมื่อตระหนักดีว่าสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคืออะไร ทำไมหมอนี่ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้ได้วะ!!!
เมฆายิ้มแฉ่งโค้งให้อย่างล้อเลียน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมครับ”
ชินเดือดปุดๆกระฟัดกระเฟียดเดินจากไปอย่างทำอะไรไม่ได้ เบ๊นซ์หัวเราะร่วนอย่างถูกใจ
“แกนี่เจ๋งดีว่ะ เหอๆๆ” เบ๊นซ์หัวเราะชอบใจอย่างมาก เมฆายิ้มหวาน ตอนนี้ทุกคนต่างรีบเดินไปเข้าห้องเรียนกันหมดแล้วเพราะกลัวโดนลูกหลง ทั้งทางเดินจึงเหลือพวกเขาเพียงสองคน “แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแกต้องทำอะไรให้มันเอิกเหริกแบบนี้ด้วย”
“แล้วหงอไปให้มันได้อะไรล่ะ ยังไงเรื่องจะเกิดมันก็ต้องเกิด จะรอให้บิดาแกมาตัดริบบิ้นเหรอ?” เมฆาพูดโดยไม่สนใจคิ้วกระตุกของเบ๊นซ์ “เรื่องพวกนั้นยังไงซักวันมันก็ต้องมาหาเรื่องฉันอยู่แล้ว รอให้มันเตรียมตัวพร้อมแล้วมาอัดฉันพร้อมๆกัน สู้เอาผ้าแดงโบกล่อมันมารวดเดียวไม่ง่ายกว่าเกรอ?” เมฆายิ้มสดใสที่เบ๊นซ์เห็นว่ามันเป็นยิ้มหายนะ “ก็แล้วไง ฉันมีปัญญาจัดการกับพวกสะกดจิตเท่านั้นเอง พวกสายบ้าพลังนายสองคนก็จัดการไป ส่วนฉันก็จะเล่นงานข้างหลังมันเอง ยิ่งขู่หนักๆโชว์ให้เห็นว่าเราไม่กลัว แล้วจัดการให้เด็ดขาด เป็นวิธีที่จะสร้างความน่าเกรงขามได้เร็วที่สุด จากนั้นไอ้พวกนั้นต้องคิดหนักหน่อยถึงจะกล้ามาแหยม พวกเราก็จะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกว่านี้”
เมฆายิ้ม เบ๊นซ์ไม่รู้จะพูดอะไรดี ที่แท้มันไม่ได้ทำไปเล่นๆเหรอเนี่ย?
“เรื่องราวทุกอย่างมันมีจังหวะของมัน ถ้าเราเกาะกุมเอาจังหวะที่ดีที่สุดมาได้ ชัยชนะก็มาอยู่ในมือเรากว่าครึ่งแล้ว อย่างน้อยพ่อฉันก็สอนมาอย่างนั้นน่ะนะ” เมฆาบิดขี้เกียจ
“แล้วมันจำเป็นต้องเอามาใช้กับไอ้ชินด้วยหรือไง?” เบ๊นซ์ว่า เขาสงสารชินนิดๆแล้วสิ เมฆายิ้มกว้าง
“มันไม่ใช่อย่างที่แกเห็นไปทุกอย่างหรอก การใช้งานที่ดีที่สุดคือการสร้างน้ำใจ ฉันตีสนิทกับน้องมัน แน่นอนว่าจะสนิทกับชินมากขึ้นด้วย ถึงวิธีมันจะดูถ่อยๆไปหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เต้นไปตามนิสัยหวงน้องของมันเท่านั้นแหละ” เมฆายิ้ม เบ๊นซ์นึกถึงท่าทางเต้นเหยงๆของชินแล้วหัวเราะไม่ได้
มันก็จริง หมอนั่นก็แค่หวงน้องเกินไปหน่อยเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็หายบ้าเองแหละ คิดแล้วก็อดหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ แต่เมฆาหันมายิ้มอันตรายให้เขาแทน
“แล้วแกล่ะ จะว่ายังไง หรือต้องให้ฉันทำแบบเมื่อกี้ก่อน?”
เบ๊นซ์สำลักลมทันที จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆ ได้ๆ โอเค ไม่ต้องก็ได้ อยู่กับแกนี่น่าจะสนุกดีนะ ฮ่าๆๆๆ” เบ๊นซ์หัวเราะร่า เมฆายิ้มสว่างไสวก้มหัวรับเป็นเชิงล้อเลียน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง... ไรจิน”
“หึหึหึ มิเป็นไรมิได้ เฮอร์มีส”
และแล้วภายในระยะเวลาสิบนาที ทริกกี้โจ๊กเกอร์ ก็กล่อมเอาสองสุดยอดเทพ อิเล็กโทรมาสเตอร์ ไรจิน และเมทัลดราก้อน เฮอคิวลิส มาเป็นโล่คุ้มภัยได้สำเร็จ
เวลาสงบสุขของโรงเรียนนี้สั้นลงทุกทีๆแล้ว
“เอาล่ะจ้ะนักเรียน คาบต่อไปก็เป็นคาบเรียนวิชาตามสายพลังแล้วนะจ๊ะ” อาจารย์ฮารุผู้ดูสาวกว่าพวกเขาเสียอีกกล่าวเสียงหวานขณะจบคาบ 3 ทุกคนกำลังเก็บของเตรียมตัวไปเรียนยังตึกอื่นตามสายพลังของตน อาจารย์ฮารุหันมาทางเมฆา วันนี้เขาเรียนได้ตามปกติแล้ว คอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้คล่องแคล่วจนน่าแปลกใจ เรียนก็ไม่มีที่ติ ถึงจะเรียนช้ากว่าคนอื่นเป็นเดือน แต่ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเมฆาเลยแม้แต่น้อย
“ปัญญาวิวัฒน์คุง มาสเตอร์ไมน์ของคุณอยู่สายไหนจ๊ะ?”
พออาจารย์ถามปุ๊บ ทุกคนในห้องก็หันหน้ามาทางเขาโดยอัตโนมัติ เมฆาสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็คาดการณ์เอาไว้แล้ว ยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะว่าเป็นไซต์แบบใหม่ อาจารย์เลยยังวิเคราะห์อยู่ เลยให้ผมลองไปเรียนๆดูทีละสายไปก่อนจนกว่าจะรู้แน่ชัดน่ะครับ”
เมฆาตอบ เขาไม่ได้โกหก เรื่องพวกนี้เป็นมาสเตอร์เซรันที่เขาเพิ่งรู้ว่าเป็นหัวหน้าคณะอาตารย์สายก็อดโอเมน มาสเตอร์เซรันบอกว่าพลังของเขาประหลาดมาก และไม่เคยมีมาก่อน ช่วงนี้ก็เรียนทีละสายๆไปพลางๆก่อนจนกว่าจะหาข้อสรุปได้
คำตอบของเมฆาทำให้ทุกคนอึ้งกันไป สายพลังที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นสายไหนงั้นหรือ? ปกติแล้วมันจะรู้กันได้ง่ายๆตั้งแต่วัดคลื่นสมองแล้วนี่? แต่เมื่อเขาพูดแบบนั้นทุกคนก็ไม่ซักต่อ เมฆาเลยเดินรวมกลุ่มกับพวกสายเบรนคอนโทรลไปหน้าตาเฉย ทุกคนมองเมฆาด้วยแววตาที่แปลกไปกว่าเดิม ผสมด้วยความงุนงง ระแวง และหวาดกลัวคละเคล้ากันไป เมฆายิ้ม ไม่ว่าจะเป็นแววตาทางดีหรือร้าย เขาก็พลิกเอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น
คิดถูกจริงๆที่ก่อกวนจนเข้ามาเรียนที่นี่ได้
ใช่แล้ว เมฆาเป็นคนจงใจทำเรื่องราวให้ใหญ่โตเพื่อเข้ามาเรียนที่นี่เอง ด้วยการอัดโลกิกับไรจิน ทั้งๆที่เป็นเรื่องเสี่ยงมาก แต่มันเป็นการทำให้พวกครูอาจารย์ไม่อาจลบความทรงจำของเขาแล้วปล่อยออกไปได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็ต้องหาคำอธิบายที่ดีพอมาบอกนักเรียนคนอื่นด้วย และถ้าจะลบความทรงจำมันทุกคนก็ยุ่งยากเกินไป เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาช่วงชิงเอาความทรงจำของเขาไป ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
สมองของเขา ความคิดของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาก้าวก่ายได้
โรงเรียนนี้เป็นสถานที่เขาจะแสดงศักยภาพของตัวเองได้สูงสุด ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกขณะ ความเสี่ยงที่ไล่รดต้นคอมากระชั้น ทางรอดอันริบหรี่ที่ต้องทุ่มเทสติปัญญาทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด วินาทีที่ถูกจับผิด หัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองที่แล่นอย่างเร็วจี๋เพื่อหาทางรอดออกมาให้ได้ในพริบตา การใช้จิตวิทยาและวาทศิลป์เพื่อโน้มน้าวผู้คนรอบข้างเพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อใจและยำเกรง สถานที่ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องอุดอู้อยู่กับความเบื่อหน่ายอันไร้ที่สิ้นสุด ความอ่อนด้อยทุกทาง มีเพียงข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อยที่กุมเอาไว้ และต้องเอาตัวรอดจากท่ามกลางสายตาของคนนับพันๆคู่
ชีวิตอันตื่นเต้นเร้าใจและท้าทายถึงขีดสุดนั่น… มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ให้เขาได้!!!
เมฆาเผยยิ้มมุมปาก แววตามีแววเศร้าสร้อยลึกล้ำที่ไม่มีวันลบหาย
เพื่อที่จะได้ลืม... จากเรื่องราวที่เขาอยากจะหนี บางที... เมฆาเงยหน้ามองท้องฟ้าสดใสไปด้วยปุยเมฆสีขาวท่ามกลางท้องฟ้าสดใสสีคราม
ที่นี่อาจจะมีสิ่งที่เขาตามหาอยู่ก็ได้
