บท
ตั้งค่า

Type 13: สาสน์ท้ารบ

“คุณเอกนภา เราต้องสอบสวนคุณ กรุณาตามมาด้วยค่ะ” เสียงเย็นๆนั้นดังมาจากด้านหลัง เมฆาหันหลังกลับไปมองก็พบนิรมลกำลังมองเขาด้วยแววตาจริงจัง

“ไม่ไปได้ไหมครับ อีกเดี๋ยวก็จะเข้าแถวแล้ว” เมฆาอิดออด

“คุณกับยูกิอยู่ห้องเดียวกัน ไม่เป็นไรค่ะ เพราะยูกิก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว” เธอตอบ

“แต่ผมต้องไปหาอาจารย์ฮารุเพื่อเตรียมตัวขึ้นหน้าเสาธงนะครับ ถ้ายังไงสอบปากคำตรงนี้เลยได้ไหม?” เมฆายื่นข้อเสนอ นิรมลเอียงคอคิดแล้วตกลง พวกเขาเลยเล่าเรื่องราวให้เธอฟังคร่าวๆ ไม่สิ เมฆาเล่าอยู่คนเดียว ส่วนยูกิ... นานๆหนก็พยักหน้าที

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวเถอะ” นิรมลตัดบทแล้วคุมตัวนักโทษ (?) จากไป ยูกิไม่พูดอะไรแต่เดินดุ่มๆไปที่โรงอาหาร

โรงอาหารวันนี้เริ่มคึกคักกว่าเมื่อวานแล้ว พวกเขาเลือกโต๊ะหนึ่งแล้วทรุดนั่งลงอย่างง่ายๆ จากนั้นยูกิก็ล้วงห่อผ้าออกมา... ไอ้ที่เรียกว่าเบนโตะสินะ

“ใครทำให้เหรอครับ?”

“รุ่นน้อง” เธอตอบ รุ่นน้อง? รุ่นน้องที่ไหนน่ะ?

อาหารในกล่องเป็นอบสาร่าย มีกุ้งเทมปุระกับไส้กรอกฝานแล้วทอดเป็นรูปปลาหมึก และอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นแกงสีสด แต่ไม่รู้จักแฮะ

ยูกิยกมือประกบกันหลับตาสวดพึมพำ จากนั้นก็ลงมือกินอย่างช้าๆสง่างามและมีมารยาท ทำให้อดชื่นชมวัฒนธรรมการกินของคนญี่ปุ่นไม่ได้

เมฆามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสุดบรรยาย รู้สึกนานแสนนานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวกล่องแบบนี้ รู้สึกว่าตั้งแต่แม่เขาตายได้ นั่นกี่ปีมาแล้วนะ? ความทรงจำก็ลางเลือนเหลือเกิน จำได้แค่ว่าแม่ทำพะแนงไก่ได้อร่อยมาก พอลองสังเกตดู แกงสีส้มนั่นพะแนงนี่นา

เมฆานั่งเท้าคางมองดูยูกิกินอาหารกล่องอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ความทรงจำเรื่องของแม่ตั้งแต่สมัยเด็กย้อนผุดขึ้นมาในหัวทีละเรื่องๆ เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งรู้สึกว่าโดนจ้อง

“ไม่กินเหรอคะ?” เธอถามเสียงเบา

“ไม่ครับ วันนี้ผมลืมโอนเงินเข้าการ์ด” เมฆาตอบ เมื่อคืนมัวแต่เล่นไปหน่อยเลยลืม ยูกิก้มลงมองกล่องข้าวตรงหน้า ตะเกียบส่ายไปมาระหว่างข้าว แกง และไส้กรอก เอ่อ... นั่นคงไม่ได้คิดจะแบ่งผมใช่ไหม ถ้าเสียดายขนาดนั้นก็ไม่ต้องหรอก

“ไงเมฆา ยูกิ” เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้น เมฆาแหงนคอห้อยลงจากพนักมองเห็นชินที่ยืนอยู่กับแก้ว ในมือของทั้งสองมีกล่องข้าวติดมาคนละกล่อง

“หวัดดีชิน” เมฆาทักตอบแล้วตั้งคอกลับมา เขยิบเก้าอี้ให้ทั้งสองคนนั่งลง ทั้งสามคนเปิดกล่องข้าวขึ้นมา แล้วพบว่ามันมีของเหมือนกันทั้งสามคน ชินจ้องกล่องของยูกิเขม็ง

“ทำไมของยูกิมีไส้กรอกมากกว่าพี่ล่ะ” ชินประท้วง แก้วทำหน้าเอือมๆ

“แก้วให้เท่ากันนั่นแหละ อย่าคิดมากน่า” แก้วบอกพี่ชายที่หวงกระทั่งอาหารกล่อง ชินหรี่ตาแล้วก้มลงมองของตัวเอง อย่างน้อยของเขาก็มีพะแนงเยอะกว่า (ช่างน่าดีใจเหลือเกิน)

“ถ้าไม่ว่าอะไร... ผมจะคีบล่ะนะ” เสียงแปลกปลอมดังแทรกขึ้นมาขณะที่ชินกำลังนับจำนวนชิ้นหมู (มันนับ!) เนื่องจากงงๆก็เลยเออออไปโดยไม่ทันฟัง

“หะ หา? อ๋อ ได้สิ” ชินพูดงงๆทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แล้ววินาทีต่อมาก็รู้แจ้ง เมื่อไส้กรอกในกล่องตัวเองถูกตะเกียบสีขาวคีบไปแล้วส่งเข้าปากของเมฆาเคี้ยวตุ้ยๆ ชินที่ยังไม่ทันรู้เรื่องได้แต่อ้าปากค้าง จนกระทั่งเมฆาคีบชิ้นที่สองขึ้นมาแล้วนั่นแหละ ถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโดนแย่งข้าว

“เฮ้ย!!! เอาไส้กรอกฉันคืนมานะเฟ้ย!” ชินว้าก ใช้วิชาส้อมความไวแสงแย่งไส้กรอกทันที แต่เมฆาก็ใช้วิชาตะเกียบไร้เงาหลบหลีกอย่างพริ้วไหว

“ก็อณุญาตแล้วนี่เฟ้ย!” เมฆร้องพลางปะทะอาวุธ (ตะเกียบ ส้อม) ดังเช้งช้างสนั่นหวั่นไหวน่าตระการตามาก

“แกหลอกตอนฉันเหม่อนี่เฟ้ย!!!” ชินร้องลั่นแล้วเพิ่มพลังและความไวลงไปในอาวุธ ใส่ลมปราณลงไปในอาวุธเพื่อเอาชนะการดวลนี้ให้ได้

“หึหึ อ่อนหัดน่า!!!” เมฆาร้อง แล้วใช้กระบวนท่าลับที่ตกทอดจากบรรพบุรุษแย่งไส้กรอกกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ

“อย่าหวังเลย! ย้ากกก ไทรเด้นท์แท็กเกิ้ล!!!” (ส้อม... นับเป็นสามง่ามด้วยเหรอ?) แทงพรวดแย่งไส้กรอกกลับมา

“หึหึ ช้าไปแล้วต๋อย” เมฆาหัวเราะหึหึแล้วสะบัดตะเกียบอย่างพลิกแพลง ส่งไส้กรอกลอยข้ามหัวตัวเองไปด้านหลัง เมฆาเอนตัวนั่งเก้าอี้สองขาถอยไปกินในระยะที่ชินเอื้อมไม่ถึง ไส้กรอกชิ้นนั้นจึงตกลงสู่ปากของเมฆาแต่โดยดี เมฆายกขาเกี่ยวขาโต๊ะแล้วเหนี่ยวตัวเองกลับมานั่งได้ในที่สุด บรรจงเคี้ยวช้าๆท่าทางเอร็ดอร่อยมาก

“อืม... อร่อยมากเลยแก้ว” เมฆาชม ชินกัดฟันกรอด เมฆาหันมาเลิกคิ้วให้ชิน “เลิกโกรธได้แล้วน่า ถ้าช้ากว่านี้นายจะไม่มีกินเอานะ”

หา? ชินงง แล้วหางตาก็เห็นอะไรไวๆ ก้มลงมอง แล้วพบว่าส้อมหนึ่งคันและตะเกียบหนึ่งคู่กำลังคีบกับในกล่องของเขาไปด้วยความไวเหนือแสง “เฮ้ย!!!” ชินร้องแล้วร่ายรำเพลงทวนสามง่าม (ส้อม) ประจำตระกูลออกมาปกป้องเสบียงอันล้ำค่าของตน ทว่ากลับตึงมือยิ่งนัก

กระบวนท่าสามง่าม (ส้อม) ของแก้วนั้นบรรลุถึงขั้นยอดฝีมือ แต่ละกระบวนท่านั้นต่างดุดันไม่มีถอยพัวพันทวนของเขาไม่ห่างจากยากจะสลัด หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็จะถูกแย่งไปในทันที ส่วนยูกิ ดูเหมือนจะเอาวิชาชักดาบไวที่เรียกว่าอิไอจากญี่ปุ่นมาใช้ โดยพลิกแพลงใส่ดาบคู่ (ตะเกียบ) เพียงพริบตาที่เผลอ ก็จะปรากฏประกายสว่างวาบเดียว จากนั้นชิ้นเนื้อของเขาก็จะอันตรธานหายไปในพริบตา

แต่ที่น่ากลัวที่สุดกลับเป็นวิชาสี่ดาบของเมฆา ที่ทั้งสองมือล้วนมีอาวุธสองด้าม (ใช้ตะเกียบสองมือ) วิชาดาบ (ย้ำว่าตะเกียบ) มือหนึ่งพัวพันรุนแรงแบบแก้ว แต่อีกข้างกลับจ้องหาจังหวะฉกชิงวูบเดียวอย่างรวดเร็วไม่แพ้วิชาอิไอของยูกิแม้แต่น้อย นับว่าน่ากลัวนัก เพราะเมื่อทั้งสามคนรุมเข้ามาพร้อมกัน ชินก็ปิดหนทางชนะ (ไม่อิ่ม) ไปได้เลย เพียงไม่กี่นาที ชินก็ลงไปคุกเข่าอย่างท้อแท้บนพื้น มีไอทะมึนแห่งความสิ้นหวังแผ่ซ่านออกมาจากตัว ที่น่าแค้นใจคือ...

“พี่เมฆา กินนี่สิ อร่อยนะ” แก้วคีบไส้กรอก (ที่คีบมาจากชิน) ให้เมฆา ส่วนยูกิก็ทำแบบเดียวกัน ที่น่าแค้นใจคือสองคนนั้นไม่ได้คีบของตัวเองให้เมฆาเลยซักชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นของชินทั้งสิ้น

“แหม เกรงใจจัง ไม่น่าลำบากเลยครับ” เมฆากล่าวเกรงใจแต่สวาปามปานห่าลง

“ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร” แหงสิ ของตัวเองอยู่ครบนี่

“อร่อยไหม?” ยูกิถาม

“อื้มอร่อยสิ ใครทำล่ะ?” เมฆาถาม ยูกิชี้ไปที่แก้ว ระหว่างเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ชินก็เดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้าพึงพอใจ สะบัดคอดังกริบแกรบหักนิ้วเล่น ท่าทางเหมือนไปออกกำลังกายหลังอาหารเช้า (ซึ่งก็ยังไม่ได้กิน) แวะซื้อข้าวหน้าหมูทอดมาหนึ่งจานก็มานั่งที่โต๊ะ เมื่อข้าวหน้าหมูทอดวางลง ยอดฝีมือทั้งสามก็เริ่มชักอาวุธออกมาอย่างเงียบเชียบ ชินชะงัก นี่ยังไม่อิ่มอีกเหรอ บรรยากาศเริ่มร้อนระอุด้วยไอทะมึนแห่งการต่อสู้...

อ้าว อยู่กันครบเลยนะ หืม? ยูกิ รู้จักกันชินด้วยเหรอ?” เบ๊นซ์ที่เดินมาจากไหนไม่รู้หิ้วกล่องใส่ไก่ทอดและแซนวิชมาด้วย ชินชะงัก ถ้าซื้อมาแบบมันก็ไม่ต้องกลัวโดนแย่ง วิ่งหนีไปกินไปก็ได้นี่หว่า แต่เปลือกนอกนั้นย่อมต้อนรับเป็นอันดี แก้ว ยูกิ และเมฆาต่างก็รู้หน้าที่ดี แก้วฉีกยิ้มอ่อนหวานราวแอ๊ปเปิ้ล แต่แฝงเจตนาร้ายเอาไว้ราวแอ๊ปเปิ้ลอาบยาพิษ ยูกิไม่ต้องทำอะไร ซุกมือที่ถือตะเกียบลงใต้โต๊ะให้พ้นสายตา ส่วนมกรายกมือขวาที่ถือตะเกียบขึ้นมาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆไม่มีพิรุธ ในขณะที่ตะเกียบในมือซ้ายรอจังหวะเตรียมพร้อม

อ้าว นั่งสิ เชิญเลยๆ มากินด้วยกัน” ชินเชิญเบ๊นซ์ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนหลอกเหยื่อ เบ๊นซ์พาซื่อนั่งลงอย่างไม่เอะใจว่าได้หลวมตัวเขาสู่สมรภูมิรบเรียบร้อยแล้ว ชินหันไปทางผู้ร่วมสมรภูมิทั้งสาม แล้วพยักเพยิด ให้สัญญาณเปิดศึกทันที

บวกมัน!!!”

พริบตานั้น สรรพอาวุธก็ถูกชักออกจากฝัก เปลือยคมทะยานเข้าหาเป้าหมายราวกับฝูงหมาป่าตะปบเหยื่อ เหยื่อผู้โชคร้ายก็มีแต่รอรับการเชือดเฉือนอยู่ฝ่ายเดียว

ซะที่ไหน

พริบตานั้น เบ๊นซ์แสยะยิ้ม ตะเกียบเหล็กที่พกติดตัวเป็นประจำถูกชักออกจากกล่องไก่ทอด ทะยานเข้าหาคมดาบ (ตะเกียบ) และคมหอก (ส้อม) อย่างไม่กลัวเกรง

เช้งๆๆๆๆๆ

พริบตานั้นตะเกียบคู่กายของเบ๊นซ์ก็ปรากฏเงาวูบวาบกลางฟ้า ปัดป่ายสรรพอาวุธกระเด็นห่างออกไปจนหมดสิ้น แถมยังถือโอกาสคีบของทุกคนในจานไปคนละชิ้นอีกด้วย ทุกคนอึ้งอ้าปากค้าง มองดูเบ๊นซ์เคี้ยวอาหารของตนอย่างตะลึงงัน

หึหึหึ อย่าดูถูกลูกเสี้ยวไทย-จีน-เวียดนามนะเฟ้ย ในโรงเรียนนี้ คนที่มีวิชาตะเกียบเหนือกว่าชั้นน่ะ... ไม่มีเฟ้ย!!!” เบ๊นซ์หัวเราะเยาะเย้ยแล้วยักคิ้วให้อย่างกวนบาทา ทั้งสี่คนรู้สึกราวกับโดนลูบคม คิ้วกระตุก เบ๊นซ์ยักคิ้วกระดิกตะเกียบเรียก “เข้ามา”

ทั้งสี่ชักอาวุธ แล้วโจนทะยานเข้าหาคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยจิตใจห้าวหาญอย่างชาตินักรบ สู่สมรภูมิอันทรงเกียรติที่จะฝากชื่อเอาไว้ เขาจะทุ่มเททุกสิ่งทีมีจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย...

เพื่อไก่ทอด!!!

ข้ามจากสมรภูมิรบมาหนึ่งชั่วโมง เมฆาก็มายืนอยู่บนแท่นหน้าลานกว้างที่มีนักเรียนทุกคนมายืนชุมนุมกันอยู่ นักเรียนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยทุกคนจะเรียงเป็นแถวหันหน้าเข้าหาเวทีเป็นรูปครึ่งวงกลม มองดูคล้ายพัดขนาดใหญ่ เป็นระเบียบเรียบร้อยดีมากจริงๆ ตอนนี้เมฆากำลังยืนอยู่บนแท่นโดยมีสายตาเกือบๆ 13000 คู่จับจ้องมา อาจารย์ศีรษะล้านวัยกลางคนใส่แว่นตาที่รู้สึกจะชื่อโทมัสกำลังกล่าวแนะนำตัวเขาต่อนักเรียนทั้งโรงเรียนเป็นภาษาไทย น่าชื่นชมมากที่ภาษาแม่ของเขาเป็นภาษากลางของที่นี่ เลยไม่ต้องลำบากเนื้อหาที่พูดหน้าแถวนั้นส่วนใหญ่เป็นการแจ้งเรื่องราวหมายเหตุต่างๆ รวมทั้งมอบหมายงานให้นักเรียนและครูอาจารย์บางคน เขากวาดตามองแล้วพบว่าครูอาจารย์ทุกคนมาอยู่ด้านหลังแท่น นับๆดูแล้วมีเป็นร้อยๆคนเลยทีเดียว

“นี่คือคุณเอกนภา วิวัฒนปัญญา จะย้ายมาเรียนที่ห้อง 4A ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังไงก็ขอให้ขึ้นมากล่าวอะไรซักเล็กน้อย” หลังจากเล่าประวัติเมฆาอย่างย่อๆแล้ว ครูโทมัสก็ผายมือให้เขาพูดอะไรบางอย่าง เมฆารับไมโครโฟนมาแล้วฉีกยิ้มให้ทุกคน

สวัสดีครับ ผมชื่อเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์ ขอฝากตัวด้วย” พูดแล้วก็จบ อาจารย์โทมัสทำหน้างงๆ แล้วเสริม

ช่วยบอกข้อมูลส่วนตัวมากกว่านี้หน่อยสิ อย่างเช่นเรื่องที่ชอบ งานอดิเรก ไซต์และสายการเรียนอะไรแบบนี้” อาจารย์บอก เมฆาทำท่าเข้าใจแล้วพูดต่ออีกครั้ง

“ผมชอบเรื่องสนุกสนาน เกลียดเรื่องน่าเบื่อ... เดี๋ยวนะครับ ถ้าเกิดว่าอยากได้ฉายานี่ต้องไปแจ้งที่ไหนไหมครับ?”” ยังพูดไม่จบเมฆาก็หันมาทางอาจารย์ที่ทำหน้างงๆ

“ถ้าเป็นฉายาสามัญล่ะก็ต้องมีเลเวล 40 ขึ้นไป ส่วนฉายาเทพก็ต้องได้รับการทดสอบจนได้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป หรือไม่ก็ต้องล้มคนที่มีฉายาเทพได้นั่นแหละ” อาจารย์โทมัสอธิบายอย่างใจดี

“ตั้งเองได้ใช่ไหมครับ?”” เมฆาถาม เมื่อได้รับการยืนยันก็หันไปฉีกยิ้มให้ทุกคน โค้งให้อย่างสง่างามแล้วแนะนำตัวตามรูปแบบของสาธิตเซนต์ปิแอร์

“”ยินดีที่ได้รู้จัก ผมคือทริกกี้โจ๊กเกอร์ เดอะเฮอร์มีส (Tricky joker The hermes) ผู้ครองไซต์มาสเตอร์ไมน์ (Master Mind) และยินดีรับทุกคำท้าทายครับ””

สิ้นเสียงแนะนำตัวที่ไม่ต่างจากการประกาศศึก ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เมฆาเป็นจุดเดียวด้วยแววตาแตกต่างกัน บ้างก็อึ้งแปลกใจ สงสาร รำคาญ แต่โดยมากกลับมองอย่างท้าทาย ชินที่อยู่ในแถวตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง

มันเล่นแรงนะเนี่ย” ไม่ต้องสงสัยว่ามันจะกลายเป็นเป้าหมายของพวกบ้าอยากลองดีทั้งโรงเรียนแน่นอน

เหอๆๆ เอาจนได้” เบ๊นซ์หัวเราะเนือยๆอย่างถูกใจ รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ส่วนเมฆาที่ยืนอยู่บนเวทีนั้นยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน รับรู้ได้ถึงคลื่นสะกดจิตที่ส่งมาจากทุกทิศ เขาแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ ไม่แยแสว่าตัวเองสร้างศัตรูด้วยวิธีหักดิบและเสี่ยงอันตรายที่สุด

“แหมๆ จะสะกดจิตกันตั้งแต่หัววันเลยเหรอครับ มารยาทไม่งามเลยน้า แต่อยากบอกว่า...”” เจ้าตัวผินหน้ากวาดตามองไปรอบๆ คาดเดาจากสายตาว่าใครน่าจะเป็นคนลงมือสะกดจิตเขาบ้าง ส่งสายตาแข็งกร้าวข่มขู่ไปให้อย่างไม่กลัวเกรง “

“ฝีมือแค่นี้ กลับบ้านไปกินนมนอนดีกว่าไหม?””

ฮือฮา...

พูดจบเสียงอื้ออึงมากมายก็ดังกระหึ่มมาจากทุกทิศ เมฆาแสยะยิ้มอย่างถือดี รับรู้ได้ว่าการจะลงมือโดยไม่ให้ครูสังเกตเห็นได้นั้นมีแต่ต้องใช้พลังจิตสายเบรนคอนโทรลควบคุมจากระยะไกลเท่านั้น และนั่นไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้อนเลยแม้แต่น้อย เขายังคงส่งยิ้มสง่างามไปให้ทุกคนด้วยท่วงท่าสบายๆ ประกาศความอหังการ์ต่อไปอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสายตามุ่งร้ายนับร้อยๆคู่ที่ส่งมาให้

“ผมต้องขอขอบคุณคำทักทายที่ส่งมาให้ เพียงแต่ผมไม่อาจน้อมสนองให้ตอนนี้จริงๆ”” เมฆาพูดแฝงความหมายยั่วยุประมาณว่า ‘ไปซัดกันนอกแถว’ โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “

“ยังไงก็หวังว่าชีวิตในโรงเรียนนี้จะไม่น่าเบื่อเกินไปนัก ขอบคุณครับ”” พูดจบก็โค้งให้ทุกคนอย่างสง่างาม เดินลงจากเวทีมาอย่างสง่าผ่าเผย ทิ้งเสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์มากมายไว้เบื้องหลังอย่างไม่แยแส

หากไม่อยากถูกจับได้ มีแต่ต้องสยบทุกคนจนไม่กล้าสงสัยเท่านั้น

เมฆาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์อันเร้นลับ

โรงเรียนสาธิตเซนต์ปิแอร์... เวลาที่เขาได้ครอบครองมันจะรู้สึกยังไงนะ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel