Type 12: หน้ากาก น้ำแข็ง รอยยิ้ม
Type 12: หน้ากาก น้ำแข็ง รอยยิ้ม
กฎข้อที่ 8 ของนักต้มตุ๋น รอยยิ้ม ใช้ได้ผลดีทั้งการทำให้คนรู้สึกดี และทำให้รู้สึกกลัว
“ยังไงก็ช่วยหน่อยนะ” เมฆาโปรยยิ้มไร้เดียงสา ปล่อยให้เบ๊นซ์กับชินเดินออกจากห้องไป เมื่อทั้งสองออกไปจากห้อง รอยยิ้มของเมฆาก็ค่อยๆจางลง จนใบหน้ากลายเป็นไร้ความรู้สึก
“หลอกง่ายดี” เมฆายิ้มเยาะ ไม่รู้ว่าเย้ยหยันคนที่เพิ่งออกไป หรือว่า...
...ตัวเอง...
เมฆาหันหน้าไปยังประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจก เงาสะท้อนที่สะท้อนออกมาคือตัวเขาที่เยียบเย็นจนชาชิน ยกมือขึ้นแตะใบหน้าที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกนั้น แล้วค่อยๆฉีกยิ้ม มันไม่ใช่แค่ยิ้มที่มุมปาก การยิ้มจะทำให้กล้ามเนื้อชนิดหนึ่งยกตัวขึ้น ถ้าลองมองดูดีๆจะสังเกตออกว่ายิ้มจริงหรือฝืนยิ้ม แน่นอนว่ากล้ามเนื้อนั้นยกขึ้นจนทำให้รอยยิ้มนั้นดูสมจริง แม้แต่แววตาก็ดูสดใสไม่แปลกปลอม แต่วินาทีถัดมา มันกลับกลายเป็นใบหน้าร้อนใจกระวนกระวายอย่างสมจริงมาก ราวกับกำลังรีบร้อนหรือลืมเรื่องสำคัญอะไรซักอย่าง แต่แล้ววินาทีถัดมา มันก็กลายเป็นใบหน้าเศร้าหมองที่ราวกับมีทุกข์แสนสาหัสถาโถมเข้ามาหา ดูเศร้าหมองจนน้ำตาเอ่อคลอ
เมฆาลดมือลง ใบหน้านั้นก็กลับกลายเป็นเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
ของขวัญจากพ่อ... และแม่...
“หน้ากากนี่สะดวกดีนะ” เมฆาพูดเรียบๆ
นายท่านคะ ขอถามข้อสงสัยค่ะ
เสียงหวานใสราวเด็กสาวของเอไอนามว่าดรีมดังขึ้น
“ว่ามา” เมฆาพูดราบเรียบไร้ความรู้สึก
เฮอร์มีส คืออะไรหรือคะ?
เอไอสาวถาม
“เฮอร์มีสเป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในตำนานกรีกโบราณ” เมฆาพูดเนิบๆ “รู้ไหมว่าเทพเฮอร์มีสเป็นคนยังไง?” เมฆาถามเอไอสาวเพื่อทดลองระบบ
ทราบค่ะ เฮอร์มีส (Hermes) เป็นชื่อเทพเจ้าในปกรณัมกรีก เรียกชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจร ผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีสเป็นเทพแห่งการสื่อสาร พระองค์เป็นบุตรของเทพซูสเกิดแต่นางเมยา (Maia) มีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก เรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) ซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับจากเทพบิดา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพสื่อสาร และมีคฑาคาดูเซียส (Caduceus) ซึ่งรูปร่างของคฑาจะมีงูไขว้อยู่สองตัว เฮอร์มีสพบงูสองตัวนี้เมื่อเห็นมันสู้กันเลยเอาคฑาทิ่มระหว่างงูสองตัวเพื่อห้ามไม่ให้เกิดความวิวาท งูเลยเลื้อยมาพันอยู่รอบไม้แล้วหันหัวเข้าหากันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วยค่ะ
เอไอสาวตอบอย่างฉะฉาน
“นั่นสินะ เฮอร์มีสมีความสามารถมากมายจริง ทรงเป็นเทพที่มีวิชาแพทย์สูง เป็นที่โปรดปรานของเหล่านักกีฬา เป็นที่ยกย่องของนักประดิษฐ์และนักกวี และยังเป็นที่เคารพของเหล่าโจรอีกด้วย ทรงมีวีรกรรมมากมายในการขโมยของของเหล่าเทพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือช่างของเฮเฟตัส ดาบแห่งสงครามของแอเรส สามง่ามของโพไซดอน วัวของอพอลโล หรือแม้แต่คฑามหาเทพของซูส พ่อตัวเองก็ไม่เว้น แต่น่าแปลกที่ไม่มีเทพองค์ไหนโกรธเฮอร์มีสได้จริงๆจังๆเลย” เมฆายิ้ม “นั่นอาจจะเป็นเพราะบุคลิกที่เข้าใกล้คนอื่นได้ง่าย พูดจาดีและบุคลิกน่าเลื่อมใส ถึงจะทำเรื่องมากมาย แต่ก็ไม่มีใครโกรธเขาได้นาน” เมฆาเอาสองมือไพล่หลังศีรษะแล้วเอนลงกับเบาะ “ไม่คิดว่ามันเหมาะกับฉันบ้างหรือ ดรีม?” เมฆาถาม
ไม่มีความเห็นค่ะ
เอไอตอบ เมฆาถอนหายใจ เพราะรู้ขีดจำกัดของสติปัญญาเทียมดี การตอบคำถามยากๆไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
“ไว้ซักวันฉันจะอัพเกรดเธอจนตอบคำถามฉันได้ดีกว่านี้นะ” เมฆาพูดลอยๆด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบเท่านั้น
เช้าวันต่อมา เมฆาตื่นขึ้นในเวลา 5 นาฬิกาตรงเผงไม่ต้องใช้นาฬิกา ตื่นขึ้นก็ลงมือพับผ้าห่มอย่างรวดเร็วแล้วยืนขึ้นทำกายบริหารไล่ความง่วงเหงา รวมถึงฝึกร่างกาย พอเสร็จแล้วก็มาหยุดยืนตรงลานโล่งกลางห้อง หลับตา
ฟุ่บ!
หมัดถูกปล่อยออกมาอย่างกะทันหันรุนแรงจนเกิดเสียงดังกลางอากาศ เด็กหนุ่มเริ่มร่ายรำด้วยกระบวนท่าแบบมวยจีน แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะมีทั้งหมัด เท้า เข่า ศอกเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่คล้ายมวยไทย เพราะมวยไทยคงไม่มีท่าสันมือหรือกระแทกสองมือแน่ เมฆาออกกำลังกายด้วยศิลปะการต่อสู้ประหลาดนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มซิทอัพแล้ววิดพื้นหนึ่งยก จากนั้นก็นั่งลงทำสมาธิอีก 10 นาทีจึงเข้าห้องน้ำไป เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เด็กหนุ่มก็อยู่ในชุดนักเรียนเสร็จสรรพ
“ตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเป็นระดับสูงสุด ถ้ามีคนพยายามจะเข้าห้องให้แจ้งมาที่ไซโฟนของผม หากเจ้าตัวยังไม่ยอมไปแล้วไม่ได้รับข้อความตอบรับจากผมใน 5 นาที อนุญาตให้ลั่นออดเตือนภัย” เมฆาสั่ง
ระบบทำการบันทึกเรียบร้อยแล้วค่ะ
เอไอสาวรับคำ เมฆาพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกจากห้อง
อากาศยามเช้าหนาวเย็นพอดู เป็นปรกติของภาวะโลกร้อนที่ร้อนสุดขั้วหนาวสุดขีด เวลา 6.10 นาทีไม่มีใครลุกออกมาจากห้องเลย เมฆาเดินไปตรวจดูรายชื่อหน้าห้องไป แล้วพบว่ายังมีห้องว่างอยู่สามห้อง อืม... ว่างๆมาลองแฮกระบบเข้าห้องดูเล่นๆน่าจะดี
ปี๊บๆๆๆ
เสียงเรียกเข้าทำให้เมฆาหยิบโทรศัพท์มาดู เพราะไซโฟนเป็นเครื่องมือของทางโรงเรียน ดังนั้นก็สามารถอัพโหลดข้อมูลของนักเรียนลงไปได้ ทำให้เวลาคนโทรเข้าก็จะแสดงชื่อของคนโทรเข้าออกมา แน่นอนว่าเมื่อคืนเมฆาจัดการอัพเกรดทุกอย่างเท่าที่ทำได้อย่างเห่อของใหม่ไปเรียบร้อย ดังนั้นเมื่อหน้าจอแสดงชื่อขึ้นมาเขาจึงไม่แปลกใจ เป็นชื่อของคนแปลกหน้าก็ไม่ใช่ กลับกัน มันเป็นที่แสนจะคุ้นตา แต่ที่ทำให้เขางุนงงคือ...
ยูกิ ทาจิบานะ
ติ๊ด ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่เมฆาก็รับสาย
“สวัสดีครับ” เมฆากรอกเสียงลงไป
“...” ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา 10 วินาทีเต็มๆ
“เอ่อ... เฮลโล?” เมฆาลองทักเป็นภาษาอังกฤษดูเผื่อเขาจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผลก็...
“...”
เอ่อ... เมฆายกหูไซปาล์มขึ้นมาดู ก็พบว่ามันยังอยู่ในระบบสนทนา ไม่ได้ตัดสายไปแต่อย่างใด เขาแนบหูเข้ากับโทรศัพท์
“...ค่ะ...” เสียงกระท่อนกระแท่นทำให้เมฆาไชหู แล้วกดเร่งเสียงดังสุด เปิดสปีคโฟนอีกต่างหาก ถึงจะพอจับใจความฟังได้รู้เรื่อง
“สวัสดีค่ะ” เสียงเบาหวี่เหมือนแมงวันตดนั้นเล่นเอาผมกลุ้ม แต่ในเมื่อมันเป็นภาษาไทยก็พอเบาใจได้หน่อยนึง
“โอเค ได้ยินแล้วครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ผมกรอกภาษาไทยลงไปตามสาย
“ดิฉันอยู่หน้าหอพักของคุณแล้ว กรุณารีบอาบน้ำแต่งตัวลงมาพบดิฉันหน่อยจะได้ไหมคะ?” เธอพูดถูกต้องตามแบบแผนเป๊ะๆ ไม่รู้ว่าเพราะเธอเรียนภาษาจากตำราเก่าตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วหรือยังไง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผม
“ครับ รอซักครู่นะครับ” ผมตอบกลับไปแล้ววางสาย ยัดมือถือลงกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ ระหว่างนั้นก็ทบทวนเรื่องที่ต้องทำในใจ
สิ่งที่จำเป็นคือการสร้างภาพนักเรียนผู้แข็งแกร่งแต่อัธยาศัยดี มีน้ำใจแต่เด็ดเดี่ยวและไม่ยอมสยบ มันจะทำให้คนดีรักใคร่ คนเลวเกรงกลัว เลือกทักษะที่จำเป็นต่อภารกิจ เด็ดขาด ไหวพริบ อ่อนโยน หน้ากากใจดี เหี้ยมโหด เย็นชา ลงมือ
ลิฟต์ตรงหน้าเปิดออก เมฆาก้าวออกมาจากลิฟต์ด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไร้เสียง ก่อนจะค่อยๆลงเสียงหนักขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งกระทบกับพื้นเป็นจังหวะหนักๆสม่ำเสมอ เมฆากวาดสายตามอง ทั้งหอพักยังไม่มีใครตื่นนอน อากาศยามเช้าก็ช่างสดชื่นอย่างที่ไม่น่าจะมีในตัวเมืองเช่นนี้เลย เมื่อออกมานอกตัวอาคาร ร่างเล็กคุ้นตานั้นก็ยืนรอเขานิ่ง
“ฉันคือคนที่จะมาแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงเรียนให้คุณค่ะ” เสียงพูดนั้นเรียกให้เขาสติกลับมา เมฆาลืมตาพบว่าเธอยังยืนอยู่ที่เดิม “กรุณาตามดิฉันมาด้วยค่ะ” เธอพูด ถึงมันจะเบาพอๆกับเสียงกระซิบ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจนทุกคำ เมฆาสูดลมหายใจยกแขนดัดไล่ความเมื่อยขบ เรียกความกระปรี้กระเปร่ากลับมาสู่ตัว
การเดินทัวร์โรงเรียนอันน่าอึดอัดเริ่มขึ้นแล้ว
ปรกติแล้วโรงเรียนทั่วไปมักจะเสียงดังอึกทึกอยู่เสมอ แต่ด้วยความที่โรงเรียนนี้มีขนาดใหญ่มาก สภาพแวดล้อมร่มรื่น หรือเพราะนักเรียนไม่นิยมตื่นเช้า ทำให้โรงเรียนสาธิตเซนต์ปิแอร์เวลานี้เงียบสงัด
เมฆาสำรวจสิ่งรอบๆตัวด้วยความสนใจใครรู้ เด็กสาวที่เป็นผู้นำทางเดินพาชมโรงเรียนเงียบๆโดยไม่พูดอะไรซักคำ เมฆาเปิดหน้าต่างแผนที่ขึ้นมาดูเองอย่างไม่คิดหวังแต่แรกว่าเธอจะบรรยายให้ฟัง เวลา 1 ชั่วโมงถ้วนๆหลังจากนั้นคือการเดินเงียบๆโดยมีเมฆาก้มหน้าก้มตาดูแผนที่อยู่คนเดียว
แม้จะเงียบ แต่ก็ทำให้เขาสงบใจ และรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในโรงเรียนนี้เริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ
“ไปกินข้าวกันไหมครับ?” เมฆาถาม เด็กสาวพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วเราก็เดินตรงไปโรงอาหารกัน
แต่ท่าทางว่าชีวิตของเขาจะไม่ได้อยู่อย่างสงบๆเป็นแน่
โครมมม!!!
เสียงดังนั่นดังขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับร่างของชายคนหนึ่งที่ถลาออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง ชายคนนั้นโซเซลุกขึ้นยืน ที่มุมปากมีเลือดออกและมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าเห็นเด่นชัด ไม่ทันที่ใครจะตั้งตัวติด ร่างสูงอีกสองร่างข้างทางก็พุ่งตามออกมา คนแรกเงื้อหมัดร่า ส่วนอีกคนเริ่มสร้างลูกไฟขึ้นมาไว้บนมือแล้ว ชายที่ถูกไล่ล่ายกมือขึ้นมาเบื้องหน้า
วู่มมม!!!
เสียงวัตถุหนักแหวกอากาศพร้อมกับที่กำแพงดินหนาโผล่ขึ้นมาบดบังทัศนะวิสัยของทั้งสองฝ่าย ชายคนนั้นหันหลังกลับตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่เมื่อเห็นพวกเขา ชายคนนั้นก็ชะงักหน้าซีด
ตูมๆๆๆ
“เฮ้ย!!! เปิดโว้ย!!!” อีกสองคนด้านหลังกำลังพยายามพังกำแพงอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานนัก กำแพงนั้นนั้นก็ถูกทลายลง ทั้งสองคนตะกายข้ามช่องแตกผ่านมาได้ แต่แล้วก็ต้องชะงักค้าง สายตาจับจ้องมาที่เด็กสาวข้างกายของเขา
ทาจิบานะยูกิ
เด็กสาวไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า มือล้วงไปที่กระเป๋าเป้ด้านหลัง ล้วงขวดน้ำขนาดเล็กออกมาแล้วเปิดฝา เพียงเท่านั้นสายน้ำก็ไหลออกมาจากขวด แล้วแปรสภาพเป็นดาบน้ำแข็งคมกริบได้ในพริบตา
“ซวย... ทำไมต้องมาเจอยัยนี่ด้วย...” ชายผู้ใช้ไฟพูดหน้าซีด
“กรุณารับการจับกุมโดยสงบค่ะ” เธอพูดเบาๆ แต่ดูจากท่าทางเตรียมสู้ตายของทั้งสามแล้ว ดูเหมือนว่าคำขอของเธอจะเป็นไปไม่ได้ ชายทั้งสามกระซิบนามแผ่วเบา
“ยูคิฮิเมะ”
เช้ง!
โดยไม่ทันรอฟังเสียงคร่ำครวญใดๆทั้งสิ้น ยูกิพุ่งเข้าหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว ดาบใสในมือฟาดฟันเข้าใส่อย่างไม่รอฟังคำแก้ตัวใดๆ ชายคนนั้นเรียกกำแพงหินขึ้นมาป้องกันอย่างฉุกละหุก เด็กสาวกระโดดวูบเดียวแล้วสาดน้ำที่เหลือในขวดออกไป สายโซ่น้ำแข็งก็รัดพันชายที่ใช้ดินจนแน่น
เด็กสาวยกมือเหนี่ยวขอบด้านบนของกำแพงแล้วปีนตัวขึ้นไป เอี้ยวตัวง้างดาบไปด้านข้างจนอยู่ในท่าเตรียมชักดาบแบบไม่มีฝัก จากนั้นก็ตวัดฟันในแนวขวางอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน
ฟุ่บ!
สะเก็ดน้ำแข็งหลายลูกพุ่งเข้าหาชายอีกสองคนทันที
“เหวอ!!!” ชายคนที่ใช้ไฟรีบสร้างลูกไฟเผาน้ำแข็งที่พุ่งมาทางตนจนระเหยกลายเป็นไอไปในทันที เพราะหากปล่อยให้เหลือเป็นหยดน้ำมาโดนตัวก็คงจบกัน ผลจากการเร่งสร้างลูกไฟความร้อนสูงขนาดใหญ่ทำให้หอบไปเหมือนกัน
กำแพงดินพังทลาย เด็กสาวกระโดดลงสู่พื้นอย่างง่ายดายแล้วสะบัดดาบที่ตอนนี้หดสั้นลงจนเหลือเพียงแค่มีด เป็นผลจากการสะบัดส่วนหนึ่งใส่คู่ต่อสู้เมื่อครู่ แต่ไอเย็นสีขาวที่ค่อยๆมารายล้อมดาบอย่างช้าๆนั้นบ่งบอกว่าเจ้าของกำลังรวบรวมไอน้ำในอากาศมาสร้างดาบใหม่
“จะยอมรับโทษดีๆไหมคะ?” ยูกิพูดเรียบๆพลางย่างสามขุมเข้าหาคนทั้งสอง เมฆาเพิ่งจะสังเกตเมื่อกี้นี้เองว่าคนที่ใช้ไฟเป็นคนเดียวกับที่มีเรื่องกันนอกโรงเรียนเมื่อวันก่อน อืม... โลกกลมดี
ชายสองคนตั้งท่าต่อสู้โดยไม่เกรงกลัว ไม่สิ คงกลัวแต่ว่าคงอยากเสี่ยงมากกว่า การ์ดถูกยกขึ้นอย่างมั่นคง ในขณะที่อีกคนก็เริ่มสร้างลูกไฟ ในขณะที่เมฆากำลังสงสัยว่าชายคนที่ตั้งท่าต่อยมวยมีไซต์แบบไหน ชายคนที่ใช้ไซต์ไฟโรคิเนซิสแสยะยิ้ม
“ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว ยูคิฮิเมะ เพราะเรื่องเมื่อวันก่อนฉันเลยโดนยึดคืนฉายาเทพ แต่ถ้าฉันชนะเธอ ฉันก็จะได้ฉายาเทพเสียที ฉายาซาลาเมนเดอร์นี่ฉันก็เบื่อแล้วด้วยสิ” ชายคนนั้นเอียงคอน้อยๆ “อยากได้ฉายาใหม่แล้ว เอาเป็นฮาเดสดีไหม?” ชายคนนั้นหัวเราะ
แทนคำตอบ ยูกิสะบัดดาบที่ยืดยาวออกมาอีกครั้งเข้าใส่ ดาบคาตานะรูปทรงเพรียวบางแหลมคมฟาดฟันออกในพริบตา ต่อให้กระดูกแข็งแค่ไหนก็ไม่ควรเสี่ยงมาปะทะกับคมดาบแน่ๆ ชายทั้งสองได้แต่หลบเป็นพัลวัน เพราะถึงจะอยากให้ไฟหลอมละลาย แต่ดาบที่ตวัดไปมาอย่างรวดเร็วนั้นมันไวเกินกว่าที่จะสร้างลูกไฟความร้อนสูงๆได้ทัน สุดท้ายจึงได้แต่ถอยแล้วถอยอีก
“หยุดนะ!!!” เสียงตวาดด้านหลังทำให้ยูกิหยุดแล้วหันไปมอง ปรากฏว่าที่ด้านหลังนั้น ชายผู้ใช้ดินได้หลุดออกมาจากพันธนาการเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในมือยังถือมีดปลายแหลมพร้อมในท่าเตรียมแทง แต่ผู้ที่ร้องไม่ใช่ชายคนนั้น หากแต่เป็นเมฆา ในมือของเขามีสายหนังคล้องเป้สะพายที่ตอนนี้กองอยู่ที่พื้น ส่วนปลายอีกด้านกลับรัดพันอยู่ที่แขนข้างที่เตรียมขว้างนั้นอย่างแน่นหนา
เมฆากระชากสายหนังยาวอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายถลาเข้ามาหา แล้วก็ถูกชกสวนด้วยหมัดแข็งๆเข้าลิ้นปี่อย่างแรงจนจุกนอนตัวงอลุกไม่ขึ้น เมฆาปลดอาวุธจากมือของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คล้องตะขอโลหะที่เคยใช้เกี่ยวห่วงโลหะบนกระเป๋าเข้ากับห่วงเล็กๆที่ปลายด้ามมีดแทน
เมฆาเดินย่างสามขุมเข้าหาอีกสองคนที่เหลือช้า ปลายมีดยาวระพื้นด้วยสายหนังลากพื้นเป็นเส้นยาวอย่างน่าหวาดเสียว เมฆาสะบัดแกว่งเบาๆราวกับกะน้ำหนักแล้วคลี่ยิ้มไร้เดียงสาที่ดูอันตราย
“อา นั่นสินะครับ แต่ผมว่าชื่อฉายาเทพผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นคงไม่มีใครเขายอมรับกันหรอกนะครับ” เมฆายิ้ม จากนั้นก็หันไปทางชายที่จ้องเขาเขม็ง
“อย่าดีกว่ามั้งครับ การจะสะกดจิตผมทั้งๆที่ไม่ได้มองตาหรือสัมผัสตัวแบบนี้มันเพ้อฝันชัดๆ อะเนี่ย? นี่เรียกว่าสะกดจิตเหรอครับ?” เมฆาเย้ยหยัน ฝีเท้าหนักแน่นกระแทกเข้ากลางใจของทุกคน พริบตาเดียวร้างสูงก็พุ่งเข้าประชิดชายที่หน้าซีดเพราะสะกดจิตไม่สำเร็จ มือซ้ายคว้าลำคอบีบคางบังคับให้จ้องตาอย่างง่ายดาย
“เอาสิครับ นี่ผมต่อให้แล้วนะ จะลองดูไหมล่ะ นี่ทั้งแตะตัวทั้งให้จ้องตาเลยนะ หรือจะใช้เสียงด้วยก็ได้” เมฆาเยาะเย้ย ชายคนนั้นแม้จะหวาดหวั่น แต่ในเมื่อท้ากันถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องสนอง จึงเร่งพลังจิตให้ถึงขีดสุดเพื่อจะยายามสะกดจิตคนตรงหน้าให้ได้
“การสะกดจิตแบ่งแยกได้หลายแบบและหลายวิธี แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็ถนัดต่างกัน ฉันจะยอมให้นายลองสะกดจิตดูตรงๆเลยก็แล้วกัน” เมฆากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับสายจ้องด้วยดวงตาวาวโรจน์อย่างเริงร่า “เอาสิ เอาเลย เอาให้เต็มฝีมือ”
ชายที่ถูกเมฆาดึงคอเสื้อใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างพยายามสุดขีด ดวงตาเบิกกว้างจ้องตาเมฆาตรงๆ มือทั้งสองข้างก็กำแขนเมฆาไว้แน่น ผ่านไปเกือบ 5 วินาที เขาถึงพอจะได้ยินเสียงหึ่งๆเบาๆขึ้นมาในหัวบ้าง เมฆาแกล้งทำตาลอย ชายหนุ่มฉีกยิ้มพึงพอใจ แต่แล้วดวงตาสีน้ำเงินนั้นก็กลับคืนสู่ความสดใสอย่างง่ายดาย
“ล้อเล่นน่ะ”
ตุ้บ!
พูดจบ หมัดฮุกก็อัดเข้าที่ลิ้นปี่ไม่ให้ตั้งตัวจนลงไปนอนกองกับพื้น เมฆาเหยียดยิ้ม มองชายที่ใช้ไฟซึ่งยังยืนตะลึงอึ้งอยู่
“หมอนั่นเลเวลเท่าไหร่นะครับ?” เมฆาถาม แม้จะถามด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น แต่กลับทำให้ชายผู้ใช้ไฟไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“42...”
“หืม? เลเวล 42 งั้นเหรอ? รู้สึกจะไม่เจียมเลยนะ ขนาดโลกิเลเวล 72 ยังสะกดจิตผมไม่สำเร็จเลย” เมฆาส่ายหน้าอย่างระอาใจด้วยรอยยิ้มเช่นเคย ชายคนนั้นหนาวเยือก เมื่อเริ่มตระหนักว่ากำลังสู้อยู่กับใคร
“งั้นเรื่องที่เขาลือกัน... ก็เป็นความจริงงั้นเหรอ!!!” ชายคนนั้นกรีดร้อง เมฆาเอียงคอด้วยท่าทางไร้เดียงสา ซึ่งดูขัดกับมีดคล้องสายในมือเหลือเกิน
“ลือว่าอะไรล่ะครับ? ถ้าใช่เรื่องที่ว่าผมอัดโลกิกับไรจินพร้อมๆกันล่ะก็ คงจะใช่” เมฆาพูด ชายที่ยังยืนอยู่ร้องลั่นแล้วขว้างลูกไฟลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาทันที ลูกไฟขนาดเท่าโอ่งมังกรสีแดงเพลิงพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงราวกับจะระเบิดทุกสิ่งให้พินาศ เมฆากระโดดถอยหลังไปด้านหลัง แล้วยกร่างของชายที่ใช้ไซ๖ดินชูขึ้นมาด้านหน้า ชายคนนั้นแตกตื่นจนแทบฉี่ราด รีบสร้างกำแพงไฟขึ้นมาช่วยชีวิตตัวเองในทันที
วูมมม!!!
เสียงเปลวไฟแผดเผาดินจนไหม้เกรียมดำดังเสนาะหู ระหว่างที่ทุกคนยังหลับตาเพราะควันอันแสบร้อน ร่างหนึ่งก็พุ่งอ้อมกำแพงดินประชิดตัวไฟโรคิเนซิส กระชากแขน บิดเอว แล้วทุ่มข้ามหลังกระแทกลงพื้นอย่างสวยงามชนิดที่อาจารย์ยูโดมาเห็นเองยังต้องชมเชย
ตุ้บ!
อั้กกก!!!
เสียงแผ่นหลังกระแทกพื้นเสียงดังฟังชัด ชายคนนั้นจุกจนพูดไม่ออก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็สบตากับสายตาที่ยิ้มพรายอย่างอารมณ์ดี พร้อมๆกับสัมผัสเย็นๆที่ลำคอ
“แก... เป็นใคร...” ชายคนนั้นเค้นเสียงอย่างยากเย็น เมฆายืดตัวขึ้นแล้วถอดมีดออกจากสายคล้อง จากนั้นก็เดินช้าๆไปยังกระเป๋าของตัวเอง หยิบกระเป๋าที่ล้มตะแคงอยู่มาคล้องสายสบายๆไม่เร่งรีบโดยไม่ตอบคำ รอจนกระทั่งยูกิพันธนาการทั้งหมดด้วยกุญแจมือน้ำแข็งและเรียกกำลังเสริมแล้วจึงหันมายิ้มพรายให้ทุกคน
แต่ยูกิไม่ยิ้มด้วย
“กรุณามอบมีดเล่มนั้นให้ฉันด้วยค่ะ มันเป็นหลักฐาน และนักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ” เธอพูดเรียบๆด้วยน้ำเสียงโมโนโทน เมฆาเลิกคิ้ว พับมีดเข้าไปอย่างเดิมแล้วเหยียดแขนกางออก
“แต่พวกเขาจะใช้มันแทงผมนะ ผมแย่งมาได้ก็ต้องเป็นของผมสิ” เมฆาเถียงงอนๆ
“การแย่งชิงของผู้อื่นผิดกฎค่ะ” เธอยังตอบมาด้วยน้ำเสียงเดิม เมฆาเลิกคิ้วไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเลยซักนิด ยูกิเรียกดาบยาวออกมาอีกครั้งอย่างไม่มีการอะลุ่มอล่วย เมฆาเบ้หน้า
“ยังไงก็ต้องเก็บกลับไปให้ได้สินะครับ?” เมฆาถาม ยูกิพยักหน้า เมฆาถอนหายใจ แต่แล้วกลับหันไปด้านข้าง แล้วปามีดเข้าไปในป่าข้างๆทันที ชายหนุ่มหันมายิ้มใสซื่อแล้วยักไหล่ ชูมือที่ว่างเปล่าทั้งสองข้างขึ้นมาให้ดูอย่างกวนอารมณ์
“เท่านี้ก็ไม่มีมีดแล้วนะครับ ถ้าอยากได้หลักฐานคงต้องตามไปเอาแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มว่าง่ายๆ ยูกิมองเมฆาด้วยแววตาเย็นเยียบกว่าน้ำแข็ง แล้วเดินช้าๆไม่รีบร้อนเข้าไปในป่าทิศนั้นโดยไม่พูดอะไรซักคำ
“เป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์แย่เกินเยียวยาจริงๆนะนี่” เมฆาวิจารณ์แล้วจุ๊ปาก หันมายิ้มให้อีกสามคนที่นั่งหน้าบูดอยู่
“เมื่อกี้ถามผมสินะว่าเป็นใคร” เมฆาถาม
วูบ!
ชายหนุ่มสะบัดมือวูบ แล้วมีดสั้นที่เมื่อครู่ถูกโยนเข้าไปในป่าชัดๆก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเมฆาในสภาพเปิดใบมีดพร้อมใช้งาน
“อ้อจริงสินะ คุณบอกว่าถ้ามีความสามารถมากพอก็จะมีฉายาเทพสินะ ผมจัดการไรจินกับโลกิได้ ถ้าไม่มีฉายาอะไรก็คงจะผิดธรรมเนียม” เมฆาเอียงคอ เหยียดมือทั้งสองข้างออกจนสุด สะบัดข้อมือวูบ แล้วมีดที่อยู่มือขวาก็ย้ายไปอยู่มือซ้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์ “งั้นเรียกผมว่า...”
มือซ้ายสะบัดวูบ แล้วมีดทั้งเล่มก็หายวับไป ชายหนุ่มสอดมือลงในกระเป๋ากางเกง แล้วหันไปมองยูกิที่เดินกลับมาด้วยสีหน้าเฉยชา
“ได้ของไหมครับ?” เมฆุถามเสียงซื่อ
เธอส่ายหน้า เมฆายิ้มไม่ออกความเห็นหรือสำนึกเลยซักนิดว่าตัวเองเป็นคนขว้างทิ้ง จะว่าไปแล้วก็คือไม่ได้ขว้างน่ะนะ
“อ้อ ตามกฎแล้วมีสิทธิ์ตั้งฉายาตัวเองได้หรือเปล่าครับ?” เมฆาถาม ยูกินิ่งไปนิดหนึ่งจึงพูดออกมา
“การจะมีฉายาได้ก็ต่อเมื่อรู้ไซต์ของตัวเอง และผ่านบททดสอบของไซต์นั้นๆจนเป็นที่น่าพอใจจึงจะมีได้” เธอพูดเรียบๆ
“งั้นถ้าผมมีไซต์ที่ไม่เคยมีมาก่อนล่ะ จะทำยังไง?” เมฆาถามด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“ในกรณีนั้นคุณสามารถสร้างฉายา ได้เอง” เธอตอบเสียงดังฟังชัด เมฆาพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วฉายาเทพล่ะ?” เมฆาถาม
“ฉายาเทพจะมีได้ต่อเมื่อมีระดับถึง 50 ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป หรือเอาชนะผู้ที่มีฉายาเทพได้ ก็จะมีสิทธิ์ใช้ฉายาเทพ” เธอตอบตรงตำราเป๊ะๆ เมฆาพยักหน้าหงึกๆ
“งั้นผมเป็นที่ยอมรับของทุกคนหรือเปล่า?” เมฆาถาม
“ถ้านับในกรณีที่เป็นที่รู้จักด้านความสามารถ ใช่” เธอยอมรับ เมฆาพยักหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วจึงเอ่ยชื่อที่จะเป็นที่เลื่องลือต่อไปในโรงเรียนแห่งนี้อีกนานแสนนาน
“งั้นฉายาของผมคือ ผู้ใช้ไซต์ มาสเตอร์ไมน์ ฉายาทริกกี้โจ๊กเกอร์ เดอะเฮอร์มีส” เมฆาระบายยิ้มแสนซุกซน รอยยิ้มที่ไม่ว่าใครก็หวาดหวั่นไปอีกแสนนาน
