บท
ตั้งค่า

Type 10: food war

Type 10: food war

กฎข้อที่ 6 ของนักต้มตุ๋น บางครั้งแม้จะประเมินแล้วว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่ก็มีบางเรื่องที่ถึงตายก็ยอมไม่ได้ จงดิ้นรนให้สุดชีวิตเพื่อการนั้น เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญของเรา

เมฆาโชว์ตัวในวันแรกด้วยความเรียบง่าย เวลาที่เหลือเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งเรียนอย่างเดียวโดยไม่สนใจจะพูดกับใคร ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้ดีว่าเมฆาต้องการปรับตัวให้เร็วที่สุด จึงไม่ได้มาชวนคุย มันเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งถึงคาบพักเที่ยง

“เมฆา ไปกินข้าวกับเราไหม?” เด็กสาวคนหนึ่งถาม ผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมพอจะรู้ว่าหน้าตาตัวเองก็จัดว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้ร่ห่ ติดจะออกหวานไปหน่อย ไม่แปลกที่ผู้หญิงอยากจะชวนเข้ากลุ่ม

“บัตรของผมยังไม่มีเงินเลยครับ ขอรบกวนยืมบัตรหน่อยๆได้ไหม เดี๋ยวผมจ่ายเงินให้” ผมพูดแล้วแบมืออย่างจนใจ

“โฮ้ย สบายมาก เอาเป็นว่าวันนี้พวกเราเลี้ยงก็แล้วกัน” ซายองพูดอย่างใจดี เมฆาพยักหน้าแล้วลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วพิจารณา

แค่กวาดสายตาเพียงรอบเดียวก็มากพอที่จะประเมินคนทั้งห้อง ห้อง 4A แบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 5-6 คนหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็เล็กสองสามคน ในขณะที่บางคนชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เห็นได้จากคาบพักเที่ยงนี่แหละ กลุ่มคนที่ไม่สนใจใครเลยนั้นมียูกิที่ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆแล้วออกไปคนเดียว กับเซี่ยหลานที่ค่อยๆเก็บกระเป๋า ส่วนสาวยิปซีลึกลับเมื่อตะกี้... เฮ้ย! หายไปไหนแล้ววะ!

เมฆาเดินตามกลุ่มของซายองไปที่โรงอาหาร กลุ่มของซายองเป็นเด็กสาวชาวเอเชียเสียส่วนใหญ่ ส่วนมากเป็นจีนและญี่ปุ่น เขาสังเกตว่าแม้ที่นี่จะเป็นประเทศไทย แต่กลับหาคนไทยได้ยากกว่าที่คิด ในห้องของเขาก็มีแค่เขาและผู้หญิงอีกคนเท่านั้นเอง ทั้งกลุ่มส่งเสียงจ้อกแจ้กถามเขามาตลอดทาง เขาตอบกลับแบบสั้นๆเนือยๆ ปรกติแล้วเขาไม่ชอบอะไรที่มันเอะอะโวยวายมากอยู่แล้ว แต่ในเมื่อพวกเธอไม่ได้มีเจตนาร้ายก็พอหยวนๆ ยังไงซะเขาก็เป็นเด็กใหม่ เป็นธรรมดาที่จะโดนเห่อ พวกเธอเดินมานั่งที่โต๊ะหนึ่งในโรงอาหาร แล้วเดินออกไปสั่งอาหาร เมฆาโดนล้อมหน้าล้อมหลังไปไหนมาไหนอย่างไม่อาจขยับตัวได้

“เมฆาชอบกินอะไรเหรอ? อาหารไทย จีน ฝรั่ง อิตาเลียน?” ใครซักคนในกลุ่มสาวถาม ผมพยายามเขม้นตามองแล้วทบทวนความจำ ดูเหมือนเด็กสาวชาวญี่ปุ่นใส่แว่นคนนี้จะชื่อมิริน

“อะไรก็ได้ครับ ผมทานได้หมด แต่ชอบรสจัดหน่อย” ผมตอบเนือยๆ ทั้งหมดปรึกษากันชั่วครู่แล้วาลงที่อาหารฝรั่ง เมฆายกจานสปาเก็ตตี้ปลาหมึกจากโต๊ะโดยมีคนรูดการ์ดให้ จากนั้นก็ยกโขยงกลับที่เดิม แต่ระหว่างทางเขาสวนกับคนคุ้นหน้าคนหนึ่งจึงทัก

“อ้าว แก้ว กินข้าวรึยัง?” ผมทัก เธอชะงักแล้วหันมามอง จากนั้นก็ยิ้มให้อย่างสุภาพแล้วโค้งให้อย่างมีมารยาท

“สวัสดีค่ะพี่เมฆา ยังไม่ได้กินเลยค่ะ กำลังหาพี่ชินอยู่” เธอตอบ เออใช่ เธอบอกว่าลืมบัตรนี่นะ

“งั้นไม่ลองโทรหาดูล่ะ?” เขาเสนอ เธอทำแก้มป่องแบบน่ารักน่าชังแล้วตอบว่า

“พี่เขาชอบลืมชาร์จโทรศัพท์ประจำแหละ” เธอว่า ผมพยักหน้าเข้าใจ “หนูไปหาพี่ต่อนะ” เธอว่า ผมยักหน้า แล้วเธอก็เดินจากไป

“นี่ๆ เมื่อกี้ใครเหรอ?” มิรินถาม

“น้องสาวคนรู้จักน่ะ” ผมตอบ ก็พอดีกับที่ ‘คนรู้จัก’ ที่ว่าเดินผ่านมาพอดี ผมเลยร้องทักเอาไว้ “ชิน!”

ชินชะงักเท้าแล้วหันมามองผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาของเขาเฉียบคมเชือดเฉือนอย่างร้ายกาจ มาดสุขุมนิ่ง ดูมีออร่าแห่งความน่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากตัว พอรวมกับทรงผมแนวเด็กเกสุดจ๊าบของเขาแล้ว ทำให้แวบแรกที่เห็นต้องนึกถึงนักเลงโตหลังห้องขึ้นมาทันที

“อ้อ เมฆา มีอะไร?” ชินถามเสียงเรียบ แต่ฟังดูเย็นเยียบโดยอัตโนมัติ แต่ผมที่รู้สึกว่าเขาแค่หน้าเถื่อนไม่ได้สนใจ ชี้ไปทางที่แก้วเพิ่งเดินจากไปพร้อมพูด

“น้องนายเพิ่งผ่านไปเมื่อกี้ เห็นว่ากำลังตามหานายอยู่ ไปเลี้ยงข้าวเธอด้วย” ผมพูด เมฆาหันหน้าไปทางทิศที่ผมว่าแล้วเหมือนเห็นเงาหลังน้องสาวเลยพยักหน้ารับรู้ “อ้อ หัวนายน่ะ ไปซื้อสเปรย์มาจากร้านอีกอันก็พอนี่”

ผมแนะนำอย่างหวังดี แต่ดูจากสายตาที่เบิกกว้างคมกริบเหมือนมีดโกนนั้นแล้วก็รู้ทันทีว่าเจ้าตัวคงไม่นึกอยากทำแบบผมแน่

“ว่าไงนะ?” ชินหรี่เสียงลงอย่างอันตราย “แล้วนายคิดว่าสเปรย์อีกอันฉันจะเอามาทำอะไร? เสียเปล่าชัดๆ” ชินหรี่ตาเค้นเสียงอย่างไม่เห็นด้วย เขาหัวเราะ ท่าทางว่าชินจะงกกว่าที่คิด

“งั้นนายก็ไปเค้นคอจากแก้วเอาก็แล้วกัน” ผมแนะ ชินพยักหน้า ริมฝีปากยิ้มเหี้ยม ชกมือเสียงดังตุ้บดังจนน่าตกใจ

“ถูกของนาย เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนยัยนั่นเอง” พูดจบก็หันหลังแล้วก้าวจากไปด้วยมาดยากูซ่า ผมยิ้มขำกับพี่น้องที่น่ารักคู่นี้ แต่พอเห็นสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของคนรอบข้างแล้วก็ต้องแปลกใจ

“เป็นอะไรไปเหรอซายอง?” ผมถาม ซายองหน้าซีดตัวสั่น

“เมฆา... รู้จักกับเฮอคิวลิสด้วยเหรอ?” เธอถาม ผมพยักหน้างงๆ

“อืม เพื่อนน่ะ ทำไมหรือ?” ผมตอบประสาซื่อ ทุกคนอ้าปากค้าง แล้วเริ่มพึมพำ

“เมื่อกี้บอกว่าจะไปสั่งสอนยัยนั่น... ผู้หญิงด้วย... แย่แน่เลย!” เธอพูดแล้วเริ่มลนลาน สีหน้าแตกตื่นนั่นทำเอาผมหัวเราะขำ

ท่าทางว่าชื่อเสียงนายจะไม่ดีเท่าไหร่นะชิน

ผมกินอาหารวันนี้ด้วยความรู้สึกพอใจ อย่างน้อยตอนนี้การวางตัวของเขาก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ การวางตัวให้ดูเป็นคนดีสุภาพนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตต่อไปในโรงเรียน การพูดก็น่าจะเหมาะสมกับกลุ่มคน ระหว่างนั้นก็สอบถามข้อมูลต่างๆของโรงเรียนพร้อมประมวลไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย กำลังไปได้สวย

โครม!!!

เสียงดังสนั่นเรียกความสนใจของเขาให้หันไปมอง ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มท่าทางเฉื่อยชาคนหนึ่งกำลังถูกล้อมด้วยชายที่ท่าทางเอาเรื่องห้าคน มีหน้าคุ้นๆจากเมื่อเช้าหลายคน ท่าทางว่าพวกนี้จะเอาอีกแล้ว ผมมองดูชายท่าทางเฉื่อยชานั้นแล้วยิ้ม ดูท่าว่าผมจะไม่ต้องห่วงอะไร เพราะคนที่อยู่กลางวงนั้นหน้าตาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ด้านข้างมีโต๊ะที่ล้มตะแคงอยู่ แถมบนพื้นยังมีชามแตก เส้นก๋วยเตี๋ยวและน้ำสีเข้มกระจายไปทั่วพื้น

“มีอะไร?” ชายหนุ่มพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย บุคลิกเฉื่อยชาไม่สนใจใครนั้นชวนให้ง่วงนอนดีจริงๆ หนังตาที่ลืมไม่เต็มที่นั้นกวาดตามองทั้ง 5 คนด้วยแววตาที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนมองหินข้างทาง ในมือยังคงถือตะเกียบที่คีบลูกชิ้นค้างอยู่ 1 ลูก เจ้าตัวมองลูกชิ้นในมือแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆกลืนเอื้อกแล้วโยนตะเกียบทิ้งไป จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆประจันหน้ากับผู้มา

“แกต้องชดใช้ที่ทำกับพวกฉันเมื่อวานนี้” ชายหนึ่งในกลุ่มคนที่พาพวกมารุมล้อมพูด ผมพยายามนึก ดูเหมือนว่า 5 คนนี้จะไม่ได้อยู่ในวงของคนที่โดนอัดเมื่อวาน หมอนี่มีเรื่องวันนึงกี่ครั้งเนี่ย?

“อืม... ถ้าจำไม่ผิด พวกแกโดนสะกดจิตมาให้อัดฉันนี่” ชายคนนั้นพูดเอียงคอมองอย่างน่าเตะ “พวกนายน่าจะไปอัดโลกิสิ เกี่ยวอะไรกับชั้นล่ะ?”

“พูดง่ายเนอะ เพราะแกนั่นแหละ เล่นช็อตพวกชั้นเกือบเกรียม! แกจะชดใช้ยังไง” ชายคนนั้นพูดพลางชี้ไปที่หัวซึ่งฟูเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพยายามจะดัดทรงกลับแล้ว แต่ได้แค่นี้ อ้าว ไม่ใช่ผมหยักศกหรอกรึ?

“หืม...” ชายคนนั้นพูดเนิบๆทำท่านึก แล้วทุบกำปั้นเข้าทีฝ่ามือเป็นทีนึกออก “อ้อ นึกออกแล้ว เอานี่ไปแล้วกัน”

พูดจบก็ลวงมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กำขยุกขยิกแล้วขมวดคิ้ว ล้วงมือขวาลงไปในกระเป๋าอีกข้าง จากนั้นก็ค่อยๆชักมือออกมายื่นไปที่เบื้องหน้าคนทั้งห้า...

โดยที่มือทั้งสองข้างชูนิ้วกลางโด่เด่เด่นเป็นสง่า พร้อมกับแสยะรอยยิ้มสะใจอย่างกวนทีนเป็นที่สุด คนทั้งห้าคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้ามาหาในทันที

“รู้อะไรไหม บางทีคนเราก็โง่กว่าที่ตัวเองคิดนะ” พูดจบก็แบมือออก ใจกลางฝ่ามือคือน็อตตัวหนึ่ง มันดูไร้พิษสง ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้อยู่บนฝ่ามือของชายผู้นี้ คนที่ทำให้คนทั้งโรงเรียนกลัวเจ้าโลหะอันจิ๋วนี้ขึ้นสมอง

อิเล็กโทรมาสเตอร์ ไรจิน

ประกายไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบ ก่อนที่ตัวน็อตจะถูกดีดพุ่งออกไปอย่างรุนแรงด้วยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง ตามทฤษฏี ‘เรลกัน’

เปรี้ยง!!!

เข้าปะทะกลางหน้าอกของชายคนหนึ่งจนกระเด็นไปด้านหลังอย่างรุนแรง

“อั้ก!!!” ชายคนนั้นร้องแล้วกระเด็นถอยหลังไปกว่า 3 เมตรอย่างไม่น่าเชื่อ คลื่นโซนิกบูมดังสะท้อนจนทุกคนในโรงอาหารหันมามอง คนบนชั้นสองชะโงกลงมาดูอย่างสนใจ หลังจากยิงนัดนึงเห็นได้ชัดว่าต้องใช้เวลาชาร์จ แต่มันไม่ได้เป็นปัญหา เพราะระยะใกล้เจ้าตัวก็แทบจะไร้เทียมทาน หมัดที่เต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าอัดกระแทกเข้าที่หน้าท้องอย่างจังจนลูกไฟที่เพิ่งลุกขึ้นมาดับมอด ลอยละลิ่วถอยหลังไปไกลเกินกว่าที่แรงมนุษย์จะทำได้ ชายที่ได้รับฉายาว่าไรจินหันมามองเหยื่อคนต่อไปด้วยแววตาเรียบเฉย คู่ต่อสู้เขม้นตาทั้งท่ารับมือ แต่เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างที่เห็นว่าอยู่ห่างไปเกือบ 5 เมตรก็โผล่เข้ามากลางวงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หมัดเท้าเข่าศอกแยกย้ายกันจู่โจมส่วนต่างๆของทั้ง 3 จนตัวงอนอนทรุดไม่อาจลุกขึ้นได้อีก

ร่างที่ถูกอัดลอยละลิ่วไปไกลนั้น ช่างน่าสงสารเหลือเกินที่วันนี้ดูเหมือนดวงจะถึงฆาต ถึงได้ลอยละลิ่วมาทางโต๊ะที่ชินกำลังนั่งกินอุด้งเนื้อชามใหญ่พิเศษอย่างเอร็ดอร่อย ชินรับรู้ได้จากหางตาว่ามีสิ่งไม่พึงประสงค์ลอยมาขัดความสุขการกิน จึงยื่นมือเพียงข้างเดียวออกไปรับอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มผู้โชคร้ายโดนฝ่ามือกระแทกเข้าที่กลางหลังอย่างจังก็ทรุดลงนอนจุกลุกไม่ขึ้น

ผู้มีฉายาเฮอคิวลิสหรี่ตาอันตรายไปยังต้นทาง สบตากับไรจินที่มองตอบมาด้วยแววตาเรียบเฉยเฉื่อยชาอย่างกวนอารมณ์เข้าพอดี ชายหนุ่มจึงแผ่รังสีอันตรายออกมาโดยอัตโนมัติด้วยความไม่สบอารมณ์ หางตาของเขาเหลือบไปเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่ชามอุด้งของตนจึงหันหน้ากลับมา แล้วพบว่าเห็ดมัตสึทาเกะแสนแพงของโปรดของตนหายไปจากชามเป็นที่เรียบร้อย เมื่อช้อนสายตาขึ้นมองก็พบคนร้าย

แก้ว ในตะเกียบของเธอมีเห็ดที่เมื่อกี๊ยังนอนอยู่ในชามของเขาเป็นหลักฐานมัดตัวแน่นหนาดิ้นไม่หลุด แต่เธอหากลัวต่อสายตาพิฆาตมารของพี่ชายไม่ กลับยิ้มยั่วแล้วส่งเห็ดอวบอ้วนเข้าปาก บรรจงเคี้ยวด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยยั่วอารมณ์

“...” บัดซบ... ชินคิด แล้วเพิ่มรังสีอำมหิตขึ้นเป็นสองเท่า จนคนที่นั่งกินโต๊ะไกล้ๆเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด แล้วเขยื้อนเก้าอี้หนี ชินที่ไม่อาจระบายกับน้องตัวเองได้ จึงหันไปหาเหยื่อที่น่าจะลงมือได้เหมาะที่สุด

ชายดวงกุดที่ลอยมาเข้าสู่กรงเล็บมังกรร้ายอารมณ์เสียอย่างดวงกุดสุดๆนั่นเอง

“เมื่อเช้าโดนประกาศิตเข้าแล้ว... ว่าแล้วต้องไม่รอด” ชายคนนั้นพึมพำ แล้ววินาทีต่อมาก็รู้สึกตัวเบาหวิว เมื่อคอเสื้อถูกยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว ความสามารถของไซต์เพียงหนึ่งเดียวในโรงเรียนที่พละกำลังมหาศาลราวมังกร และร่างกายที่แข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า

เมทัลดราก้อน เฮอคิวลิส

ร่างสูงใหญ่ถูกหิ้วขึ้นมาเหมือนตุ๊กตา แล้วถูกเหวี่ยงกลับไปในทิศทางเดิมด้วยความเร็วและรางเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้าหาไรจินที่ยืนนิ่ง

ตูม!!!

เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของคนที่โดนกระแทกล้ม แต่เป็นเสียงของวัตถุบางอย่างที่โดนกระแทกอย่างแรงจนกระเด็นไปอีกทาง ไรจินจ้องตาชินแล้วหรี่ตามองด้วยแววตาอันตราย ชินที่ไม่กลัวการมีเรื่องแยกเขี้ยวกลับแล้วลุกขึ้นยืน จ้องหน้าอย่างไม่ลดละ

หนุบหนับๆๆ

เสียงเคี้ยวตุ้ยๆดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หางตาของชินเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตะเกียบของคนฝั่งตรงข้ามฉกของในชามของเขาเข้าปากทีละอย่างๆอย่างต่อเนื่อง... ลาก่อนหมูรมควัน ลาก่อนสาหร่ายแผ่น ลาก่อนเส้นอุด้งชุ่มน้ำซุปแสนอร่อย เฮ้ย!!! ถึงกับเอาช้อนตักน้ำซุปเลยเหรอ!!!

มือขวาที่ถือตะเกียบกำแน่นเข้าจนตะเกียบพลางในมือหักกระจายเป็นชิ้นๆ รังสีอำมหิตเพิ่มเป็นสามเท่าในพริบตา แววตาวาววับดุจสายฟ้าด้วยเพลิงพิโรธ เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็ก นักเรียนรอบๆในรัศมี 5 เมตรย้ายโต๊ะหนีกันอย่างกลัวลูกหลง เมื่อรังสีอำมหิตของชินเข้มข้นจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ครืด... ซู้ดๆๆๆ

เสียงปริศนาบ่งบอกว่าอุด้งของเขาถูกลากไปฝั่งตรงข้าม และกำลังย้ายเข้าไปอยู่ในกระเพาะของน้องบังเกิดเกล้าเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้ช้อนแสตนเลสในมือถูกกำแน่นเข้าหายเข้าไปในกำมือของอย่างน่าหวดหวั่น รังสีอำมหิตพุ่งขึ้นเป็น 10 เท่าในพริบตาเดียว คราวนี้นักเรียนในรัศมี 10 เมตรลุกหนีตายกันจ้าละหวั่น แม้แต่อาหารบนโต๊ะก็ไม่แล ของกินหาใหม่ได้ แต่ตายไปนี่ไม่มีร้านไหนขายชีวิตสำรองนะเว้ย!

ชินที่เส้นสติขาดผึงไปเรียบร้อยแล้วปล่อยลูกกลมหนักอึ้งออกจากมือกระทบพื้นเสียงดังกังวาน เป็นสิ่งที่บอกว่าช้อนเมื่อครู่ถูกรีไซเคิลเป็นลูกเหล็กเรียบร้อย ชินก้าวเท้าเข้าหาไรจินด้วยรังสีอาฆาตเต็มปี่ยม

ปล่อยให้น้องสาวซดอุด้งของตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อไป...

ความแค้นของการถูกกดขี่ข่มเหงทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัสในครั้งนี้ (โดนน้องแย่งข้าว) ขอจดบัญชีไว้ที่หัวแกก็แล้วกันนะไอ้ปลาไหลไฟฟ้า

รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจนคล้ายมีสภาพ ผู้คนโดยรอบต่างคล้ายกับเห็นภาพหลอนเป็นรูปมังกรกระดูกเหล็กตัวใหญ่อยู่ด้านหลังของชิน ต่างกลืนน้ำลายเอื้อกโดยไม่รู้ตัว พอหันกลับมาอีกฝั่ง สายฟ้าที่แล่นแปลบปลายไปทั่วทั้งร่างของไรจินก็ไม่ใช่อะไรที่น่าพิศวาสเหมือนกัน ชินเดินเข้าไปหาอย่างแช่มช้า พาบรรยากาศแห่งความกราดเกรี้ยวที่น่าหวาดหวั่นตามติดมาด้วย น็อตเหล็กในมือของไรจินมีประกายไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะปร๊ะสยองขวัญ แต่ระหว่างที่กำลังจะเปิดฉากการต่อสู้อันน่าระทึกใจที่น่าจะได้จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ กลับมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขวาง

“ก่อนจะตีกัน ช่วยจัดการเรื่องนี้ก่อนได้ไหมครับ?” เมฆาพูดเสียงเย็นเยียบ ทั้งสองหันมามองแล้วแทบจะหัวเราะพรืด เพราะบนหัวของเด็กหนุ่มมีเส้นสปาเก็ตตี้ห้อยเป็นเส้นยาวเต็มหัว ตามเสื้อสีขาวก็เปรอะเปื้อนไปด้วยซอสสีแดงที่คงซักยากน่าดู แล้วมีก้างปลาบนไหล่ด้วย ที่ด้านหลังยังมีร่างของชายผู้โชคร้ายซึ่งโดนไรจินอัด 2 หน เฮอคิวลิสขว้าง 1 หน และกระแทกเข้ากับโต๊ะจนล้มกระจายนอนโอดโอยอย่างน่าเวทนาอยู่

“อุ๊บ!” สองศัตรูคู่แค้นเกือบจะหัวเราะพรืดออกมา แต่ก็กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก บรรยากาศน่ากลัวหายวับไปกับตา แต่เหมือนเมฆาจะไม่ขำด้วย ใบหน้ายังคงบึ้งตึงอย่างโกรธจัด แววตาวาววับพลางคิดว่าจะอัดคนไหนเป็นการแก้แค้นดี แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะอัดมันด้วยวิธีไหน

“โทษทีนะเมฆา พอดีไม่ทันมอง มีควายที่ไหนไม่รู้ขวิดมันลอยมากะทันหันไปหน่อย” ไรจิน หรือจิรายุสพูดด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้า ชินเหล่มองคู่กรณีเขม่นๆ

“เออ โทษที แต่ไอ้เบ๊นซ์... เพราะแก...” หลังจากหายฮาแล้ว ชินก็เศร้าใจขึ้นมาทันที เหลียวหน้ากลับไปมองชามอุด้งที่สะอาดเกลี้ยงเกลาไม่เหลือแม้แต่น้ำซุปซักหยดและแก้วที่ยกมือลูบพุงเป็นทำนองว่าอิ่มด้วยแววตาเจ็บช้ำรันทด

“เดี๋ยวซื้อใหม่ให้แล้วกัน โทษทีไม่ทันมอง” เบ๊นซ์หรือจิรายุสผงกหัวให้อย่างว่าง่ายผิดคาด ชินหันกลับมามองด้วยแววตาเย็นชาแล้วชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว

“สองชาม”

“ไอ้งก” เบ๊นซ์ด่าหน้าตาย

“แล้วคราวที่แล้วใครมันเงินหมดจนซมซานมาเอาข้าวบนโต๊ะชั้นไปกินวะ!” ชินของขึ้น นึกถึงคราวก่อนที่ตัวเองไปซื้อน้ำแป๊บเดียว พอกลับมาก็มีใครไม่รู้ฟาดข้าวแกงกะหรี่ของตัวเองจนเกลี้ยง

“ใครน้อ พอดีเดินชนเสาความจำเสื่อม” เบ๊นซ์ตีหน้าซื่อ

“ไอ้ตอแหล!” ชินร้องแล้วชี้หน้า “ไปซื้อมาให้ฉันสองชามเดี๋ยวนี้เลย!”

“ชามครึ่ง” เบ๊นซ์ต่อรอง เอ็งซื้ออุด้งครึ่งชามได้ด้วยเหรอ? ใครเขาจะขายวะ?

“แกซื้อได้ก็ซื้อมาสิ ใครมันจะขายครึ่งชามวะ” ชินพูดเยาะๆ

“ก็ซื้อมาสองชาม แล้วก็ให้เมฆาครึ่งชามสิ” เบ๊นซ์ว่าแล้วชี้มาทางเขา

“งั้นก็โอเค” ชินรับง่ายๆ

“เฮ้ย ทำไมเป็นครึ่งชามล่ะ? ต้องเต็มชามเซ่!” คราวนี้เมฆาประท้วงมั่ง

“สามส่วนสี่ชาม” เบ๊นซ์ต่อรอง

“ซื้อได้ที่ไหนเล่า!” เมฆาและชินร้องพร้อมกัน แต่เบ๊นซ์ยักไหล่

“ก็ซื้อมาสามชาม ชินเอาไปชามครึ่ง เมฆาเอาไปสามส่วนสี่ ส่วนที่เหลือสามส่วนสี่ ฉันกินเอง” เบ๊นว่าแล้วมองก๋วยเตี๋ยวที่กระจายเต็มพื้น

“ตกลง” เมฆาและชินตกลงพอใจในข้อเสนอราวนักธุรกิจแบ่งผลประโยชน์ (อุด้ง) กันเรียบร้อย ชินหันกลับแล้วชี้ไปที่ศพ 5 ศพที่ยังนอนโอดโอยอยู่บนพื้น แล้วก็หันกลับไปกวักมือเรียกน้องสาวมา

“แก้ว รักษาเบื้องต้นให้พวกนี้ แล้วหาใครซักคนพาไปอาคารพยาบาลหน่อย”

เด็กสาวพยักหน้า ใบหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขณะก้มลงรักษาร่างที่อยู่ใกล้ที่สุด บาดแผลไฟลวกที่เกิดจากไฟฟ้าแรงสูงของเบ๊นซ์เริ่มสมานเข้าหากันอย่างช้าๆ

“เดี๋ยวฉันพาพวกนี้ไปห้องพยาบาลเอง” เบ๊นซ์เสนอแล้วก้มตัวลงไปจะช่วยพยุง แต่ชินรั้งคอเสื้อเอาไว้อย่างรู้ทัน

“อย่ามาเนียน ไปซื้อมาเดี๋ยวนี้เลย” ชินว่า ในขณะที่เมฆาก็แสยะยิ้มเดินเข้ามากอดคอลากไปร้านอุด้งทันที

“ใช่ ไปด้วยกันนี่แหละ” เมฆาว่า เบ๊นซ์กลอกตาแล้วทำจมูกฟุดฟิด

“อย่างน้อยแกน่าจะไปล้างตัวหน่อยนะ” เบ๊นซ์เสนอ

“เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็กเฟ้ย!” ทั้งชินและเมฆาร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แล้วกอดคอลากเจ้ามือไปซื้ออาหารอย่างไม่ปล่อยให้หนี ปล่อยให้คนรอบข้างมองอย่างอึ้งๆกับสงครามอุด้งที่เพิ่งจบไป

โคตรจะไร้สาระ!!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel