The Deal : ดิลลับฉบับเริ่มต้น Ⅲ
หลายสัปดาห์ต่อมา…
@Sosay Pub
22:30 น.
พอได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับงานหลายส่วนของ ธารธารา อย่างจริงๆ จังๆ ก็ยิ่งตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ทางฉันเลย เหมือนยังมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจหรืออาจรวมไปถึงเรื่องบริหารภายในองค์กรด้วย ซึ่งมันเป็นอะไรที่เกินตัวไปมาก แม้ว่าฉันจะทุ่มเวลาทั้งหมดตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาไปกับมัน ก็ดูเหมือนจะได้กลับมาแค่เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง
จนถึงตอนนี้ที่อยู่ในปาร์ตี้สระโสดของเพื่อนรัก ท่ามกลางแสงสีและเสียงดนตรีอึกทึกครึกโครม ในหัวฉันก็ยังมีแต่เรื่องของโรงงาน
น้ำสีเหลืองอำพันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในแก้วนานหลายวินาที ก่อนฉันจะยกขึ้นกรอกลงคอจนหมดในคราวเดียว
“มันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เสียงหวานของว่าที่เจ้าสาวเอ่ยขึ้นข้างหู หลังจากที่มันผละออกจากแฟนหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ของตัวเองแล้วขยับย้ายมานั่งเบียดฉันแทน
“ทำไมตอนนั้นกูไม่เลือกเรียนบริหารวะมึง”
“ถามกู?” มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “แล้วคือกูรู้”
“ช่างแม่งเหอะ” ฉันสะบัดหัวไปมา ก่อนจะลอบถอนหายใจแรงหนึ่งครั้ง เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรเอาเรื่องซีเรียสมาคิดในเวลาแบบนี้
“เอาน่า ปล่อยไปก่อน ตอนนี้เป็นเวลาเอ็นจอย วันจันทร์มึงค่อยไปเครียดต่อ”
“ขอบคุณ! เป็นคำปลอบใจที่ดีมาก” ฉันถูกฉุดให้ลุกขึ้นจากโซฟาทั้งที่ประโยคยังไม่ทันจบสมบูรณ์ดี โดยไม่ลืมจะคว้าแก้วที่เพิ่งถูกชงใหม่ขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นเพื่อนรักก็ออกแรงลากให้ฉันตามไปหยุดยืนบริเวณราวกั้นชั้นลอยของโซน VIP เพื่อมาสมทบกับบรรดาพี่สะใภ้เกือบจะครบองค์ประชุมของมัน และหนึ่งในนั้นก็ยังมีสาวโสดอย่างพี่พลอยใสด้วย ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดที่สามารถเห็นการแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจนรวมถึงบรรยากาศแทบจะทั้งหมดของพื้นที่ด้านล่าง
ไม่นานฉันก็เริ่มปล่อยไหลไปกับสิ่งเร้าตรงหน้า เรื่องของ ธารธารา ก็ค่อยๆ จางหายไปทีละนิด…ทีละนิด
“มึง…” อีมิสะกิดหลังมือฉันยิกๆ สายตามันโฟกัสบางอย่างบริเวณบันไดทางขึ้นที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ส่งผลให้ฉันเอี้ยวศีรษะมองตาม
…เหอะ!
ฉันหลุดแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่เดินขึ้นมาเป็น ไอด้า เพื่อนสาวที่กลายมาเป็นศัตรูเพราะสันดานความเอาไม่เลือก แน่นอนว่ามันไม่ได้มาคนเดียว ยังมีพวกเบ๊ประจำกลุ่มติดสอยห้อยตามอีกเป็นพรวน และหนึ่งในนั้นคือ แพรไหม บุคคลที่เหมือนจะประสงค์ดีส่งคลิปมาให้ฉันและเป็นเจ้าของแอคหลุมที่ลงประจานเพื่อนตัวเองด้วย
ตลกดีวะ…ที่คนถูกทรยศหักหลังไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเลย
สายตาแสดงความไม่เป็นมิตรทั้งสี่คู่ถูกส่งมาที่ฉันโดยพร้อมเพรียง
ร่างกายฉันเบี่ยงเป็นหันหลังพิงกับราวกั้นเหล็กในตอนที่ฝูงหมากำลังจะเดินผ่าน และจังหวะนั้นเองที่ฉันยื่นขาข้างหนึ่งออกไปขวางทางเดินเอาไว้ด้วยความตั้งใจ
ปึก!
ส่งผลให้ร่างบางในชุดเดรสรัดรูปสีแดงที่เดินลอยหน้าลอยตาน่าหมั่นไส้ ไม่ทันระวังสะดุดเข้าอย่างจังจนหน้าเกือบทิ่มลงพื้น ถ้าไม่ติดว่าได้รับการช่วยเหลือคนในกลุ่มซะก่อน
อ๊ะ…ฟุ่บ
“อุ๊ย! สะดุดรากต้นงิ้วรึเปล่านะ” ฉันแสร้งทำหน้าตื่นตระหนกพร้อมชักเท้ากลับมาวางที่เดิม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับฝ่ายตรงข้ามทรงตัวได้สำเร็จ ก่อนจะง้างมือขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าหาฉันอย่างไว
“อีทิ!! มึง…”
“มาสิ คิดว่ามีมือคนเดียวเหรอ” และฉันทำสิ่งเดียวกันกลับไป
“ไอด้า…” เสียงปรามเข้มบวกกับการฉุดรั้งจากแพรไหมหยุดเจ้าของชื่อไว้ได้ก่อนจะลงมือ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มันตัดสินใจไม่ทำสิ่งที่โง่เขลาก็คงเพราะแบ็คกราวด์ด้านหลังฉันตอนนี้เต็มไปด้วยสาวสวยรุ่นใหญ่ทั้งเจ็ดและหนึ่งเพื่อนรักที่ขยับมายืนขนาบข้าง
ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักบารมีของกลุ่มพี่ชายอีมิรวมถึงบรรดาเมียๆ ของพวกเขาด้วย
“ฝากไว้ก่อนนะมึง” ไอด้าลดมือลงมาชี้หน้าคาดโทษฉันแทน
“ไม่รับฝาก เอาคืนไป!!” จบคำกล่าวแอลกอฮอล์ที่อยู่ในแก้วทั้งหมดลอยไปปะทะหน้าสวยๆ ที่ผ่านการประโคมอย่างหนักจนเปียกโชกหมดสภาพ
ซ่า
“อร๊ายยย อีทิ…อีเวร!” สาวรุ่นเดียวกันตรงหน้าดีดดิ้นราวกับโดนน้ำมนต์ปราบผี แต่ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวฉัน ชายชุดดำซึ่งเป็นการ์ดประจำร้านก็ก้าวเข้ามาขวางไว้
“มีอะไรกันรึเปล่าครับ นายหญิง”
“ไม่มีไรหรอก เพื่อนรักเขาทักทายกันนิดหน่อย” เป็นซ้อใหญ่ประจำแก๊ง พี่หนูดา ซึ่งเป็นภรรยาผู้บริหารสูงสุดของ Sosay Pub ปัดมือไล่ลูกน้องตัวเองออกไป
จากนั้นกลุ่มคู่อริของฉันก็ทำท่ายกทัพถอยเช่นกัน โดยที่ยังส่งสายตายังฟาดฟันไม่ลดละ…ถ้าเจอกันข้างนอก รับรองได้เลยว่าตายกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ
ผ่านไปเกือบสิบนาที…ฉันก็พาตัวเองกลับมานั่งดื่มต่อที่โซฟาตัวเดิม ส่วนอีมิ…น่าจะไปอยู่กับคุณหมอในห้อง VVIP ของพวกเขานั่นแหละ ตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่คน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ใส่ใจนักว่าพวกเธอไปไหนกัน
แต่ระหว่างนั้นฉันเหลือบไปเห็นร่างเล็กของแพรไหมโดยบังเอิญ เธอกำลังเดินเข้าไปทักทายใครบางคนที่ยืนอยู่บริเวณราวกั้นทางซ้ายมือซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่ง
…นั่นมัน!
ฉันชะงักเมื่อสังเกตเห็นรอยสักบริเวณข้างลำคอของผู้ชายคนที่ยัยแพรกำลังคุยด้วย
เป็นหมอนั่นอีกแล้วเหรอวะ?
“พี่พลอย” ฉันเอ่ยเรียกสาวรุ่นพี่ที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“หืม?”
“พี่ว่า ทิจะดิลผู้ชายคนนั้นมาได้ปะ”
พี่พลอยใสเคลื่อนสายตาไปมองจุดเดียวกับฉัน ก่อนจะขยับปากถาม “คนที่ยืนคุยอยู่กับสาวในกลุ่มนั่นน่ะเหรอ”
“อือ” ฉันครางรับ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับแพรไหมเดินกลับไปโต๊ะตัวเองด้วยท่าทางห่อเหี่ยว คล้ายกับถูกปฏิเสธ อะไรทำนองนั้น แล้วถ้าเป็นแบบที่คิดก็แสดงว่า หมอนั่นก็เล่นตัวเอาเรื่อง…
“ไม่ลองจะรู้เหรอ” พี่พลอยใสไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นดื่มแบบชิลๆ
หลังจากได้รับคำตอบจากผู้ที่ผ่านร้อนหนาวมามากกว่า ฉันก็สูดลมหายใจเข้าไปส่วนหนึ่งเพื่อเรียกความมั่นใจ แล้วยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเดินไปยังจุดหมายอย่างไม่ลังเล
“คุณ…”
คนถูกสะกิดเรียกเอี้ยวตัวกลับมามองกันด้วยใบหน้าฉงนปนหงุดหงิด “...?”
“จำฉันได้ไหม เราเคยเจอกันที่กรุงเทพ สองครั้ง” นิ้วชี้และกลางถูกชูขึ้นขนาบข้างใบหน้าเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในจำนวนที่ระบุไว้
“อือ” น่าแปลกที่อีกฝ่ายครางรับแบบไร้การไตร่ตรอง
แปลว่าเขาจำฉันได้ตั้งแต่แรกเห็น…
“แล้วคุณก็ยังติดหนี้เดิมพันฉันด้วย” ฉันได้ยินเสียงหัวเราะ หึ ดังขึ้นจากคู่สนทนา ตรงคำว่า ติดหนี้ ในประโยค แล้วเขาหันเข้าหาฉันจริงจังพร้อมตอกกลับเสียงแข็ง
“ทุกอย่างมันเป็นโมฆะ ตั้งแต่ที่มีการโกงเกิดขึ้น นั้นแปลว่าฉันไม่ได้ติดหนี้ใคร อย่ามาเนียน”
“อ้าว…เหรอ” ระหว่างการสนทนาฉันยังลอบมองไปยังกลุ่มของคู่อริผ่านหางตาตลอดเวลา
ขณะเดียวกันฉันก็ยังถูกจับผิดจากผู้ชายที่ไม่รู้จักนี่เช่นกัน “มีอะไร ก็พูดมา”
“ออกไปกับฉันหน่อยสิ”
“อีกแล้ว?”
“...” ฉันพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับเอื้อมมือกุมใจกลางฝ่ามือหนาไว้ทั้งหมดอย่างถือวิสาสะ และจงใจหันไปยกยิ้มให้สาวที่นกไปก่อนหน้าด้วยความลำพองใจ ก่อนจะจูงผู้ชายที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ ลงไปด้านล่าง
“นี่!...” ฝีเท้าฉันหยุดกะทันหันและถูกดึงให้กลับไปเผชิญหน้าหลังจากก้าวพ้นประตูออกมาสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนได้สักระยะ “จะไม่หลับใส่ฉันอีกใช่ไหม”
“คราวที่แล้ว ฉันทำแบบนั้นเหรอ” ฉันกลอกตาไปมาขณะใช้ความคิด…
“เหอะ! ยังมีหน้ามาถาม”
จบคำกล่าวคนตัวสูงก็เดินผ่านฉันไปขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่สีดำที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า ส่งผลให้ฉันก้าวตามไปอย่างเชื่องช้า
“...” และสีหน้าฉันคงแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกกังวล นั่นจึงเป็นตอนที่ได้ยินคำถามจากเจ้าของรถ
“นั่งมอไซค์ไม่ได้ไง๊?”
“ก็ฉันใส่กระโปรง” ฉันตอบพลางก้มดูสภาพตัวเอง ซึ่งมันสั้นและแคบมากด้วย
“งั้นไปรถเธอ”
“ไม่ต้องหรอก” แบงก์สีเทาหลายใบถูกควักออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วยื่นไปต่อหน้า “อะนี่ ค่าเสียเวลา”
“...?” ดวงตาคมหลุมมองมันวูบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร
“ฉันมีเงินสดแค่นี้” แค่นี้ที่ฉันหมายถึงก็เกือบหมื่นอยู่นะ…หรือว่ามันน้อยไป คิดได้แบบนั้นฉันก็เก็บมันเข้าที่เดิมแล้วหยิบมือถือออกมาแทน “งั้นเอาเลขบัญชีมา ฉันจะโอนให้”
“ฉันบอกว่าอยากได้เงิน?” เขาเอื้อมมือมาดันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกให้พ้นสายตา
“แล้วจะเอาอะไรล่ะคะ”
“เอาเธอ”
“…” คำตอบตรงไปตรงมาทำฉันสตั้นไปหลายวินาที
“ทำไม ที่ลากฉันออกมา ก็เพราะเซ็กซ์…ไม่ใช่เหรอ”
“คือ…” ความจริงก็แค่อยากยั่วโมโหยัยแพรไหมเล่นๆ แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เขาพูดถึงเลย…
“รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกแล้วเหรอ” คำถามที่ออกมาพร้อมรอยยิ้มดูแคลนนั่น ทำฉันหงุดหงิดนิดหน่อย
“ไม่ได้กลัวซะหน่อย”
“จะบอกอะไรให้นะ เซ็กซ์ สำหรับฉัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นอะไรกัน แค่อยาก ก็เอา แล้วก็จบ หรือถ้าถูกใจก็ดิลต่อยาวๆ”
“ฉันบอกว่าอยากรู้เหรอ”
“ก็เพื่อเธอสนใจ ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะไม่เจอของดีสินะ”
“โอ้โห…ตอนเด็กแม่ให้กินความมั่นใจเป็นอาหารเหรอ” คราวนี้ฉันเลื่อนแขนขึ้นกอดอกพลางเอียงคอมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความขับข้องใจ
“อย่ามาหลงติดใจฉันก็แล้วกัน สาวน้อย”
“ใครจะติดใจใครกันแน่คะ”
“อยากรู้จัง…ว่าอย่างอื่น จะดีเหมือนปากไหม” ขณะพูดเขายังไล่สายตาขึ้นลงตามเรือนร่างของฉันอย่างอุกอาจ ทำเอาฉันถึงกับต้องขยับถอยเล็กน้อย
“อย่ามาบ้ากามใส่ฉันนะ”
“ถ้าเธอไม่ไป ฉันคงต้องไปกับผู้หญิงชุดขาวคนนั้นแล้วละ” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์จากผู้ชายคนนี้ มันทำให้เขาดูเป็นจอมวายร้าย แต่...ในทางกลับกันเขาก็ดูมีเสน่ห์มากด้วย
และใครจะยอมถูกหักหน้าแบบนั้นกันเล๊า... “เออๆ ว่าข้อตกลงของคุณมา”
“ไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
