The Deal : ดิลลับฉบับเริ่มต้น Ⅳ
[บทบรรยาย : เหนือเมฆ]
“…ลงค่ะ” เจ้าของมินิคูเปอร์เอสสีเทาเข้มขยับปากออกคำสั่งขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้พ้นตัว หลังจากเคลื่อนรถมาจอดเทียบริมฟุตบาท
ผมไล่สำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความสงสัย เพราะสองข้างทางเป็นป่าทึบที่ไกลออกไปเกือบร้อยเมตรถึงจะเจอแสงไฟจากบ้านเรือนหรือร้านค้าสักหลัง อีกอย่างมันก็ห่างจากตัวเมืองมาเยอะพอสมควรเลย
ยัยตัวแสบนี่จะลวงผมมาฆ่าปาดคอรึเปล่าวะ!?
สิ้นสุดความคิดประตูรถฝั่งผมก็ถูกดึงเปิดจากด้านนอก โดยฝีมือคนที่อยู่หลังพวงมาลัยเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ต้องให้อัญเชิญไหมคะ”
“เพื่อนเล่น!? เดี๋ยวจะโดน!!” ผมสวนด้วยน้ำเสียงกดต่ำเพื่อปรามยัยเด็กน้อยที่เริ่มจะพูดเล่นพูดหัวเกินขอบเขต ก่อนจะเอื้อมไปปลดปลดสายเบลท์แล้วก้าวลงจากรถด้วยความจำใจ
“...” คนถูกคาดโทษยู่จมูกเล็กน้อยพลางกดรีโมตล็อกรถในตอนที่ประตูถูกดันปิดสนิท จากนั้นเธอก็หมุนตัวกลับหลังและแต่กำลังจะขยับเดิน
“เดี๋ยว!” ผมเอื้อมคว้าข้อมือเล็กไว้ ใบหน้าสวยเหลียวมามองกัน นั่นจึงเป็นตอนที่ผมยิงคำถามต่อ “มาทำอะไรที่นี่”
“นั่นร้านอะไรคะ” นิ้วเรียวชี้ออกไป ส่งผลให้ผมมองตามและเห็นว่าบริเวณที่ถูกระบุมีลักษณะคล้ายร้านอาหารโต้รุ่ง
“ร้านข้าว”
“ใช่ ฉันไม่พาคุณมาตัดผมแน่นอน” เธอกระตุกมือออก
“กวนตีน…” ถึงเสียงผมจะหรี่ลงพอสมควร แต่ก็ยังชัดเจนในระดับหนึ่ง เลยทำให้คนที่กำลังจะก้าวเท้าหยุดชะงักและหันกลับมาอีกครั้ง
“ได้ยินนะ”
ใครสน…ไหล่กว้างถูกยกขึ้นหนึ่งทีอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนผมจะเบือนหน้าไปทางอื่น ซึ่งมันแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่คนตัวเล็กออกเดินนำอย่างจริงจังอีกครั้ง
เอาจริงๆ มันน่าหงุดหงิดมากนะ ที่ผมไม่ขัดใจเธอ…ทั้งที่แม่งโคตรขัดใจตัวเอง อะไรที่นำพาผมมาเจอยัยเด็กนี่วะ แล้วดันเจอบ่อยด้วยนะ ปวดหัวฉิบหาย
หรือบางทีเจ้ากรรมนายเวรก็อาจมาในรูปแบบคนแปลกหน้า!
“อ้าว อาทิชา ลื้อหายหน้าหายตาไปนานเลยน่า” เสียงทักทายสำเนียงลูกครึ่งจีนจากชายสูงวัยที่ยืนอยู่หน้าเตาดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวเจ้าของถิ่นก้าวเข้ามาในร้าน
อารมณ์แบบข้าวต้มรอบดึกข้างทาง อะไรประมาณนั้น แต่เธอเลือกที่จะไม่นั่งริมถนน
“ทิไปทำงานที่กรุงเทพมาค่ะแปะ” จากข้อมูลนี่ทำให้ผมรู้อะไรเกี่ยวกับยัยเด็กนี่มากขึ้น หลักๆ ก็ชื่อ…ทิชา
“อา…อา ลื้อรอนานหน่อยนะ วันนี้คนเยอะ”
“ค่ะ”
เธอพาผมมานั่งที่โต๊ะในสุดของร้าน ก่อนจะจดรายการอาหารลงกระดาษอย่างรวดเร็วราวกับทุกสิ่งอย่างมันมีอยู่ในหัวแล้ว
“คุณเอาอะไรเพิ่มไหม”
“ไม่! ไม่ได้หิว แล้วก็ไม่ได้อยากกินข้าว”
“ก็ฉันหิวหนิ”
“เหอะ!” ผมอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงในคอด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะล้วงมือถือขึ้นมาไถ่เล่นฆ่าเวลา ที่คิดว่าคงอีกพักใหญ่เลย แต่ก็งงตัวเองนะ...จะมานั่งรอยัยนี่ทำไมวะ
“ขอกินข้าวแป๊บหนึ่ง คงไม่ถึงกับลงแดงตายหรอกเนอะ” พูดจบเธอก็ยื่นกระดาษไปให้พนักงานที่เดินผ่านมาพอดี
“...” รู้สึกว่าวันนี้จะโดนหลอกด่าหลายดอกแล้วนะ!
“คุณมาทำอะไรที่เชียงใหม่อะ มาเที่ยวเหรอคะ” เธอไม่ปล่อยให้เวลาเดินไปโดยเสียเปล่าเลยสักวินาที ผู้หญิงนี่พูดเยอะทุกคนเลยไหมนะ
“…” ผมส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย...ส่ายหน้าที่ไม่ได้แปลว่าตอบ
“มาทำงานเหรอ แล้วคุณทำงานอะไรอะ” แต่เธอยังถามต่อโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงความรำคาญที่ผมมีเลยสักนิด
“นั่นมันเรื่องของฉัน”
“เอ้า…นี่ด่าว่าเสือกปะเนี่ย”
“ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ปากเสียฉิบ”
จังหวะนั่นผมหันไปหยิบตะเกียบออกมาหนึ่งอันแล้วเคาะไปกลางหน้าผากยัยเด็กบ้าอย่างเหลืออด
ป๊อก!
อ๊ะ!...
เสียงร้องเล็ดลอดออกมาพร้อมกับใบหน้าเหยเก เธอยกมือขึ้นลูบบริเวณนั้นป้อยๆ
“เจ็บนะ”
“สมควร ที่หลังอย่ามาทะลึ่ง ฉันเป็นรุ่นพี่เธอนะ”
“รู้ได้ไงคะ”
“เดา…” ถ้าจะบอกว่าดูจากหน้าก็รู้ ก็ดูเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตีได้ง่ายเกินไป แต่ถึงจะหลบหลีกแค่ไหนก็ไม่รอด
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ สามสิบห้าปะ”
“ต่อยผู้หญิงนี่เสียค่าปรับเท่าไหร่วะ” ผมคว่ำหน้าจอมือถือลงกับโต๊ะไม้ด้วยอย่างหัวเสีย ยัยเด็กนี่จะเลิกกวนประสาทผมตอนกี่โมงวะ
“หูย…เกเรเหมือนกันนะเราอะ แค่หยอกเอง”
กูอยากจะบ้า…นี่คือสภาพผู้หญิงที่ดิลผู้ชายออกมาวันไนต์จริงๆ เหรอวะ? ขยี้ตาแล้วมองอีกสิบรอบ ก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนที่พอปลุกอารมณ์ผู้ชายขึ้นมาได้ นี่ผมหลงขึ้นรถมากับเธอได้ยังไงก่อน ถ้าจะให้พูดตรงๆ สภาพตอนเมาน่าเอากว่าเยอะ
“แล้วพี่ชื่ออะไร”
“พี่…?” ผมทวนสรรพนามที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“อ้าว ก็บอกเองหนิ ว่าอายุมากกว่า”
“แต่เราไม่ได้รู้จักกัน” ผมแย้ง และแน่นอนว่าอีกฝ่ายมีคำตอบให้สำหรับทุกเรื่องเสมอ
“รู้จักกันแล้วนี่ไง ฉันชื่อทิชา พี่ละ”
ยอมใจ…ไม่สิ ต้องบอกว่าเหนื่อยใจมากกว่า
“ไว้ใจคนง่ายเกินไปเปล่าวะ” คนที่จะบังเอิญเจอกันบ่อย ไม่ได้แปลว่าสนิทกันหรอกนะ
“ปกติก็ไม่ได้ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกนะ แต่ฉันไว้ใจพี่”
“ฮะ?” ผมหลุดครางเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“สำหรับฉัน…พี่ถือว่าเป็นผู้ชายที่พอใช้ได้คนหนึ่งเลยนะ ถึงปากจะใช้ไม่ได้เลยก็เหอะ”
“...” ผมตวัดตามองสาวช่างพูดในประโยคสุดท้ายที่ไม่วายแว้งกัดกันอีกจนได้ ส่งผลให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก็จะขยับปากร่ายยาวอีกครั้ง
“อุ๊ย! ก็พูดจริงอะ จากที่พี่ไม่แตะต้องฉันเลยตอนไม่มีสติ แค่นี้ก็ทำให้ฉันไว้ใจพี่ได้แล้ว ความจริงเราเป็นเพื่อนกันได้นะ”
“ไม่ได้มีเพื่อน”
“ก็ตรงเกิ๊น…”
ผมตัดจบบทสนทนาด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาจ่อหน้า ไม่สนใจต่อสิ่งเร้ารอบข้าง ในขณะเดียวกันอาหารก็เริ่มทยอยมาวางบนโต๊ะจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
แอบตกใจอยู่นะ…สาบานว่านี่คือการรับประทาน ความเป็นกุลสตรีมันซ้อนอยู่ในส่วนไหนของร่างกายที่ดูเหมือนจะบอบบางนี่วะ
“พี่ไม่กินจริงอะ มันอร่อยนะ” ไม่ถามเปล่า สาวจอมจุ้นจ้านยังเลื่อนถ้วยข้าวต้มกุ๊ยมาไว้ตรงหน้าผมด้วย
“ไม่…” คำปฏิเสธของผมไม่มีความหมายสำหรับเด็กมึนจริงๆ ตะเกียบและช้อนถูกหยิบมาวางเป็นอันดับต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังชวนคุยต่อหน้าตาเฉย
“พี่รู้มะ ฉันกินร้านนี้มาตั้งแต่จำความได้เลยนะ”
“ใครอยากรู้”
“หุ…คนอะไรไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาซะเลย”
“ทำไมต้องมี”
“พี่คิดว่า…พี่จะเกิดมาแค่มีเซ็กซ์แล้วก็ตายไปเหรอ” ประโยคนี้ทำผมช็อตนิดหนึ่งเหมือนกันนะ จากที่ก่อนหน้านั้นตอบสวนกลับแบบไม่แม้จะเว้นช่วงให้หายใจ
“คิดว่าใช่นะ”
“หมกมุ่นชะมัด”
“ก็ยังดีกว่าต้องไปนั่งกินเหล้าทั้งน้ำตานะ” ผมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย คราวนี้เป็นทีของผม เพราะคนฟังถึงกับค้างตะเกียบที่กำลังคีบผักบุ้งไฟแดงกลางอากาศ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่ผม
“พูดงี้ขึ้นเลย...”
“หึ!”
“ไม่คุยด้วยก็ได้!” จบคำกล่าว คนตัวเล็กตรงหน้าก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ตัวเองสั่งมาแบบไม่พูดไม่จา แต่สีหน้าท่าทางดันสวนทางกับความอร่อยที่เธอโอ้อวดไว้ตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด
“ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินเลยนะ” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศเข้าสู่ช่วงเดตแอร์พักใหญ่
“ทำไมวะ ทำไมคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดต้องถูกซ้ำเติมด้วย”
“อะไรวะเนี่ย…” ผมผงะพร้อมโพล่งออกมาด้วยความตกใจ หลังจากที่โดนสวนกลับมาแบบตั้งรับไม่ทัน คนอุตส่าห์ชวนคุยดีๆ และมันไม่ใช่แค่นั้น ทั้งอารมณ์และน้ำเสียงจัดเต็มมากขึ้นในประโยคต่อไป
“ทำไมต้องทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ ทั้งที่พวกแม่งนั่นต่างหากที่เลว ทำไมพี่ไม่ปะ…”
ฝ่ามือหาถูกส่งไปปิดปากเล็กไว้แน่นในตอนที่รู้สึกว่าเธอแผดเสียงขึ้นแบบไม่มีวี่แววว่าจะลดลง จนคนรอบข้างต่างก็พากันหันมาให้ความสนใจพวกเรามากกว่าอาหารบนโต๊ะ
“เห่ย…เบาลงหน่อย” เวลานี้ดูเหมือนคำพูดของผมจะไร้ความหมายไปหมด พอเธอแกะมือผมออกจากปากได้ ก็รัวต่อแบบไม่สนหน้าใครทั้งนั้น
“เพราะพี่เป็นผู้ชายเหมือนมันใช่ปะ ก็เข้าข้างกัน”
“ไม่ใช่…ไม่ใช่แบบนั้น เออๆ ฉันขอโทษ โอเคไหม” หลังจากผมยอมอ่อนให้ คนตัวเล็กก็ปิดปากเงียบแต่สายตายังไม่หยุดเกรี้ยวกราด แต่ก็ยังดีที่เธอไม่โวยวาย ผมพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกด้วยความโล่งอก พลางยกมือขึ้นเสยผมแล้วจบด้วยการยีซ้ำๆ เพื่อระบายความหงุดหงิด
เวรเอ๊ย!...อยากจะตบปากตัวเองจริงๆ หาแต่เรื่อง!!
