The Deal : ดิลลับฉบับเริ่มต้น Ⅱ
@สนามบินเชียงใหม่
“มึง ไปหาอะไรกินกับพวกกูก่อนไหม” เพื่อนรักเอ่ยถาม ขณะก้าวเท้าไปยังทางออกสนามบิน
“ไปไงอะ โน้น คุณนายพิมประภามารอนู่นละ” ฉันว่า พร้อมพยักพเยิดหน้าไปทางผู้ถูกเอ่ยถึง ซึ่งมีศักดิ์เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ท่านยืนโบกมือไม้อยู่ในระยะที่ไกลออกไปประมาณสิบเมตร แต่ก็ยังพอมองเห็นใบหน้าพริ้มเพราของหญิงวัยห้าสิบได้ชัดเจน จากนั้นฉันก็หลุดหายใจแรงออกมาหนึ่งครั้งเมื่อเหลือบไปเจอใครบางคน
จมูกไวจริงๆ นี่ขนาดบล็อกทุกช่องทางแล้วนะ ยังโผล่มาอีกจนได้…
“แต่ดูเหมือน คุณนายพิมจะยังไม่รู้เรื่องนะ พกคนที่มึงอยากเจอมาซะด้วย” น้ำเสียงทะเล้นของเพื่อนรัก เรียกสายตาเกรี้ยวกราดจากฉันได้เป็นอย่างดี
นี่ก็จี้ปมเก่งซะเหลือเกิน…
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ” อีมิกับคุณหมอไวน์ยกมือไหว้คุณนายพิมแทบจะพร้อมกัน หลังจากเดินมาหยุดยืนต่อหน้าท่าน
“จ้ะ…” ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวรับไหว้ พลางแจกจ่ายรอยยิ้มสดใส เนื่องจากท่านรู้จักสองคนนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
“นี่ พี่พลอยใสค่ะ” ส่วนฉันก็หันมาแนะสมาชิกใหม่ที่เพิ่มมา ก่อนที่พี่พลอยใสจะทักทายแม่ของฉันตามขนบธรรมเนียม
“สวัสดีค่ะ”
“สวยอย่างที่ชาชาบอกจริงๆ ด้วย” แม่ไม่เพียงแต่รับไหว้ ยังยกยอสาวรุ่นพี่ตาสรรพคุณที่ฉันเคยอวดอ้างด้วย
เห็นแบบนี้ฉันกับแม่สนิทกันมากนะ มีอะไรเราก็จะเล่าสู่กันฟังแทบจะทุกเรื่อง
“ขอบคุณค่ะ” สิ้นเสียงพี่พลอยใส หญิงวัยกลางคนก็ทำเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน
“อ๋อ ชาชาไม่…”
“ไม่ค่ะ!” ฉันขัดจังหวะเสียงเข้ม เมื่อสัญชาตญาณมันร้องบอกว่าผู้เป็นแม่กำลังจะทำสิ่งที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ส่งผลให้ท่านสะดุ้งเล็กน้อย แต่ใครจะยอมให้บุคคลที่ควรเป็นธาตุอากาศมีตัวตนขึ้นมากันเล่า เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่ามันทำหน้าแบบไหน แม้แต่หางตาฉันก็ไม่มีเงาของคนผู้นั้นอยู่ คล้ายกับไม่อยากให้เสียทัศนียภาพ...
“งั้นพวกหนูขอตัวก่อนนะคะแม่” อีมิทำลายความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มไม่ค่อยดีด้วยคำกล่าวลา
“อะ…อ๋อ จ้ะ” คุณหญิงพิมหันไปตอบรับหน้าเจื่อนๆ นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันยกมือโบกลาสองสาว หลังจากพวกเขาทิ้งห่างไปได้สักระยะ ฉันก็หันมาพูดกับแม่ประโยคหนึ่ง
“ทำไมแม่ต้องพาคนนอกมาด้วย”
“ใครกัน...?” คนถูกถามเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย
ฉันไม่ได้ตอบกลับผู้เป็นแม่ในทันที แต่เลื่อนแขนขึ้นกอดอกแน่นแล้วตวัดมองไปยังชายชั่วที่ไม่สมควรยืนอยู่ตรงนี้
ไม่สิ…ไม่สมควรเหยียบบนพื้นโลกเลยด้วยซ้ำ
“ก็หน้าด้านดีหนิ ติดต่อฉันไม่ได้ ก็ยังแฝงตัวมากับครอบครัวฉันอีก”
“ชาชา…” คนเป็นแม่เบิกตากว้างร้องเรียกฉันด้วยความตกใจ ส่วนคนถูกพาดพิงก็มีท่าทางไม่ต่างกัน แต่ฉันไม่หยุดหรอกนะ ทั้งคำพูดบวกกับสีหน้าที่ใช้ยังแสดงออกชัดเจนว่าขยะแขยงขั้นสุด
“เขาเรียกว่าอะไรนะ…อ้อ ปรสิต!!”
“นะ…น้องชา”
“ใครเป็นน้องแก ฉันไม่นับญาติกับเหี้ยหรอกนะ” ฉันสวนกลับทันควัน ก่อนจะตามมาด้วยแรงฉุดรั้งให้หันไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นแม่
“ทิชานันท์! ทำไมลูกพูดกับพี่เขาแบบนั้นละ”
“นี่น้อยไปค่ะ” ฉันพูดด้วยโทนเสียงที่ยังติดแข็งกระด้างอยู่หลายส่วน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย...ฉันรู้ แต่อารมณ์มันปรับปุบปับแบบนั้นไม่ได้ไง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ฉันต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกชั่วครู่ ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายออกมาเปิดคลิปที่อาจดูอุจาดตานิดหน่อยสำหรับผู้หญิงยุคเก่า แต่ท่านจำเป็นที่จะต้องรับรู้…
“นี่มัน…!!” คุณหญิงพิมร้องอุทานลั่น จนผู้คนรอบๆ เริ่มหันมามอง แต่ใช่ว่าเราสองแม่ลูกจะสนใจ... ท่านตวัดมองไปยังตัวแสดงเอกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
“ผะ…ผมอธิบายได้นะครับ” คนมีความผิดรีบปฏิเสธจนลิ้นแทบพันกัน
“กล้าหักหลังลูกฉันได้ยังไง!” องค์แม่ลงแล้ว…จากที่ยืนข้างหลังฉันก็ขยับก้าวขึ้นไปขวางหน้าไว้แทน ไม่ว่าจะลูกเต้าเหล่าใคร ใหญ่มาจากไหน คุณนายพิมประภาก็ไม่สนหรอกนะ เพราะท่านคือมารดาที่พร้อมปกป้องลูกสุดชีวิต
“ไม่ใช่ครับ ความจริงคลิปนี้มันก่อนที่ผมจะมาคบกับทิชาอีกนะครับ แล้วมันก็เกิดจากความเมาด้วย ผมไม่ได้…”
“จิ๊…” ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความรู้สึกขัดใจพลางส่ายหน้าไปมาอย่างหัวเสีย “ต้องสันดานเสียขนาดไหน ถึงกล้าพูดแบบนี้วะ”
“น้องชา พี่พูดจริงๆ นะ” ไอ้สาวเลวนั่นยังไม่ละความพยายามที่จะแก้ตัว
“บอกว่าอย่าเรียกแบบนี้ไง ไม่ได้ยินหรือสมองไม่ทำงาน เอ๊ะ! หรือไอ้นั่นมันย้ายขึ้นมาควบคุมสมองไปหมดแล้ว” ฉันเคลื่อนลงมองต่ำเพื่อระบุตำแหน่ง ‘ไอ้นั่น’ ในประโยคให้ชัดเจนมากขึ้น ฉับพลันสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไป...สายตาที่มองมามีความเดือดดาลซ้อนอยู่ มิหนำซ้ำกรามยังถูกขบแน่นเป็นสันเด่นชัด
“อุ๊ย! แรงจังละลูก” หน่อยซัพพอร์ตแสร้งสะดุ้งพลางยกมือขึ้นปิดปากทำท่าทางตกใจกับคำพูดของฉัน ทั้งที่ใบหน้าแฝงไปด้วยการเยาะเย้ย แต่หารู้ไหมว่าสิ่งที่แม่ทำ ส่งผลต่ออารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามไม่น้อยเลย
อยากจะถามนะ...ว่ามีสิทธิ์อะไรมาโกรธฉัน
แต่ก็นั่นแหละ ฉันเลือกที่จะไม่เสวนาต่อ เสียเวลาการใช้ชีวิต
“เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับ แต่ยังไม่ลืมกล่าวคำทิ้งท้าย “อ้อ…อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธอนะ ออกไปให้ห่างลูกสาวฉัน!”
ฉันยกยิ้มขึ้นมุมปาก พลางก้าวเดินไปตามแรงจูงของคุณหญิงพิม ความพร้อมปะทะนี้ถูกส่งต่อมาถึงลูกสาวโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ
“ชาชา ลูกโอเครึเปล่า” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม พลางเอื้อมมากุมมือฉันแน่น หลังจากที่เราพากันขึ้นมานั่งบนรถแวนสีดำประจำครอบครัวเรียบร้อย ในสภาพพร้อมออกเดินทาง
“โอเคสิคะ”
“แม่ขอโทษนะ ที่แนะนำคนไม่ดีให้ลูก” น้ำเสียงและสีหน้าท่านดูหม่นหมองลงเล็กน้อย
“ไม่ใช่ความผิดแม่ซะหน่อย ไอ้…นั่นน่ะ มันเลวด้วยสันดานมันเองค่ะ” จริงอย่างที่แม่พูด ฉันได้รู้จักกับไอ้ชั่วนั่นก็เพราะความเห็นดีเห็นงามจากผู้ใหญ่ แต่…เรื่องที่มันทำ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลยสักนิด
“งั้น เดี๋ยวแม่จะหาคนใหม่มาด้ามใจลูกดีไหม”
“โอ๊ะ!...พอก่อนดีกว่าค่ะ” ทันทีที่ฉันออกปาก ใบหน้าของคนถูกปฏิเสธก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย
“...”
“ให้ชาชาหาเองดีกว่าโน่ะ”
“ชาชา ไม่ไว้ใจแม่แล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่บางทีแม่ก็ไม่ทันพวกผู้ชายมักมากแบบนั้นหรอก ขนาดชาชายังดูไม่ออกเลย ภายนอกเหมือนจะดี…สุดท้าย ก็แค่เหมือน” ฉันอธิบาย
“ก็ได้จ้ะ”
“วันนี้วันอาทิตย์ พ่อเข้าโรงงานเหรอคะ” ฉันถามหาเพราะปกติถ้าวันหยุดท่านทั้งสองจะชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน
“เปล่าหรอก”
“แล้วทำไม พ่อไม่มาล่ะคะ”
“ไม่ค่อยสบายน่ะจ้ะ ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะ พ่อลูกก็เลยเครียดๆ”
“พ่อเป็นอะไรมากไหมคะ แม่ไม่เห็นบอกชาชาเลย แล้วพ่อเครียดเรื่องอะไรเหรอคะ” ฉันดีดตัวขึ้นตั้งตรงแล้วหันไปรัวคำถามใส่คนเป็นแม่ด้วยความวิตกกังวล เพราะปกติ คุณธารา จะแข็งแรงมากๆ ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยได้ยินว่าท่านป่วยเลยสักครั้ง
“เรื่องโรงงานของคู่แข่งน่ะ”
“...?” หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้พ่อเครียดจนล้มป่วย
“ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเซททุกอย่างเรียบร้อยพร้อมเปิดแล้ว”
“โรงงานเปิดใหม่ จะมาสู้เราได้ไงคะ” นี่คือสิ่งที่ฉันไม่เก็ท
“โรงงานที่อยู่ภายใต้เมฆากรุ๊ป เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวนะลูก เพราะเขาไม่ได้มาเพื่อล้ม ธารธารา เพียงอย่างเดียว แต่เขาตั้งใจมาถอนรากถอนโคนธารศิริกุลเลยแหละ”
“งงอะ…” ยิ่งแม่อธิบาย ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ความจริงพ่อของลูก กับประธานเมฆากรุ๊ป เขาเคยเป็นเพื่อนรักกันนะ แต่แม่ก็ไม่รู้สาเหตุที่เขาทั้งสองกลายมาเป็นศัตรูกันหรอก เพราะเรื่องมันก็เกิดขึ้นนานมากแล้ว ตั้งแต่พ่อกับแม่จะแต่งงานกันอีก”
“แย่งผู้หญิงกันสินะ” ฉันออกความคิดเห็น
“พูดไปเรื่อย”
“ผู้ชายถ้าจะผิดใจกันก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง ไม่ผู้หญิงก็ผลประโยชน์”
“แต่มันอาจจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ก็ได้นะ” ทำไมรู้สึกเหมือนแม่กำลังแก้ตัวให้พ่ออยู่เลยนะ…แต่ก็ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเหอะ
“แล้วทำไม เขาเพิ่งจะมาสร้างล่ะคะ ไหนบอกว่าอาฆาตกันมาตั้งนานแล้ว”
“เรื่องของธุรกิจ มันซับซ้อนมากนะชาชา ต้องรอทั้งจังหวะแล้วโอกาส ช่วงที่เรายังบูมติดอันดับต้นๆ ต่อให้เปิดใหญ่แค่ไหน ก็สู้เราไม่ได้ แต่ตอนนี้ แบรนด์ของเราดร็อปลงไปเยอะเลยนะ”
“เพราะอะไรคะ” ฉันเริ่มถามหาเหตุผลเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่มีอยู่ในหัวเลย แต่พอรู้ว่ามันอยู่ในจุดเสี่ยง ฉันก็ไม่สบายใจขึ้นมาซะงั้น
“แม่ก็ไม่แน่ใจนะ ช่วงนี้ถ้าชาชาว่าง ก็เข้าไปช่วยดูหน่อยสิ”
“แต่ชาชา ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับบริหารมานะคะ จะไปช่วยอะไรได้” วูบหนึ่งฉันก็รู้สึกผิดนะ ที่รั้นจะลงเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ฟัง ไม่สนเหตุผลอะไรสักอย่าง เพราะคิดว่าสิ่งที่พ่อสร้างไว้มันแข็งแรงมากพอที่จะตั้งอยู่ไปตลอด ถึงจะไม่มีพวกท่านแล้วก็ตาม แต่เหมือนจะไม่ใช่...
“แค่ไปช่วยดูเฉยๆ เอง นะ…”
“แต่…”
“พ่อลูกก็จะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง” คำแย้งของฉันถูกแทนด้วยสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ก็ได้ค่ะ แต่ไม่รับประกันนะคะ ว่ามันจะดีขึ้น หรือว่า…”
“หือ ไม่พูดแบบนั้นจ๊ะ” ผู้มากประสบการณ์รีบขัดขึ้นก่อนที่ฉันจะหลุดคำไม่ดีออกมา
“โอเคค่า...”
