บท
ตั้งค่า

The Deal : ดิลลับฉบับเริ่มต้น Ⅰ

@สนามบินสุวรรณภูมิ

08:30 น.

พอถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ ก็แอบหวิวนิดหนึ่งเหมือนกันนะ ทั้งที่คิดว่าได้เข้าโครงการเต็มตัวแล้วแท้ๆ สงสัยต้องหยุดพักเรื่องนี้ไปอีกสักพัก เพราะมันค่อนข้างกระทบจิตใจพอสมควรเลย อารมณ์แบบโดนถีบตกจากเครื่องทั้งที่เพิ่งออกจากจุดสตาร์ท

เวรจริง…แล้วจะมาคิดเรื่องเครื่องตก ตกเครื่องห่าอะไร ตอนกำลังเหยียบขึ้นเครื่องบินวะเนี่ย

ฉันสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดบ้าบอออกไปให้พ้น ขณะก้าวตามหลังเพื่อนรักกับคุณหมอไวน์ไปตามช่องทางเดินเพื่อหาตำแหน่งที่จองไว้ อ้อ…ลืมบอกไปว่ามีรุ่นพี่สาวสวยที่ได้มาทำความรู้จักกัน ณ ศูนย์วิจัยแห่งนี้ กลับเชียงใหม่พร้อมพวกเราด้วย พี่พลอยใส ซึ่งเธอเดินอยู่ข้างหลัง ความจริงเธอรู้จักกับกลุ่มของคุณหมออยู่ก่อนแล้วด้วยนะ

ไม่นานคู่รักข้าวใหม่ปลามันก็ค้นหาที่นั่งของตัวเองพบ แต่การจองไฟลต์ครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นแบบกระชั้นชิดเกินไป ทำให้ไม่สามารถเลือกจุดที่อยากนั่งได้ แค่มีว่างเพียงพอสำหรับเราสี่คนนี้ก็บุญล่ะ

ต่อมาปลายเท้าฉันก้าวมาหยุดยืนข้างเก้าอี้ที่มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าไถไอแพดอยู่ เพราะตัวที่อยู่ติดหน้าต่างด้านในนั้นเป็นของฉัน มันเป็นความอเมซิ่งอย่างหนึ่งเลยนะ พอมีคนมายืนแบบนี้ ผู้ที่นั่งด้านนอกก็จะรับรู้ได้เองโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ออกมา ซึ่งตอนนี้เขาคนนั้นกำลังเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ เตรียมขยับลุกเพื่อเปิดทาง

แต่ในตอนที่เจ้าของเรือนผมสีเทาควันบุหรี่เงยหน้าขึ้นเท่านั้นแหละ…มันเป็นจังหวะนรกมาก ฉันซ้ายหันโดยอัตโนมัติ ราวกับได้รับคำสั่งจากจ่าสิบตอนเรียนรด. พร้อมสาวเท้าฉับๆ ไปหาพี่พลอยใสที่นั่งอยู่บริเวณกลางลำซึ่งห่างออกไปสามแถวแบบไม่คิดชีวิต ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมอง

โลกแม่งเหวี่ยงเขากลับมาอีกทำบ้าอะไร!…ถึงจะไม่มีอะไร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอยากเจอหรอกนะ

“พี่พลอย”

คนถูกสะกิดเรียกดึงแอร์พอร์ตออกจากหูข้างหนึ่งก่อนจะหันมามองกัน “ว่า…”

“เราแลกที่กันเถอะ” ฉันแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน

“เอ้า! ไหนว่าอยากนั่งติดหน้าต่าง”

“ไม่อยากแล้ว อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวความสูง นะ…นะ”

“อือๆ” คนถูกรบเร้าจำใจตอบรับด้วยสีหน้าที่มีแต่ความงุนงง ก่อนเธอจะหอบหิ้วกระเป๋าสะพายตัวเองแล้วยัดกายลุกขึ้น นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันแทรกตัวเข้าไปนั่งแทนที่ทันที เพราะกังวลว่าเธอจะเปลี่ยนใจ

“อะไรวะ…”

ฉันส่งยิ้มหวานไปให้หนึ่งกรุบ หลังจากได้ยินเสียงบ่นพึมพำ จากนั้นรุ่นพี่คนสวยก็เดินจากไป แต่ฉันไม่หันไปมองหรอกนะ…

ทุกอย่างเงียบสงบได้ไม่ถึงสองนาที

“พี่พลอย…อ้าว” อีมิที่เอี้ยวตัวมาจากเก้าอี้ด้านหน้าทำท่าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเป็นฉัน “ทำไมมึงมานั่งนี่ละ ไหนบอก…”

“กูเปลี่ยนใจแล้ว” ฉันแทรกขึ้น ขณะที่ยังง่วนอยู่กับการเลือกเพลงโปรด

มันก็คงงงแหละ แต่ไม่พูดอะไร ฉันแอบเห็นนะว่าเพื่อนรักเคลื่อนสายตาไปมองตำแหน่งที่ถูกสับเปลี่ยน แล้วมันก็ขมวดคิ้วจ้องอยู่จุดเดิมพักใหญ่

“มึง”

“…?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองจริงจัง หลังจากถูกเรียกสรรพนามจำเพาะ ต่อมเผือกก็ทำงานทันควัน

“กูคุ้นหน้าคนที่นั่งข้างพี่พลอยวะ”

“มึงรู้จักเหรอ!” ฉันโพล่งขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ทั้งที่ก็ยังไม่กล้าหันไปมอง สิ่งนี้ทำให้คู่สนทนาลากสายตากลับมาจ้องมองกันด้วยความขับข้องใจ

“...?”

“ก็…ก็ปกติมึงค่อยสนใจผู้ชายคนอื่นสักเท่าไหร่ กูก็เลยรู้สึกแปลกใจ” ฉันหาข้อชี้แจงที่ดูสมเหตุสมผลพอตัว

“แต่กูยังไม่ได้บอกเลยนะ ว่าผู้ชาย…”

“...” ฉันสตั้นไปเกือบสามวิ ก่อนจะหาทางแก้สถานการณ์คับขันตรงหน้าได้ “ก็กูเห็นแล้วตอนสลับที่กับพี่พลอยไง”

“อ๋อ มึงก็เลยไม่อยากนั่งกับเขาสินะ ปะทะกันครั้งเดียว ตีเป็นคู่อริเลยไง๊” คำพูดของเพื่อนรักทำคิ้วฉันผูกกันหนักขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่อีมิจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่สิ่งที่มันพยายามจะสื่อคือเรื่องไหน

“พูดเชี่ยไร!?”

“เอ้า มึงจำเขาไม่ได้อ๋อ?”

“ใคร…”

“คนนั้นไง คนที่เจอตอนไปสนามแข่งรถเพื่อนเฮียวา ที่ลงเดิมพันมึงอะ กูว่า…กูจำไม่ผิดนะ”

“ฮะ…!” ถึงจะคอนโทลเสียงให้อยู่ในระดับที่ได้ยินกันแค่สองคน แต่ถ้าเอากระจกมาตั้งไว้ตรงหน้าตอนนี้ บอกได้คำเดียวเลยเห็นความช็อกขั้นสุดสะท้อนอยู่ในนั้นแน่ๆ

คิดอยู่นะว่าหน้าคุ้น…แต่นึกไม่ออก

แล้วตอนนี้ฉันควรตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี…

อุตส่าห์จะมาหาวันไนท์แบบที่ห่างไกลเกือบพันกิโลเพื่อจะได้ไม่ต้องวนกลับมาเจอกัน เรื่องดีๆ คือ…ไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นเกิดขึ้น ส่วนความเฮงซวย ก็…ไอ้ที่ต้องมาโดยสารบนเครื่องบินลำเดียวกัน จุดหมายก็คงไม่ต่าง แถมยังเป็นคนเดียวกับที่บิดเงินเดิมพันฉันด้วย

หรือเพราะช่วงนี้ดวงฉันตกวะ เจ้ากรรมนายเวรก็เลยจับพิกัดได้

รู้นะว่าโลกกลม…แต่บางทีก็ไม่ควรแคบขนาดนี้รึเปล่า?

ฉันเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก ขณะสมองอันน้อยนิดกำลังประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น

สองสัปดาห์ก่อน…

ซึ่งมันเป็นค่ำคืนที่ฉัน อีมิ และพี่พลอยใสเดินทางไปยังสนามแข่งรถที่พี่ชายอีมิแนะนำมา พวกเราไปถึงขอบสนามในตอนที่รถทั้งสองคันถูกปล่อยออกจากจุดสตาร์ทพอดี

“มึงว่าคันไหน” ฉันเริ่มทำลายความเงียบหลังจากนั้นประมาณสามนาที

“คันขาว” เพื่อนสาวผู้คลั่งไคล้ในการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและไม่มีความลังเลเลยสักนิด ทั้งที่คันนั้นอยู่รั้งท้าย

“ใช่เหรอวะ” ฉันยกมือขึ้นกอดอก พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย หวังจะยั่วโมโหน้องสาวเจ้าของสนามแข่งเล่นๆ

“พนันกับกูไหมล่ะ” ความฆ่าได้หยาบไม่ได้นั้น ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนอะ…คิดดูเหอะ

“พี่ลงกับมิเชลด้วยนะ” แถมรุ่นพี่คนสวยก็ยังเอากับมันด้วย

“โหพี่ ใครจะเสี่ยงเสียเงินฟรี”

“หึ…”

พวกเราทั้งสามคนเอียงคอมองไปยังต้นเสียงหัวเราะในลำคอที่ดังขึ้นหลังจากประโยคของฉันจบลง ซึ่งเป็นจังเดียวกับที่ผู้ชายข้างๆ ยกขวดเครื่องดื่มสีเขียวมรกตในมือขึ้นกรอกลงคอ ก่อนจะหันมากระตุกยิ้มร้าย

ระหว่างที่ฉันกำลังงงกับการทำที่โคตรเสียมารยาทของคนแปลกหน้า อีกฝ่ายก็ยังเลื่อนสายตามองพวกเราทีละคนตามลำดับ ไล่จากพี่พลอยใสยืนหลังสุด มาคนกลางคืออีมิและจบที่ฉันซึ่งอยู่ประจันหน้า

“อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจว่าจะเสียเงินฟรี?” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยประโยคแรกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ลึกๆ ยังมีความเย้ยหยันแฝงอยู่ในนั้นหลายส่วน

“เพราะสัญชาตญาณของเพื่อนฉันมันไม่เคยพลาด…ค่ะ!” ฉันจงใจกระแทกหางเสียงที่ควรจะมีเพื่อเป็นมารยาททางสังคมใส่ผู้ชายตรงหน้า เพราะเหมือนเขาจะเข้าไม่ถึง พลางก้าวเข้าใกล้คู่สนทนามากขึ้น แต่ยังถูกรั้งไว้โดยเพื่อนรักที่ยื่นอยู่ข้างหลัง ก่อนฉันจะปัดมือมันออก

“แต่คันที่เพื่อนเธอบอก รั้งหลังอยู่ห่างมากเลยนะ” คนตัวสูงโน้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับฉัน ขณะแย้งตามภาพที่ปรากฏอยู่ในสนาม

“ก็ต้องรอดูนะคะ” แต่เมื่อความมั่นใจฉันมีเยอะกว่า การท้าเดิมพันจึงเกิดขึ้น

“งั้นเรามาพนันกันไหม”

“เอาสิคะ!” และฉันคือทิชานันท์ไง…ผู้ที่พร้อมรับทุกคำท้าทาย

“อีที”

ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามหยุดกะทันหันจากแรงฉุดรั้งของเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนฉันจะหันไปตบไหล่มันเบาๆ “กูเชื่อใจมึงเพื่อน”

“สองหมื่น” พอคนท้าเริ่มลงจำนวนเงิน ฉันก็เกทับทันควัน

“สี่…”

“ตกลง” เจ้าของใบหน้าคมเข้มยื่นมือข้างหนึ่งออกมา หวังจะทำสนธิสัญญาระหว่างการเดิมพันครั้งนี้ ส่งผลให้ฉันหลุบมองเล็กน้อย แล้วเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมยื่นมือข้างเดียวกันในระดับใกล้เคียง

แต่จังหวะที่กำลังจะแตะสัมผัสกัน ฉันดึงมือขึ้นมาเกลี่ยปอยผมทัดหูซะก่อน

“โทษนะ ฉันไม่จับมือกับคนแปลกหน้า”

แค่นี้ก็รู้แล้วนะ…ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ดูเหมือนการกระทำและคำพูดของฉันจะมีผลต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายพอสมควรเลย ดวงตาคู่คมจ้องหน้าฉันอย่างเอาเรื่องพลางขบกรามแน่น ฝ่ามือที่แบก็เปลี่ยนเป็นกำเศษหน้าละเอียดยิบของตัวเองไว้ ก่อนเขาจะดึงมันไปเก็บในกระเป๋ากางเกงยีนเพื่อป้องกันการกระจัดกระจายบนพื้น ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่ริมฝีปากหยักขยับแขวะกันเบาๆ

“แต่กล้าลงพนันกับคนแปลกหน้าสินะ…เหอะ”

ฉันไหวไหล่ขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วสะบัดหน้ากลับไปจดจ่อในสนาม ที่ตอนนี้กำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ถึงภายนอกจะดูชิล แต่ข้างในนี่แบบ…ใจแทบจะหลุดออกมาเต้นอยู่บนพื้นให้ได้เลย

เหลืออีกแค่สองรอบเอง แต่ทำไมคันขาวยังรั้งท้ายอยู่นะ! บ้าเอ๊ย!

แต่ในไม่กี่นาทีสุดท้าย…

ปึง!! เอี๊ยดดดดด…

เสียงเบรกลากยาวดังลั่นสนาม

“เห่ย!! / เชี่ย!” คู่เดิมอุทานเสียงหลง ซึ่งมันพร้อมๆ กับฉันและอีกหลายคนในสนาม

“เวรแล้วไง” นี่เป็นเสียงของพี่พลอย ส่วนอีมิถึงกับตกหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ นั่นไม่ใช่เพราะฝั่งเราแพ้พนัน

เราชนะ…และควรจะดีใจที่ได้เงินสี่หมื่นมาฟรีๆ แต่การชนะครั้งนี้มันไม่โปร่งใส รถคันสีดำของอีกฝ่ายเกิดแอ๊กซิเด็นท์กลางคัน จากที่แล่นนำมาด้วยความเร็วก็ต้องชะลอลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้คู่แข่งแซงเข้าเส้นชัยได้ในนาทีสุดท้าย

ไม่ได้บอกว่าฉันเก่งขนาดที่จะมองเรื่องพวกนี้ออก แต่มันชัดเจนแบบที่เด็กประถมยังรู้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจเท่าไหร่กับการชนะแบบนี้

“แม่งเอ๊ย!!” เสียงสบถดังลั่นจากคนที่แพ้พนัน ก่อนเขาจะหันไปหาผู้ชายอีกสามสี่คนแถวๆ นั่น และตามมาด้วยบทสนทนาของพวกเขา “ไอ้พวกแม่ง เล่นไม่ซื่ออีกแล้ว เอาไงดีวะ”

อันนี้ไม่ได้เสียมารยาทแอบฟังนะ…เขาคุยกันเสียงดังเอง มาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าเขาคงรู้จักกับคนที่ขับรถสีดำนั่น เพราะแบบนี้ถึงได้มั่นใจสินะ!

“มึงคิดว่าคนอย่างกูจะปล่อยมันไปเป็นครั้งที่สอง?” จบคำกล่าว คนแพ้ก็ทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ โดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย

ฉันถือวิสาสะเอื้อมรั้งแขนหนุ่มปริศนาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “จะไปไหนอะ จ่ายเงินก่อนสิ”

“เธอเป็นพวกเดียวกับไอ้พวกเวรนั่นสินะ ถึงได้มั่นใจนักว่าจะชนะ”

“เดี๋ยวนะ แพ้แล้วอย่าพาลดิ” จะด้วยวิธีไหน แพ้…ก็ต้องจ่ายเปล่าวะ

“ไม่ได้พาล แต่พวกเธอโกง” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดแย้งเสียงแข็ง

“ฉันไม่รู้จักกับพวกนั้นนะ อย่ามาเนียน” ฉันเถียงด้วยโทนเสียงไม่ต่าง

“ถ้าไม่เกี่ยวก็รีบพากัน…ออกไป!” เขากดเสียงต่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตะคอกใส่หน้าในวลีสุดท้าย ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัว ทำฉันถึงกับสะดุ้งโหย่งเลย นั่นจึงเป็นตอนที่คนตัวโตสะบัดแขนออกจากการจับกุม แล้วหมุนตัวเดินกระแทกเท้าทิ้งระยะห่างไปเรื่อยๆ

ซึ่งฉันก็ไม่่ได้ยอมหรอกนะ แต่ติดที่ถูกห้ามไว้โดยสองสาวซะก่อน

“อะไรวะ พนันชนะแต่ไม่ได้เงินเฉยเลย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel