บท
ตั้งค่า

The Deal : ดิลลับฉบับคนแปลกหน้า Ⅱ

[บทบรรยาย : ทิชานันท์]

วันต่อมา…

@โรงแรมหรูกลางกรุง

หลังจากรู้สึกตัวตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวจนแทบระเบิด มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นบีบขมับซ้ำๆ ขณะเปลือกตายังคงปิดสนิท ก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นนั่งบนที่นอนสีขาวสะอาดซึ่งมีสภาพเกือบปกติ ทุกอย่างที่ปรากฏรอบตัวส่งผลให้คิ้วบางย่นเข้าหากันเล็กน้อย ฉับพลันในหัวก็เริ่มไล่ย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนตามลำดับ

จำได้นะ…ว่าผู้ชายคนนั้นเข้ามาในห้องนี้ด้วย แต่ทำไมร่างกายฉันยังอยู่ในองค์ประกอบเดิมเป๊ะ ไม่มีเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับหลุดออกไปสักชิ้น แม้แต่สิ่งที่สกปรกสุด อย่างรองเท้าก็ยังสวมเหมือนเดิม

เขาคงไม่แต่งตัวให้ฉันเรียบร้อยขนาดนี้หลังเสร็จกิจกรรมบนเตียง…มั่ง?

ต่อมากลุ่มผมดำสนิทยุ่งเหยิงกว่าเดิมหลายเท่าจากการขยี้อย่างบ้าคลั่ง

อยากจะบ้าตาย…อับอายขายขี้หน้าชะมัด ภาพตัดไปตอนไหนวะ!

แต่ลึกๆ ก็แอบโล่งใจนะ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

ลมหายใจถูกพ่นออกหนักๆ หลายครั้ง ก่อนจะเอื้อมคว้ากระเป๋าสะพายสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาสำรวจสิ่งของสำคัญพวกโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิต

การที่เขาไม่แตะต้องฉันเลยบางทีก็ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษเพียงอย่างเดียวหรอก พวกมิจฉาชีพก็คงไม่อยากเสียเวลากับเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน

ยังดีที่ไม่มีอะไรหาย แต่…

“เวรแล้วไง…” มือถือดันแบตหมด แล้วตอนนี้มันกี่โมงวะเนี่ย…บ้าฉิบ! ป่านนี้คงมีคนกำลังด่าแม่ฉันอยู่แน่ๆ

คิดได้แบบนั้นอาการอิดโรยก็หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันดีดตัวขึ้นจากที่นอนราวกับสปริง ตรงเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวและล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วรีบพาตัวเองลงไปเช็กเอาท์ด้านล่าง

พอมาถึงฉันก็เกิดอาการช็อกต่อเนื่อง เมื่อเห็นนาฬิกาดิจิตอลตั้งหราอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์รีเซฟชั่น

สิบเอ็ดโมงครึ่ง! ก้อนน้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคอจนเกิดเสียงดัง เอือก ความจริงเวลานี้ฉันควรไปโผล่ที่เชียงใหม่แล้ว ทว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ อยู่กลางเมืองหลวง ในสภาพที่แบบ…ก็พอดูได้ แต่ไม่ดูน่าจะดีกว่า

ตกเครื่องไม่ใช่เรื่องใหญ่…ประเด็นมันอยู่ที่ยังมีผู้ร่วมทางด้วยอีกสองชีวิตต่างหาก

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉันเร่งฝีเท้าออกไปด้านหน้าโรงแรม เพื่อโบกแท็กซี่กลับศูนย์วิจัยให้เร็วที่สุด

ระหว่างนั่งอยู่บนรถฉันก็ไม่ได้สุขใจนักหรอกนะ…

ด้วยความที่พื้นเพฉันไม่ใช่คนกรุงเทพ แถมในหัวตอนนี้ก็ไม่ปรากฏเส้นทางคุ้นชินเลยสักนิด ที่ตั้งของโรงแรมอยู่จุดไหนของเมืองหลวงฉันยังไม่รู้ นั่นแปลว่าต่อให้คุณลุงคนขับจะพาซอกแซกไปทางไหน ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ทักท้วงหรือไม่เห็นด้วย

สุดท้ายก็ทำได้แค่ลุ้นให้เจอแท็กซี่ที่ดี…

คิดแล้วก็โมโห ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงร้ายชายเลวคู่นั้น ป่านนี้ฉันคงได้กลับบ้านเกิดไปนอนตีพุงอย่างสบายใจภายใต้คฤหาสน์แห่งธารศิริกุลเรียบร้อยแล้ว

การถูกนอกใจไม่ใช่เรื่องตลก มันเป็นอะไรที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเรารับไม่ได้ ซึ่งเกราะป้องกันของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน และเลือกที่จะใช้วิธีในการแสดงออกไม่เหมือนกัน สำหรับฉันการร้องไห้ฟูมฟายไม่ใช่ทางเลือกที่ดี อีกอย่างน้ำตาไม่ได้มีไว้ให้คนชั่วๆ อย่างพวกมัน

ถามว่าเสียใจไหม…ก็มีบ้างแหละ ตามประสาคนคบกัน แต่พูดได้เลยว่าที่ออกไปเมาหัวราน้ำเป็นเพราะเจ็บใจที่ถูกหักหลังบวกกับเสียดายความรู้สึกที่ให้ไป และอีกหลายๆ สาเหตุ ซึ่งกับไอ้ผู้ชายก็ไม่เท่าไหร่นะ แต่ฝั่งผู้หญิงนี่สิตัวดี ทำฉันแทบกระอักเลือด ถึงจะไม่สนิทมาก ก็นับว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

และคนอย่าง ทิชานันท์ จะไม่ยอมให้เรื่องจบแค่การเลิกราแน่นอน ฉันสูญเสียไปเท่าไหร่ ฝ่ายตรงข้ามต้องเสียมากกว่าเป็นร้อยเท่า

คุณลุงโชเฟอร์พาฉันติดแหง็กอยู่บนท้องถนนเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว กว่าจะมาถึงจุดหมายและได้ก้าวลงจากรถ

ดูเหมือนจะต้องปัดเรื่องบัดซบของสองคนนั้นทิ้งไปก่อน เพราะสิ่งที่กำลังรอฉันอยู่…น่าจะหนักหนากว่านั้นหลายเท่า

ฉันจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้อยู่ในความเรียบร้อยสักหน่อย พลางสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเดินผ่านประตูเล็กตรงไปยังตึก RVS ซึ่งฉันเคยคาดหวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบในอนาคตของเด็กจบใหม่อย่างฉัน เพราะมันไม่ง่ายเลยนะ ที่จะสอบเข้าโครงการใหญ่ของต่างประเทศได้ แต่…ทุกอย่างก็พังลงแบบไม่ทันตั้งตัว

มันเกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้องล้วนๆ เลย สรุปง่ายๆ ก็คือย่อยยับ...

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจออกไปแฮงค์เอาท์เมื่อคืนด้วย มันประดังเข้ามาพร้อมกันจนฉันสับสนไปหมด

ในขณะที่ฉันเซ็งกับเรื่องไม่ได้เดินหน้าต่อ พ่อกับแม่เตรียมจัดงานฉลองรอแล้ว เพราะท่านไม่เคยเห็นด้วยตั้งแต่แรก เนื่องจากฉันเป็นลูกสาวเดียว แน่นอนว่าถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดโรงงานผลิตผลไม้อบแห้งที่ใหญ่สุดของภาคภายใต้แบรนด์ ธารธารา ซึ่งเป็นที่รู้จักทั้งในและนอกประเทศ ตั้งแต่ยังแบเบาะ

ดูเป็นอะไรที่น่าสนใจนะ…แต่ฉันไม่อิน ไม่ได้อยากเป็นผู้บริหาร ไม่ได้อยากคุมโรงงาน

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันเข้ามาอยู่ในโครงการวิจัย RVS พร้อมกับ มิเชล มิรินดา คู่หูสุดซี้ผู้รวมอุดมการณ์มาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย และฉันมักเรียกมันว่า อีมิ ต้องยอมรับก่อนเลยว่าโชคดีมากๆ ที่ได้มารู้จักมัน อารมณ์แบบเรามีทุกอย่างที่ใกล้เคียงกัน นิสัย ความชอบ หรือแม้กระทั่งความฝัน ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา มันคือเพื่อนที่ดีที่สุด…

และตอนนี้มันกำลังจะเขมือบหัวฉันด้วยความเกรี้ยวกราดที่สุดด้วย…

สายตาพิฆาตตวัดมองตั้งแต่ฉันยังเดินไม่ถึงหน้าตึกเลยด้วยซ้ำ เพื่อนรักเก็บมือถือเข้ากระเป๋าพร้อมกับวิ่งลงบันไดมาประชิดตัวแบบไม่รีรอ

“มึงจะไปไหนมาไหน ไม่คิดจะบอกกูบ้างรึไง! มึงรู้ไหมว่าเขาพากันตามหาให้วุ่น…@#$%^&*!!!!” ระหว่างที่ปากมันพ่นคำด่าออกมาสารพัด สายตาก็ยังไล่สำรวจตามร่างกายฉันด้วยความกังวลและเป็นห่วงคละเคล้ากัน

“กูขอโทษ” ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้สาวลูกครึ่งตรงหน้าได้ระบายความอัดอั้นจนพอใจ อีกอย่างฉันก็ผิดจริงนั่นแหละ

“มึงโอเคไหม” น้ำเสียงมันแผ่วลงเยอะมาก แต่ยังบีบไหล่ฉันแน่นไม่ปล่อย

“โอเคสิ กูก็อยู่ครบสามสิบสองนี่ไง”

“หัวใจมึงยังทำงานปกติใช่ไหม” อีมิเลื่อนมือข้างหนึ่งมาจิ้มๆ บริเวณอวัยวะที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งยังเต้นอยู่ภายในร่างกาย ฉันหลุบมองตามแวบหนึ่ง ก่อนจะช้อนขึ้นสบตาเพื่อนรักพร้อมกับความสงสัยเต็มไปหมด

สัญชาตญาณบอกว่า…ผู้หญิงตรงหน้ารับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันแล้ว

“มึงรู้ได้ไง…”

“บอร์ดศิษย์เก่า กูเห็นแอคหลุมลงคลิปเมื่อเช้า แต่ตอนนี้ปลิวไปแล้ว” คำตอบของอีมิแสดงให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน เพราะฉันได้รับคลิปมาจากเพื่อนเก่า ซึ่งตอนแรกก็คิดว่ามันหวังดี แต่ความจริงกลับสวนทาง

สิ่งที่น่ากลัวกว่าการถูกหักหลังก็คือการถูกซ้ำเติมนี่แหละ น้อยนักนะ…ที่ใครจะยินดีกับความสำเร็จของเรา ยิ่งไปกว่าพวกเขาอาจรอกระทืบให้จมตีนในวันที่เราล้ม

เพราะงั้นฉันจึงมีเพื่อนสนิทแค่คนเดียว...

และด้วยความที่ไอ้พี่ท็อป…แฟนเก่าฉันน่ะ มันท็อปสมชื่อ ดีกรีนักเรียนนอก แถมพ่อยังเป็นถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอีกต่างหาก ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้าหา

หล่อ…แต่เหี้ย! ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!

“กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเพื่อน กูสามารถมูฟออนได้ด้วยเมาเดียว” ฉันไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มมุมปาก

ฉันต้องไม่ใช่ผู้แพ้…อย่างที่ชายแปลกหน้าคนนั้นพูด

“ถามจริง?” เพื่อนรักหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ

“จริง กูยังไม่ได้หลงรักมันขนาดนั้นหรอก แค่แบบจี๊ดๆ”

“ก็ดี แล้วทำไมมึงไม่คิดจะชวนกู”

“ก็กูเห็นมึงยุ่งๆ ไหนจะเรื่องที่บ้าน เรื่องคุณหมอ แล้วก็เรื่องร่างกายมึงอีก” ความจริงสภาพจิตใจของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเท่าไหร่นักหรอก เรื่องที่มันต้องเจอตอนนี้ก็หนักหนาเอาการ เพียงแต่มันมีผู้ชายแสนดี อย่างคุณหมอไวน์ คอยอยู่เคียงข้าง ก็เลยไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

และฉันก็ไม่อยากเอาเรื่องของตัวเองไปถมเพิ่มให้มันอีก

“กูไม่เคยยุ่งสำหรับมึง” คำพูดของมันมีผลต่อความรู้สึกฉันมากก็จริง แต่นั่นมันยังเท่ากับมือที่ตบลงมาบนไหล่เบาๆ

“เชี่ย…กูว่าจะไม่ร้องแล้วนะ” ฉันว่าพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาไว้

“ไหนบอกไม่อ่อนแอไง” เจ้าของเสียงห้วนเคลื่อนท่อนแขนวางบนต้นคอฉัน ก่อนจะออกแรงเหนี่ยวรั้งให้เดินตามทางเข้าด้านในตึก

“แล้วเรื่องไฟลต์บินล่ะ” เพราะรอบที่เราจองไว้วันนี้ ถูกฉันทำล่มไปซะแล้ว

“เฮียไวน์จัดการให้แล้ว เป็นเช้าพรุ่งนี้แทน”

ฉันพยักหน้ารับ ก่อนขยับริมฝีปากถามต่อ “เขาด่ากูมะ”

“มีแต่กูค่ะ ที่ด่ามึงได้”

“มึงไม่โกรธกูเหรอ”

“ถ้าจะโกรธ กูก็คงโกรธเรื่องที่มึงหนีไปแดกเหล้าคนเดียวเนี่ยแหละ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel