The Deal : ดิลลับฉบับคนแปลกหน้า Ⅰ
[บทบรรยาย : เหนือเมฆ]
@บาร์ชื่อดังกลางเมืองหลวง
23:32 น.
“จะเครียดทำไมวะ ไม่อยากไปก็แค่หาเมีย”
“เหอะ!” ผมหลุดหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าไปมาด้วยอารมณ์แบบ…โคตรเซ็ง กับคำพูดสุดชิลของหนุ่มตี๋รุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนทิ้งแผ่นหลังพิงกำแพงหน้าห้องน้ำอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นปัดป่ายกลางอากาศซึ่งรายล้อมไปด้วยกลุ่มควันสีขาวกลิ่นองุ่นที่พวยพุ่งออกมาจากปากมันอย่างต่อเนื่องจนฉุนกึก
ไอ้พีท คือบุคคลที่ผมให้คำนิยามว่า มิจ มาเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี ไม่ใช่มิตรภาพนะ…มิจฉาชีพ! เพื่อนเหี้ยๆ ที่กำความลับด้วยการขู่กรรโชก ไม่ว่าจะเรื่องยิบ เรื่องย่อย เรื่องเล็กน้อยเท่าขี้ตีน อย่าให้มันรู้เชียว
เหลี่ยมทุกดอกเสือกบอกว่ารักกู!
แต่ถ้าถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงยังคบกันมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างอธิบายยากนะ เพราะความเป็นจริงคือทุกคนแม่งก็มีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้ได้ถูกเวลารึเปล่า และผมเองก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นมันเลยหักล้างกันได้หรือพูดง่ายๆ ก็...ศีลเสมอ
ผ่านไปไม่ถึงนาที หมอกควันรอบตัวก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนความอดทนของผมหมดลง สุดท้ายต้องพาร่างกายไปยืนพิงผนังฝั่งตรงข้ามแทน เข้าใจอารมณ์คนไม่สูบไอ้ของไร้ประโยชน์นี่ไหม? ถึงมันจะพัฒนามาเป็นระบบไฟฟ้าและแต่งกลิ่นให้ดีขึ้นแค่ไหน สำหรับผมก็ยังเหม็นฉิบหายอยู่ดี
แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้ เพราะไอ้ขวดสีเขียวมรกตที่ผมกำลังยกขึ้นกรอกลงคออยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่าง มันแค่ช่วยให้หลับสบายในคืนที่ต้องใช้สมองคิดหลายเรื่องพร้อมกันจนปวดหัว
อย่างเช่นคืนนี้…
ก็เรื่องที่ไอ้พีทมันช่วยออกความคิดเห็นไปก่อนหน้านั่นแหละ ผมเองก็ยังงงๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่รู้วิญญาณอากงเข้าสิงรึเปล่า เพราะอยู่ดีๆ เจ้าสัวมังกร พ่อบังเกิดเกล้าที่ผมเรียกว่า...ป๊า ก็ลุกขึ้นมาหมายหัวลูกชายตัวเองกลางลานประชุมวงศาคณาญาติและผู้ถือหุ้นมากมายภายใต้ เมฆากรุ๊ป
[แกต้องไปคุมโรงงานที่เชียงใหม่ ถ้าไม่!...ก็ต้องแต่งงาน เลือกเอา…เพราะถ้าแกยังจะดื้อด้านไม่เอาอะไรสักอย่างอยู่แบบนี้ ฉันสั่งปิดไอ้ศูนย์แต่งรถเส็งเคร็งนั่นแน่ แล้วก็เตรียมย้ายไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่ได้เลย!]
ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร แต่ประเด็นที่หดหู่กว่านั้นคืออะไรรู้ไหม...?
แน่นอนว่าข้อเสนอแรกเป็นความต้องการของป๊า ส่วนอีกตัวเลือกเป็นของแม่ผู้ให้กำเนิดที่คอยหนุนหลังทายาทเพียงคนเดียวอย่างผมมาตลอดหลายปี แต่เมื่อทั้งสองจับมือกัน ความฉิบหายก็เกิดกับผมน่ะสิ!
และด้วยเหตุผลนี้มันทำให้ผมไม่กล้าแข็งข้อ จากคุณชายกลายเป็นยาจกแบบชั่วข้ามคืนได้เลยนะ ทำเป็นเล่นไป!
เพราะ M-razr ที่ป๊าเรียกมันว่าไอ้ศูนย์แต่งรถเส็งเคร็งและจะสั่งปิดนั่นน่ะ เป็นบ่อเงินบ่อทองเดียวที่ผมล้มลุกคลุกคลานสร้างมันมากับมือ ถึงจะมีเงินของป๊าอยู่เกินครึ่งก็เหอะ แต่ผมบริหารจัดการเองทั้งหมดจนเกือบทำมันเจ๊งตั้งแต่สองเดือน สุดท้ายจะด้วยความพยายามหรือไม่อยากเสียหน้า มันก็ทำให้ M-razr สร้างกำไรมหาศาลมาถึงสามปีติด ดังนั้นถ้าจะให้ไปเริ่มต้นใหม่คงไม่ใช่ความคิดที่ดี…
อีกอย่างการถูกพรากของรักคงทำผมใจขาดตายก่อนอดตายแน่ๆ ผมจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด!
และไอ้พีทมันก็รู้ดีว่าผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ เมฆากรุ๊ป ด้วยเหตุผลหลายอย่าง หลักๆ ก็ไม่อยากรับผิดชอบอะไรที่มันเกินตัว เพราะนี่ไม่ใช่แค่ธุรกิจครอบครัว แต่มันเป็นของทั้งวงศ์ตระกูล ถ้าผมพลาดทำมันพังละก็...มีหวังโดนสาปแช่งไปอีกหลายชั่วโคตรแหงๆ เพราะงั้นมันเลยเสนอทางเลือกที่เหมือนจะง่ายกว่า
แต่…ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะคนอย่าง ‘เหนือเมฆ’ จะไม่ยอมให้ผู้หญิงมาอยู่เหนือกว่า แม้กระทั่งกิจกรรมบนเตียง ดังนั้นข้อสองถูกตัดออกไปตั้งแต่แวบแรกที่ผ่านเข้าหู สุดท้ายผมทำได้แค่เก็บข้าวของเตรียมย้ายไปประจำการอยู่บนดอยอย่างเลี่ยงไม่ได้...
“คืนนี้กูมีตัวเด็ดนะ” เสียงของไอ้พีทดึงให้ผมกลับมาอยู่ในโลกปัจจุบัน “รับไปแก้เครียดสักคนไหมครับเพื่อน”
“เด็ดแค่ไหน กูก็ต้องไปเชียงใหม่อยู่ดีปะ!?” จบคำกล่าวผมก็ยกแอลกอฮอล์ขวดเดิมขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วโยนขวดเปล่าให้ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดรับไว้ ก่อนสาวเท้าออกมาจากตรงนั้น
ปลายทางผมคือลานจอดด้านนอก แต่จังหวะที่กำลังจะเดินพ้นหน้าเคาน์เตอร์บาร์…
กึก!
ผมหยุดฝีเท้ากะทันหันด้วยความไม่สบอารมณ์ ตวัดตามองต้นตอของแรงฉุดรั้งอย่างเกรี้ยวกราด และพบว่าแขนแจ๊คเก็ตยีนช่วงเหนือข้อศอกขวาของตัวเองถูกมือเรียวของใครบางคนดึงไว้
ลมหายใจถูกพ้นยาวผ่านปลายจมูกหนักๆ หนึ่งที เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นนั่งทำตาปรือปรอยอยู่บนเก้าอี้บาร์ตัวสูงโดยหันหลังให้บาร์เทนเดอร์ที่กำลังผสมเครื่องดื่มอย่างเมามัน
เจอคนเสียมารยาทว่าน่าหงุดหงิดแล้วนะ...นี่เมาด้วย! เวรฉิบ...วันนี้มันห่าเหวอะไรวะเนี่ย!!
ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปาก เจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้งก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“คุณน่ะ!”
“...” ดวงตาผมหรี่ลงเล็กน้อย ขณะไล่สำรวจใบหน้าของอีกฝ่าย แต่แสงสว่างที่มีในตอนนี้ก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย
“อยากนอนกับฉันไม๊…คะ!?”
“หือ...?” เสียงครางหลุดออกมาด้วยความข้องใจ เพราะสภาพของคนถามคือแบบ...นั่งยังไม่ตรงเลย ถึงองค์ประกอบโดยรวมจะพอใช้ได้อยู่ แต่...ไม่น่าจะไหวนะ อีกอย่างผมถือคติไม่ขึ้นเตียงกับคนเมา ไม่อยากให้มันเข้าพล็อตเรื่องเดิมๆ ที่ตื่นมาแล้วโวยวาย ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย มันน่ารำคาญ เพราะงั้นผมเลยปฏิเสธสาวน้อยตรงหน้าด้วยการกระตุกแขนออกจากการเหนี่ยวรั้งและตั้งใจจะแยกย้าย แต่ดูเหมือนแรงที่ผมใช้จะทำให้คนกึ่งไร้สติเสียการทรงตัวไม่น้อย
อ๊ะ!
จังหวะนั้นปลายเท้าผมเบี่ยงทิศทางโดยอัตโนมัติ ก้าวไปยืนข้างๆ ในระยะประชิด พร้อมยกแขนขึ้นเป็นการ์ดกันร่างบอบบางเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
ฟุ่บ!
เพียงเสี้ยววินาทีคนตัวเล็กทิ้งน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดมาบนแผงอกกว้างของผมโดยสมบูรณ์ นั่นแปลว่าถ้าผมช้ากว่านี้อีกสักชั่วอึดใจเดียว ได้เห็นก้อนแป้งนุ่มนิ่มร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นแน่
ต่อมาผมเลื่อนมือจับไหล่เล็กทั้งสองข้างก่อนจะดันร่างอ่อนปวกเปียกให้ทรงตัวได้เหมือนเดิม ซึ่งมันแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับคนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นพอดี วูบหนึ่งเราสบตากัน และเป็นผมเองนี่แหละที่เคลื่อนมองส่วนอื่นก่อน ไม่ใช่เพราะหวั่นไหวหรืออะไรหรอกนะ แต่พอระยะห่างมันแคบลงก็มีอะไรให้น่ามองมากขึ้น
ว่าไม่ได้เรื่องของความคมเข้ม ต้องยอมรับก่อนเลยว่าก็สวย ผิวดี ถึงจะไม่ได้ขาวโอโม่ แต่ก็เนียนละเอียดน่าสัมผัส...สัมผัสเหรอ?
บ้าเอ๊ย! ผมรีบปล่อยมือออกจากต้นแขนเปลือยเปล่าทั้งสองข้างทันทีที่ดึงสติกลับมา เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่เป็นเกาะอก บริเวณที่ผมแตะต้องเลยเป็นผิวเนื้อโดยตรง ต้องบอกก่อนเลยว่าปกติผมไม่ใช่คนชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีสติ...ยิ่งไม่อยากยุ่ง
ซึ่งความจริงตอนนี้ผมก็ควรจะไปได้แล้ว แต่...
“เมาแล้วอยาก…งี้เหรอ” ผมถามออกไปโต้งๆ ขณะยื่นมือทั้งสองข้างไปยันไว้กับขอบเคาน์เตอร์บาร์ แล้วลดความสูงลงเล็กน้อย ให้เท่าเทียมกับสาวปริศนาที่อยู่ระหว่างกลาง
“ไม่ได้เมาซะหน่อย แล้วก็ไม่ได้อยากด้วยค่ะ” เปลือกตาสีอ่อนกะพริบขึ้นลงอย่างเชื่องช้าพลางขมวดคิ้วเข้าหากันจนยุ่งเหยิง ก่อนจะเอนหลังไปจนแนบชิดกับเคาน์เตอร์บาร์ คล้ายกับอยากรักษาระยะห่าง และจากการกระทำเหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังเหลือสติเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน
“…?”
“แค่อยากลองวันไนท์ อยากรู้ว่าจะรู้สึกยังไง” เธอว่า ตอนนี้มีความสงสัยเกิดขึ้นในหัวผมอย่างหนึ่ง ว่าไอ้การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้มันเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออยู่ในจิตใต้สำนึกกันแน่
“แล้วทำไมถึงเป็นฉัน” น่าแปลกนะ...ที่ผมขาดหวังคำตอบบางอย่างจากคนที่ไม่รู้จัก
“ก็…”
“หล่อ?” ผมแทรกขึ้นในช่วงจังหวะที่เธอเว้นช่วงหายใจพลางโน้มตัวลงมาในระดับเดียวกัน พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีชั้นเชิง เรื่องความเพอร์เฟคผมไม่เคยเป็นรองใคร แต่พออีกฝ่ายสั่นหน้าปฏิเสธรัวๆ แบบไม่แม้จะฉุกคิด เท่านั้นแหละ...ความมั่นใจผมหายวับไปกว่าครึ่ง
“ก็คุณเดินมาใกล้ ฉันเอื้อมถึงพอดี”
“...” ทุกอย่างภายในร่างกายตึงขึ้นทันควัน ถ้าจะพูดขนาดนี้เอาตีนมาเหยียบหน้าเลยก็ได้นะ! นี่มันยิ่งกว่าการบอกว่าผมไม่หล่อซะอีก...
อารมณ์แบบ ใครก็ได้ แต่มึงเดินพาพอดี ก็เลยเลือกมึง ถามจริง...มันได้เหรอวะ!?
“แต่ถ้าคุณไม่โสด ไม่เป็นไรนะ…ฉันไม่อยากยุ่งกับคนมีเจ้าของ”
“ทำไม โดนหักอกมาไง๊?” ตอนนี้เหมือนผมกลายเป็นผู้ร้ายที่จ้องหาหนทางเอาคืน
“เขาไม่ได้เรียกว่าหักอก...แต่มันเป็นการหักหลัง”
“ต่างกันตรงไหน สุดท้ายเธอก็มานั่งเสียใจจนน้ำตาตกในเหมือนเดิม” ผมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ...เพราะสุดท้ายแล้วผู้หญิงก็ยังอ่อนไหวกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อยู่วันยังค่ำ
“เหอะ! ก็ไม่ได้เสียใจขนาดนั้นนะ แค่เจ็บใจ! มากกว่า”
“คำแก้ตัวของคนอ่อนแอ แพ้แล้ว...แต่ไม่ยอมรับความจริง” คำถากถางของผมจบลงพร้อมกับร่างกายเซถอยไปหลายก้าว จากการที่คนฟังใช้มือผลักดันบริเวณช่วงใต้ไหปลาร้าทั้งสองข้างอย่างแรง
“แล้วคุณเป็นอะไรมากปะ...จะมาซ้ำเติมฉันเพื่อ!?” เจ้าของประโยคถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ก่อนจะหมุนเก้าอี้เข้าหาเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นก็คว้าแก้วซ็อตที่ตั้งเรียงรายตรงหน้าขึ้นกรอกปากต่อเนื่อง
เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมเกิดความลังเล ปลายนิ้วชี้ถูกเลื่อนขึ้นเกาข้างขมับหลายครั้ง ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี แต่ดูเหมือนคำพูดแทงใจดำของผมจะทำให้คนสภาพจิตใจอ่อนแอเร่งอัดของมึนเมาเข้าสู่ร่างกายไม่พักเลย และถ้ายังเป็นแบบนี้อีกสักไม่เกินชั่วโมง ร่วงแน่!
“พอแล้วมั่ง” ผมก้าวเข้าไปเอื้อมจับเรียวแขนเล็กข้างขวาไว้ก่อนแก้วที่สิบกว่าจะยกขึ้นถึงริมฝีปากบาง
“ไม่ต้องมายุ่ง!” ดวงตาคู่สวยตวัดมองแรงบวกน้ำเสียงแข็งกร้าว ทำเอาผมถึงกับผงะเล็กน้อย และมันทำให้ผมมีความคิดอยากจะปราบพยศแม่เสือน้อยนี่ผุดขึ้นมา
“ไม่อยากลองแล้วรึไง?”
“ไม่!”
“กลัว?” ผมจงใจโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ และดูเหมือนผมจะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
“มีอะไรให้ต้องกลัวเหรอ” ไม่ถอยหนี แถมยังเคลื่อนเข้าหา
“หึ! ตอนอยู่บนเตียง เก่งให้ได้แบบนี้นะ”
