บทที่7 ไง...ริสา ยังจำเราได้ใช่ปะ?
“โอเค ฉันเชื่อแล้วว่ายายริสามันไม่ได้รอใครจริง ๆ แต่มัน...ซื่อ” นุ่มนิ่มกลืนคำว่าโง่ลงคอ ก่อนยกมือขึ้นคลึงขมับเบา ๆ ท่าทีของศรุตที่มีต่อคาริสา ใครเห็นก็ดูออกว่าเขาไม่ได้คิดกับคาริสาแค่พี่น้องธรรมดา แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เสียอย่างนั้น
“เอาละ ๆ ไม่ใช่ฉันไม่เคยสงสัยแบบพวกแก” คาริสาเห็นว่าควรต้องอธิบายบ้างแล้ว
“แล้วไง ตอนนี้แกไม่สงสัยแล้ว?” นุ่มนิ่มเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวที่กำลังกระดกค็อกเทลเข้าปากย้อมใจ
“ก็ฉันหยั่งเชิงดูแล้ว”
“หยั่งเชิง?” นุ่มนิ่มเลิกคิ้ว
“แคก ๆ แบบว่า ฉันลองอ่อยพี่แกไปน่ะสิ” คาริสารู้สึกคอแห้งอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นอลิสก็ขึ้นเสียงสูงอย่างตื่นเต้น “เฮ้ย! ไม่เห็นแกเคยเล่า”
“นังอลิส...แกอย่าเพิ่งขัดริสามันดิ” พัดชาทำเสียงดุ ก่อนหันกลับมาเร่งเร้าให้คาริสาเปิดปากขยายความ “แล้วไงต่อยะ”
“แล้วไงต่อน่ะเหรอ หึ นอกจากจะไม่ฉวยโอกาสแล้ว พี่เขาก็ไม่พูดกับฉันเป็นอาทิตย์ กว่าจะมองหน้ากันติดก็เป็นเดือน” คาริสากระดกพิ้งค์เลดี้รวดเดียวหมดแก้ว เรื่องน่าอายแบบนี้มีแค่กีรติกานต์คนเดียวที่รู้ แต่ถ้าไม่เล่า ยายสามสาวนี่คงไม่ยอมเลิกยุยงให้เธอกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัวศรุตแน่ ๆ “เจอแบบนี้ ถ้าเป็นพวกแก ยังจะคิดเข้าข้างตัวเองต่อไปได้อีกหรือไง”
“สุภาพบุรุษเว่อร์อะ” อลิสดวงตาเป็นประกาย ทำท่าเหมือนกำลังปลื้มพระเอกเกาหลี
“จ้ะ...พ่อคนดี” นุ่มนิ่มส่ายหัวเบา ๆ ในที่สุดก็เข้าใจได้ว่า ทำไมคาริสาถึงได้ยืนกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอดว่าศรุตไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าตัว
“ขนาดนี้แล้วทำไมไม่รุกยะ โอ๊ย! น่าเสียดาย ไม่แน่ว่าพี่ศรุตเขาอาจจะรอแกปล้ำอยู่ก็ได้ พอแกไม่ปล้ำ เขาก็เลยงอนไม่พูดด้วยมากกว่า” พัดชาที่เพิ่งรู้เรื่องโวยวายเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง และดูเหมือนความคิดนี้จะถูกอกถูกใจอีกสองสาว จนต้องเปล่งเสียงสำทับออกมาพร้อมกันว่า “นั่นสิ”
“เดี๋ยว ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะทำแบบนั้นได้ยังไง” คาริสารู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาตุบ ๆ
“ก็คิดแบบนี้ไง ถึงได้ยังไม่ลงจากคาน ไม่ได้ดังใจเลย มานี่ เดี๋ยวพวกฉันจะสอนอะไรดี ๆ ให้...”
ระหว่างที่สามสาวกำลังจะสอนวิธีเผด็จศึกศรุตให้คาริสาใหม่ พนักงานต้อนรับก็พาชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาถึงโต๊ะแล้ว แต่พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาสักคน หนึ่งในหนุ่มหล่อเหลาปานเทพบุตรก็เดินหน้าเข้ามาข้างโต๊ะ พลางเอ่ยทักทายด้วยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง “ว่าไงสาว ๆ คุยอะไรกันอยู่ ให้เราคุยด้วยคนสิ”
“อะ...ตายแล้ว...ไม่จริงใช่ไหม มาได้ยังไงเนี่ย” พออลิสหันไปเห็นหน้าคนที่มาชัด ๆ ก็ตื่นเต้นจนลิ้นแทบพันกัน ถึงจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้น แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเจิดจรัสไปด้วยรัศมีของพระเอกเบอร์หนึ่งภายใต้ฟ้าเมืองไทย ไม่ใช่แค่หนุ่มน้อยหน้าตาดีที่สุดในชั้นปีอีกแล้ว
“ใครก็ได้ ช่วยดูให้หน่อยว่าฝนตกหรือเปล่า ร้อยวันพันปีพ่อดาราใหญ่ไม่เคยจะว่าง” นุ่มนิ่มทำเป็นมองออกไปทางหน้าต่างร้าน เธอเป็นสไตลิสต์ เจอดารานางแบบบ่อยครั้ง จึงไม่ตื่นตูมตอนเห็นหน้าอธิป
“ยอมรับว่ายุ่งมาก เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้มาเจอทุกคน” อธิปให้คำอธิบายที่เรียบง่าย แต่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแค่ข้ออ้างแบบส่ง ๆ
“ซุปตาร์ก็งี้ คิวแน่น เออ! จริงสิ...ถ้าให้พูดถึงดารา นี่ยายกะ...” พัดชาพูดยังไม่ทันจบ คาริสาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นสิ คนเป็นดารานี่ไม่ค่อยจะว่างเลยเนอะ แต่วันนี้เพื่อนมีโอกาสมาดื่มด้วยแล้ว แกก็อย่าบ่นนักเลย”
อธิปหันไปตามเสียง พอเห็นสาวสวยที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องถ่อสังขารมาถึงที่นี่ แทนที่จะได้ไปหาคนบางคน ก็รีบเปิดประเด็นอย่างไม่รีรอ “พอดีเป็นช่วงพักกองน่ะ เลยได้โอกาสพาคนบางคนมาเจอเธอพอดี”
“หา...มีคนอยากเจอเราเหรอ” นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตของคาริสาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่” อธิปเน้นน้ำเสียงอย่างหนักแน่น
“ใครอะ” คาริสาถามพลางพยายามยืดคอมองคนที่มากับอธิป แต่จากมุมนี้ ร่างสูงใหญ่ของพระเอกหนุ่มบดบังชายปริศนาที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเองเสียมิด แต่เหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดจะให้คนอื่นคาใจนาน จึงก้าวออกมาให้ทุกชีวิตที่นั่งอยู่ตรงนั้นเห็นเต็มตาว่าเขาคือใคร
ทันทีที่คาริสาเห็นใบหน้าคลับคล้ายคลับคลาที่แสนจะคุ้นเคยนั้น ภายในหัวสมองของเธอกลับมีแต่ความว่างเปล่าสีขาวโพลน แม้นักร้องนักดนตรียังทำหน้าที่ขับกล่อมคนภายในร้าน ทว่าสรรพเสียงเหล่านั้นกลับไม่สามารถแทรกผ่านประสาทหูของเธอเข้ามาได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ไง...ริสา ยังจำเราได้ใช่ปะ” แล้วชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างพวกเขา
“...” คาริสาเพียงกะพริบตาปริบ ๆ
“เรากฤษณ์ไง จำไม่ได้เหรอ หืม...” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มค้อมกายลง และเพื่อให้หญิงสาวมองเห็นตนเองอย่างถนัดชัดเจน เขาจึงเคลื่อนใบหน้าคมเข้มนั้นเข้าไปอย่างช้า ๆ จนแทบจะชนกับใบหน้าสวยหวาน ชั่วขณะนั้น เขาพบว่าภายในดวงตากลมโตคู่งามของคาริสากำลังสั่นระริก
เยี่ยม! เธอจำเขาได้
“ใช่...เรากลับมาแล้ว” ริมฝีปากบางหยักยกเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ สามารถทำให้หญิงสาวที่มองมาหลอมละลายได้ภายในเสี้ยววินาที
