
บทย่อ
ใครจะเชื่อว่าหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่าง “คาริสา” จะยังครองความเป็นโสดมาจนทุกวันนี้ บางคนบอกว่าเธอมาตรฐานสูงเกินไป บางคนบอกว่าเธออาจจะเคยเจ็บช้ำจากความรักจนเข็ดขยาด แต่เหล่าเพื่อนสนิทต่างคิดไปในทางเดียวกันว่าเธอกำลังรอ “คนไกลบางคน” เธอมั่นใจว่าไม่ได้ยึดติดกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับ “กฤษณ์” เพื่อนชายคนสนิทที่คิดไม่ซื่อ ทว่า... เด็กหนุ่มที่ปรากฏในความฝันบ่อยครั้ง กับสัญญาแต่งงานเด็กเล่นเมื่อสิบปีก่อนที่ยังอยู่ในกรอบรูปวันปัจฉิมนิเทศน์ที่ผนัง กลับคอยย้ำเตือนให้เธอไม่อาจลืมเขาได้สักวัน จนกระทั่ง...เขามายืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมสัญญาคู่ฉบับ นี่เขาไม่ได้กำลังล้อเธอเล่นใช่ไหม? Cut.... “กฤษณ์ ไม่เอา...” ร่างบางสะดุ้งไหวไปกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน ริมฝีปากอวบอิ่มส่งเสียงประท้วง “ยังหรอก ยังไม่เอาตอนนี้” คำพูดกำกวมของเขาไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวหวาดหวั่นน้อยลงเลย “งั้น... ยะ... หยุดก่อนเถอะ... นะคะ” เสียงหวานอ้อนวอนอย่างกระท่อนกระแท่น โดยไม่รู้ว่ายามที่ผู้หญิงส่งเสียงหอบหายใจ มันยิ่งไปกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของผู้ชายให้ตื่น “กฤษณ์หมายถึงต้องทำให้ริสาพร้อมกว่านี้อีกนิด แล้วค่อย... ทำ” “มะ... ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย” เธอตกใจกับคำตอบของเขา ทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำอยู่แล้วยิ่งเพิ่มจังหวะจนใบหน้าแดงปลั่งราวกับคนเป็นไข้ “งั้นเหรอ กฤษณ์นึกว่าริสาคิดเหมือนกันสะอีก” เขาจงใจตีรวน ในขณะที่เริ่มใช้ฝ่ามือสอดเข้าไปสำรวจหน้าท้องแบนราบใต้เนื้อผ้า “กฤษณ์อย่าแกล้งริสาสิคะ” คาริสาเอ่ยเสียงสั่น เพราะนอกจากฝ่ามือที่กำลังรุกล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ยังถูกพ่อตัวร้ายขบติ่งหู ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามืออุ่นจัด หรือกระไอร้อนจากลมหายใจของเขาที่ไล่ลามผิวอ่อนบาง ก็สร้างความวาบหวามจนทั้งกายอ่อนระทวยได้ทั้งนั้น เพียงแต่คนอ่อนประสบการณ์ยังขลาดกลัวเส้นทางที่เธอไม่เคยก้าวข้ามไป จึงไม่วายคิดหาทางยับยั้งเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวนี้ “เราค่อย ๆ ศึกษากันไปอีกสักพักดีไหม แล้วค่อย... ไปอีกขั้น” “เรื่องนิสัยใจคอ แน่นอนว่าเราต้องค่อย ๆ ศึกษากันไปอยู่แล้ว แต่เรื่อง... นี้ก็สำคัญ ถ้าไม่ยอมให้ ‘แสดงฝีมือ’ ริสาจะรู้ได้ยังไงว่ากฤษณ์ยอดเยี่ยมขนาดไหน” “…” เหตุผลที่แทบไม่ต่างจากโฆษณาชวนเชื่อเล่นเอาคาริสาพูดไม่ออก ไม่คิดว่าคนที่ทำวางเฉยไม่ยอมแตะต้องเธออีกหลังจากจูบเมื่อคืน วันนี้กลับยกคำพูดที่ไม่น่าจะเป็นเหตุผลขึ้นมาหว่านล้อมให้เธออนุญาตให้เขาวาดลีลาแบบนี้
บทที่1 บทนำ
“...ฉันชอบเธอ”
“อะไรนะ”
“ริสา ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน”
“กฤษณ์ แน่ใจนะว่านายไม่ได้เป็นไข้” คาริสาหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับยื่นมือออกไป ทำท่าจะแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มเพื่อวัดไข้
“ไม่เอาน่า ฉันกำลังจริงจังนะ” กฤษณ์เบี่ยงศีรษะหลบหลังมือของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมดูเคร่งเครียด ไม่มีแววล้อเล่นสักนิด ท่าทางแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่นึกว่าเพื่อนแกล้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ผ่านไปเกือบสองนาที คาริสาถึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน “แต่เราเพิ่งจบ ม.ปลาย เองนะ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ให้มาคิดเรื่องมีแฟนตอนนี้... ฉันว่าเร็วไปสิบปี”
“ได้... สิบปี”
“...” คาริสารู้สึกเหมือนตนเองตามอะไรไม่ค่อยทัน
“ถ้าสิบปีฉันยังไม่เปลี่ยนใจ แล้วเธอยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกัน” พอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามแปะเอาไว้กลางหน้าผาก กฤษณ์จึงขยายความให้ด้วยเสียงดังฟังชัด
แต่นั่นกลับทำให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีก
คาริสาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า หรืออ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปกันแน่ แต่นัยน์ตาสีนิลคมเข้มที่ฉายแววจริงจังกลับทำให้เธอไม่กล้าหัวเราะ
“ได้... ถ้าถึงวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วฉันยังไม่มีใคร ก็จะรับนายไว้เป็นเจ้าบ่าว” คาริสายิ้มตอบ แต่ในใจไม่เชื่อสักนิดว่าอีกฝ่ายจะรอตนเองได้นานถึงสิบปี ดีไม่ดีไปเจอน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัยก็ลืมเธอแล้ว
“งั้นรอตรงนี้เดี๋ยว ห้ามไปไหนนะ” ว่าแล้วร่างสูงก็แล่นไปยังอาคารเรียนด้วยความเร็วราวสัญญาณอินเทอร์เน็ตระดับ 4G
ผ่านไปสิบนาที เด็กหนุ่มที่หายตัวไปก็วิ่งกลับมา พอมาถึงก็ดึงสาวน้อยที่ยืนรอเขาจนขาแข็งไปยังม้าหินที่อยู่ไม่ไกล หลังจากปล่อยมือ ก็คลี่กระดาษขนาดเอสี่จำนวนสองใบลงบนโต๊ะ แล้วล้วงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อวางไว้เคียงกัน
“อะไรของนาย” คาริสามองกระดาษสลับกับใบหน้าที่กำลังยิ้มร้ายของกฤษณ์อย่างงุนงง
“สัญญาแต่งงานไงล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สะ... สัญญาอะไรนะ” ดวงตาของคาริสาเบิกกว้างเป็นหนที่สองของวัน คิดไม่ถึงว่ากฤษณ์จะมาไม้นี้
“สัญญาแต่งงานไงล่ะ พูดปากเปล่าจะไปมีน้ำหนักอะไร เดี๋ยวเธอบอกว่าจำไม่ได้ ฉันก็แย่น่ะสิ”
“เอางี้จริงดิ”
“เออ... เอางี้แหละ”
สาวน้อยตวัดหางตาใส่เด็กหนุ่มอย่างรำคาญทีหนึ่ง ก่อนคว้าปากกาลูกลื่นมาเซ็นชื่อตนเองลงไปในกระดาษอย่างขอไปที จากนั้นก็มองอีกฝ่ายเซ็นชื่อจนเสร็จ
“สัญญาฉบับนี้มีสองใบ ต่างคนต่างเก็บไว้ หลังจากครบกำหนดสัญญา หากอีกหนึ่งปีให้หลังไม่มีใครทวงถาม สัญญาฉบับนี้ถือว่าสิ้นสุด” เด็กหนุ่มร่ายข้อตกลงราวกับนักกฎหมายที่เธอเคยดูในซีรีส์สืบสวนสอบสวน
“จ้า... ตามนั้น ดิฉันจะรอคุณชายกฤษณ์ มาทวงสัญญานะเจ้าคะ” คาริสาจีบปากจีบคอ ทำเสียงสูงเลียนแบบตัวละครในซีรีส์ย้อนยุคที่ดูเมื่อคืน
“ถึงเวลาฉันมาจริง ๆ เธออย่าคิดเบี้ยวก็แล้วกัน”
ดิ๊งดะดิ๊ง ดะดิ๊ง...
พรึบ!
เสียงนาฬิกาปลุกดึงคาริสาออกจากความฝัน เธอเอื้อมมือไปคว้าสมาร์ตโฟนพลางใช้ปลายนิ้วกดลงบนคำว่า “ปิด” เพื่อหยุดเสียงเพลงที่ดังแสบแก้วหูนั่นทันที ในที่สุดห้องก็กลับคืนสู่ความสงบ
พอความง่วงงุนทุเลาเบาบาง คาริสาก็หวนคิดถึงความฝันที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
หลังจากวันนั้น เธอเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ส่วนกฤษณ์ต้องย้ายตามบิดาซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไปยังประเทศอังกฤษ จึงไม่ได้เข้าศึกษาที่เดียวกันตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
เพียงเท่านี้กระดาษแผ่นนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
คาริสาครุ่นคิดพลางมองไปยังกรอบรูปบานใหญ่ที่เธอตกแต่งไว้อย่างน่ารัก ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยความทรงจำในวันวาน เสื้อนักเรียนสีขาวที่ถูกขีดเขียนคำอวยพรและคำอำลาในวันปัจฉิมนิเทศ รูปถ่ายของนักเรียนชั้น ม.6/4 ดอกไม้ที่เธอได้รับในวันนั้น รวมไปถึงกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งที่ลงลายมือชื่อของเธอกับเด็กหนุ่มในความฝัน
คาริสาหัวเราะพลางส่ายศีรษะน้อย ๆ ในขณะที่มองกระดาษซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อสิบปีก่อนแผ่นนั้น
สัญญานี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่อระยะทางห่างไกลไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรค
แม้ใครต่อใครจะกล่าวว่าโลกทั้งใบถูกย่อลงด้วยพลังของสิ่งที่เรียกว่าโซเชียลมีเดีย
ต่อให้พวกเขาสามารถพบหน้ากันได้ผ่านวิดีโอคอล รับรู้เรื่องราวความเป็นไปของอีกฝ่ายผ่านไทม์ไลน์ของแอปพลิเคชันดังที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร F ก็ตาม แต่ในโลกของความเป็นจริง ทั้งสองต่างมีสังคมของตัวเอง ดังนั้นนอกจากกดไลก์และคอมเมนต์ใต้รูปถ่าย หรือสเตตัสทั้งหลาย พวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่น ๆ เหมือนสมัยเป็นเพื่อนร่วมชั้น
“ตอนนี้นายก็คงคิดว่ามันตลกเหมือนกันใช่ไหม” คาริสามองหน้าเด็กหนุ่มในรูปถ่ายแล้วพึมพำเบา ๆ
นี่ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว คนก็อยู่ไกล ต่อให้ตอนนี้เธอและเขาต่างยังไม่มีคนรู้ใจ แต่สัญญาเด็กเล่นแบบนั้น ใครจะคิดเป็นจริงเป็นจังกันเล่า
คาริสาคิดว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมานั้นน้อยมาก เธอเองก็ไม่ควรไปคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว จึงสะบัดศีรษะเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็มีอีกความคิดแวบเข้ามา
แล้วถ้าพ่อคุณดันบ้าดีเดือดกลับมาทวงสัญญาเข้าจริง ๆ เธอจะทำยังไง
เซย์เยส? หรือเซย์โน?
บ้าน่าริสา นี่เธอชักจะฟุ้งซ่านมากไปแล้ว
คาริสายกมือขึ้นเขกศีรษะตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แล้วลงความเห็นว่าตัวเองคงดูซีรีส์เกาหลีมากเกินไปจนเก็บเอาไปฝัน...
