9
นันทิยาก้าวไปยังโต๊ะที่คนสามคนใช้ประชุมกันอยู่เมื่อครู่ ด้วยทีท่าไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่จับไหล่เธอเชิงควบคุมอยู่ในตอนนี้
"พยาบาลคนพิเศษนี่ จะช่วยอะไรได้อย่างนั้นรึ?" แม้จะตะขิดตะขวงใจในสิ่งที่ถูกเรียกจากหยางเฟ่ย แต่เธอไม่ได้มีเวลาสนใจทุกอย่างขนาดนั้น
"พี่สาว บอกทีสิว่าตำรับปรุงยานี้มีอะไรที่ต้องเพิ่มเติมหรือไม่" เขาชักชวนให้เธอดูกระดาษเยื่อไผ่ที่เหมือนจะเคยเห็นด้วยความประหลาดใจ
"อย่าแตะต้องตำราของข้า!" เธอกำมือที่จะเอื้อมออกไปอัตโนมัติหันไปมองหน้าชิลล์เล็ตทันที
ส่วนฝ่ายที่ถูกมองนั้น ก็มองไปที่เภสัชกรหนุ่มทันที
"พยาบาลนี้ดเป็นหลานของหมอยาจีนที่ได้ร่วมพันธมิตรกับสหรัฐคนแรกเมื่อเกือบร้อยปีก่อน" คำตอบของเจ็ตต์ทำเอาดวงตาของหยางเฟ่ยเปล่งประกายขึ้น
"เจ้าเป็นหลานท่านเหลนฝ่ายอย่างนั้นเหรอ?" ความดีใจฉายชัดจนนันทิยาโล่งใจ พร้อมพยักหน้า
"เหลนน่ะ ท่านเป็นทวดของฉัน"
"แต่เท่าที่รู้ ไม่มีผู้ใดสืบทอดตำรายาจากท่าน..." ความแคลงใจเข้ามาสิงหยางเฟ่ยง่ายดาย จนเธอต้องรีบส่ายหน้า
"ใช่ แต่ฉันเคยอ่านตำรานี้อย่างถ่องแท้ จากคุณตา ที่ท่านตั้งใจสอน เพียงแต่แม่ไม่อยากให้ฉันต้องสืบทอด"
"เพราะอะไรแม่พี่สาวถึงทำแบบนั้น" ชิลล์เล็ตสงสัยประเด็นที่คนอื่นแทบไม่ได้สนใจ
แต่สุดท้ายทุกคนก็จ้องเธอ เหมือนต้องการคำตอบไม่แพ้
"แม่กลัวว่ามันจะทำให้ฉันเป็นอันตรายในอนาคต"
"เข้าใจได้ แต่ว่าตอนที่ตาสอนก็พอจะเข้าใจมากโขอยู่ใช่มั้ย?" เขาพูดติดเล่น แต่เหมือนรู้อยู่แล้ว ว่าเธอสามารถหรือไม่
"ตำรับยาจะไม่มีวันทำร้ายใคร!" คนที่ดูเหมือนจะไม่พอใจในสิ่งที่เธอเล่าที่สุด ก็คือคนยึดติดสุดขั้วอย่างหยางเฟ่ย
"ผมเข้าใจในสิ่งที่พี่สาวพูดขึ้นมาในทันที หยางเฟ่ยกำลังเป็นแบบนั้น มีตำรับยาแล้วทำตัวโคตรอันตราย" เจ็ตต์รีบส่ายหน้าเชิงปรามหยางเฟ่ย ที่ต้องพยายามข่มตัวเองให้มากกว่านี้
"แต่ความรู้ที่ดิฉันพอมี ก็ไม่ได้เทียบเท่าประสบการณ์ของคุณหยางเฟ่ยหรอกค่ะ" นันทิยาผู้ตั้งใจจะช่วยอย่างไม่มีข้อสงสัย บอกกับคนที่น่าจะเป็นกลางที่สุดความสัจจริง
"งั้นคุณลองดูตำรับยานี่ให้หน่อยสิครับ" เขาเป็นคนถือตำรับนั้นไว้ให้เธอดูเอง เพื่อไม่ให้หยางเฟ่ยมีปัญหา
"สูตรนี้คุณมาก...จริงๆ แล้วมันต้องมีสมุนไพรอื่นผสมด้วย" หยางเฟ่ยได้ยินดังนั้นก็ทำตาโตเหมือนนึกอะไรได้
"แต่เท่าที่ทำอยู่ตอนนี้ ก็มีสมุนไพรอื่นปนอยู่แล้วนะ" ชิลล์เล็ตแย้งขึ้นเชิงให้ข้อมูล แต่หยางเฟ่ยกลับส่ายหน้า
"สมุนไพรอื่นที่ปนเป็นเพียงแค่พื้นฐาน ไม่ใช่ส่วนผสมหลักที่จะต้องใช้ควบคู่กัน"
"ถ้ารู้แบบนั้น แล้วทำไมไม่หามาใส่ตั้งแต่แรกละครับ" หยางเฟ่ยทำสีหน้าครุ่นคิดหนัก มองเจ็ตต์เชิงปรึกษา
"เพราะสมุนไพรนั้นค่อนข้างหายากในจีน ตำรับส่วนนั้นก็เลยไม่ค่อยได้ใช้อย่างแพร่หลาย และเลือนรางไปตามกาลเวลา" นันทิยาพยักหน้า เธอเองก็ทราบมาอย่างนี้เหมือนกัน
"ใช่แล้วค่ะ เห็นคุณตาเรียกมันว่าตำรับบอด ไม่ค่อยนิยมเพราะหายากแต่คุณภาพล้นเปี่ยมแน่ๆ"
"หมายความว่าถ้าเราไม่มีสมุนไพรนั้นมาใส่ ยาก็จะไม่มีวันสมบูรณ์งั้นเหรอ?" เธอพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
"ในส่วนของต้านไวรัส แค่สูตรของคุณหยางเฟ่ยถือว่าพอจะใช้ได้ แต่จะไม่ช่วยในเรื่องของการทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรง"
"ตื่นตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ด้วย" แววตาใสขุ่นฉับพลัน เมื่ออยู่ๆ เขาก็ล้อเธอกลับทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจริงจังอยู่
"จริงของแม่หนูนี่ งั้นยาล็อตนี้เอาไปแจกจ่ายให้กับคนที่ติดเชื้อบนพื้นโลกจะดีกว่า"
"ผมไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้"
"แกจะไม่รักษาสัญญาอย่างนั้นเหรอพ่อหนุ่ม!"
"ใจเย็นก่อนครับอาจารย์..." เภสัชกรหนุ่มรีบขวาง ดูว่าในสถานการณ์ตอนนี้คนที่นันทิยาพอจะคุยด้วยได้ก็คือเขา
"เอาอย่างนี้มั้ยคะ เราลองนำเสนอเรื่องผลผลิตจากการปรุงยา และการทดลองในห้องแล็บ ให้เป็นขั้นตอนพร้อมสรรพคุณเสริมท้าย เสร็จสรรพ ให้กับท่านผู้นำไปก่อน ให้เขาพิจารณาว่าจะเอายังไง พอเรารู้ความคิดเขาแล้ว เราค่อยเสนอสิ่งที่เราต้องการในภายหลัง" ชิลล์เล็ตพยักหน้าอย่างเห็นตาม รวมไปถึงเจ็ตต์ด้วย ยกเว้น...
"แล้วถ้าเขาไม่ยอมแบ่งให้กับคนพื้นโลกที่ติดเชื้อล่ะ"
"นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องทดลองนำเสนอก่อนค่ะ ไม่มีใครจะล่วงรู้ว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบใด" หยางเฟ่ยยิ่งส่ายหน้าหนัก
"ถ้าเราปล่อยให้เขาทราบจำนวนยาที่ผลิตได้ เราจะขโมยในภายหลังยากขึ้น" เด็กหนุ่มแนะ จนเธอต้องหยุดคิด
"พอจะทำยังไงได้บ้าง ที่จะให้ฉันได้มาอยู่ในทีมปรุงยา" เขาพยักหน้าส่งประกายความภาคภูมิใจออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
"สมแล้วที่ชื่อว่านี้ด...พี่จำเป็นกับเรือลำนี้เสียจริง" เธอส่ายหัวให้กับสิ่งเขาพูดเหมือนไม่น่าใส่ใจ
"ถ้าฉันได้อยู่ในทีม ฉันจะสามารถโน้มน้าวเขาด้วยเหตุผลต่างๆ ได้ เพราะฉันก็ไม่อยากให้เขาต้องโกงยาจากมนุษย์ที่ต้องการมันเหมือนกัน" ทุกคนมองหน้ากันอย่างเห็นด้วย หน้าที่ที่จะคุยเรื่องนี้ตกเป็นของเจ็ตต์ที่เป็นเหมือนหัวหน้าทีมนี้โดยตรง
ความหวังของหยางเฟ่ย ฉายชัดขึ้น อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องอยู่บนเรือด้วยความรู้สึกต่อต้านและไม่มีความสุขอีกแล้ว
"คิดดีแล้วเหรอที่ตัดสินใจแบบนี้" คำถามนั้น เอ่ยขึ้นท่ามกลางการช่วยเย็บแผล ของคนในเรือที่ออกไปดำน้ำแล้วเกิดแผลฉีกขาด ซึ่งไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากอะไร รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นบกมาแล้ว
พออยู่ไปสักพักนันทิยาก็เริ่มได้ศึกษาวัฒนธรรมของการใช้ชีวิตอยู่บนเรือดำน้ำนี้มากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมดเลยก็ตาม
"นั่นสิ คิดดีแล้วเหรอที่ตัดสินใจแบบนี้" เธอง่วนกับการตัดไหมปมสุดท้ายให้เขาหลังเย็บเสร็จ พูดแบบไม่แม้แต่จะมองหน้า
"การอยู่ที่นี่แบบไม่ถลำลึกจะปลอดภัยที่สุด" นันทิยารีบส่ายหน้า "ฉันไม่คาดหวังความปลอดภัยจากใครตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว"
"ถอนตัวจากการเป็นหนึ่งในทีมปรุงยาซะ เพราะนี่คือสิ่งที่แม่ของนี้ดพยายามมาตลอด" ดวงตาใสชะงักเพียงครู่ เขายังจำเรื่องราวของครอบครัวเธอได้เป็นอย่างดี อย่างนั้นน่ะหรือ?
"หมอเป็นคนบอกนี้ดเองนี่ ว่าจะคิดจะทำอะไรก็ตามใจ มั่นคงในคำพูดของตัวเองหน่อย"
"แค่คิดนั้นตามใจแน่ แต่ถ้าจะทำอะไร...แนะนำให้คิดอีกที" ความมั่นคงแบบเรียบเฉย ฉายความรู้สึกเด็ดเดี่ยว ห่วงใยจนเธอต้องค่อยๆ เมินหนี
ผู้ชายแสนดีที่เพียบพร้อมไปด้วยรูป ทรัพย์ และนิสัยดีเลิศของเขานั้นช่างฝังลึกในความทรงจำจนไม่อยากจะแตะต้อง แม้เธอจะมองเขาเหมือนเดิมไม่ได้เลยนับตั้งแต่วันนั้น...
แต่เงาของเขาในวันนั้นก็ยังคงวนเวียนมาให้ได้คิดถึง!
"ไม่เอาแล้วค่ะ นี้ดเบื่อความครุ่นคิดแล้ว อะไรที่พอจะทำได้นี้ดก็อยากจะทำเลย โดยที่ยินดีที่จะเผชิญกับผลของมันในทุกมิติ" เขาถอดถุงมือออก หลังจากที่ได้ยืนมองเธอทำแผลต่อจนแล้วเสร็จ
เขารู้ว่าเธอนั้นหัวดื้อ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่รู้จักกันมา เธอไม่เคยยอมแพ้เรื่องอะไร ได้ทุกอย่างมาจากความตั้งใจและสัตย์จริง
และเมื่อปีที่แล้วที่เกิดเรื่องเลวร้ายกับเธอนั้น ก็มาจากความสัตย์จริงเกินไปด้วย
ความเสียใจที่ไม่อาจจะปกป้องและดูแลเธอให้ดีที่สุด ทำให้เขาต้องตีตัวห่างออกมา ทิ้งไว้เพียงคำถามที่เธอพยายามจะหาคำตอบจากเขามาตลอด และเขาก็หลีกเลี่ยงมันตลอดเช่นกันด้วย
"นี้ดก็รู้ว่าถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น หมอจะไม่สามารถปกป้องนี้ดได้เหมือน..." เขาเกือบหลุดปากออกไป จนเธอสะท้อนความรู้สึกผ่านแววตาชัด เธอเองก็พอจะทราบเรื่องที่เขาเสียใจที่ปกป้องเธอจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้
แต่สำหรับเธอแล้ว เหตุผลมันไม่เพียงพอต่อการหายไปจากชีวิตกันและกัน
"ตลอดชีวิตของนี้ด ไม่เคยต้องการคนปกป้องได้ทุกสถานการณ์หรอกนะคะ นี้ดต้องการที่อยู่ข้างๆ ในทุกสถานการณ์ต่างหาก" คนไข้ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรลุกออกจากห้องไปหลังจากเย็บแผลเสร็จ โดยมีลาเบลคอยช่วยจ่ายยาอยู่ด้านหน้า
"หมอขอโทษ" แล้วเขาก็ยอมเอ่ยสิ่งที่ไม่เคยมีทีท่าว่าจะเอ่ยมาก่อน จนเธอเบิกตากว้าง...
"ถ้าหมอคิดว่าหมอจะเอาคำพูดนี้ มาพูดเพื่อหยุดนี้ด...หมอเอาคำขอโทษของหมอคืนไปเถอะค่ะ เพราะไม่มีอะไรมาหยุดนี้ดได้แน่" ครั้งนี้เป็นเธอเองที่เลือกจะเดินจากเขาไป ปล่อยให้คนที่พยายามจะปกป้องเธออยู่ห่างๆ มาตลอด อึดอัดใจจนไม่อาจจะพูดอะไรต่อออกไปได้
ใครว่าเขาไม่อยากจะอยู่ข้างๆ เธอกันล่ะ
แต่ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้เลยก็ได้...
พั๊วะ! ใบหน้าขาวใสถูกปะทะด้วยหมัดแน่นๆ
เขาพลาดเอง ซ้อมน้อยจนต้องกลายเป็นเป้าให้กับคนที่เขาไม่เคยจะเอาชนะได้มาตลอด ชิลล์เล็ตปาดเลือดมุมปากออกอย่างไม่สะทกสะท้าน เหงื่อที่ไหลตามแผงอกกว้าง สะท้อนความแดงปลั่งของคนผิวขาวจัดให้ชวนมอง
หากแต่ไม่มีใครได้มีโอกาสมามองในตอนนี้ เพระาห้องซ้อมส่วนตัวนี้มีเพียงเขาและพี่ชายเท่านั้นที่มีสิทธิเข้ามาได้
"มีสมาธิหน่อย" เตือนเหมือนไม่ได้เตือน ก่อนจะซัดหมัดเข้าที่กลางสันดั้งจนฝ่ายนั้นล้มลง
"หายโกรธหรือยังล่ะ" คนปาดเลือดออกจากปลายจมูกถามด้วยความรู้สึกเมินเฉย ไม่ให้ค่า ไม่สนใจจนคนที่แทบจะหมดความอดทนกับน้องชายคนนี้ ต้องผินหน้าไปทางอื่น
เขาไม่อยากจะทำร้ายร่างกายมันให้เจ็บปางตายสมกับสิ่งที่มันพยายามทำอยู่!
"อย่ายุ่งกับนี้ด"
"เหรอ" สวนขึ้นทันควันพร้อมยิ้มพรายเชิงเจ้าเล่ห์ "เป็นผมหรือเปล่าที่มีสิทธิพูดคำนั้น" คนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างชิลล์เล็ตเดินมาเผชิญหน้าพี่ชายแท้ๆ ด้วยความรู้สึกกล้าเกินตัว
เขาสูงเทียมเท่าชาร์ล หากแต่รูปร่างบางกว่า ดูเปราะกว่า...ต่างจากเขาที่กลัดแกร่งไปทั้งร่าง
เม็ดเหงื่อผุดผายดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อได้มาอยู่บนร่างเขา
"ก็เอาสิ ถ้าแกอยากจะท้าทายฉัน"
"พี่ก็ดีแต่รังแกเด็ก ยึดความเป็นพี่เข้าอ้าง ยึดความเป็นหลานของทวดเข้ายึดอำนาจ ผมไม่ท้าทายคนอย่างพี่ให้เสียเวลาหรอก"
"ทัศนคติของเด็กไม่รู้จักโต มันก็มีแค่นี้" ความเดือดดาลเริ่มผุดขึ้นในแววตาสีฟ้าอมเทา
"ผมรับคำท้า นับจากวันนี้ไปอะไรที่ตรงข้ามกับพี่ผมเอาหมด"
"แล้วพอแพ้ แกก็จะร้องไห้ไปฟ้องคุณปู่เหมือนทั้งชีวิตที่แกเป็น" สันกรามของเด็กหนุ่มขบแน่น ความโกรธเหมือนเด็กๆ ที่เขารู้ว่าเขาทำกับพี่ชายคนนี้ได้ ทำให้เขาพุ่งทะยานเข้าใส่ จนชาร์ลต้องล้มเขาพร้อมจับฟาดลงไปกับพื้น ตามด้วยหมัดที่ทำให้มีรอยแตกที่มุมขวาของศีรษะ
"หึ ขอบคุณที่ทำให้ผมหาเรื่องไปฟ้องปู่ได้" ยิ้มทั้งๆ ที่เลือดไหลอาบลงไปตามขมับได้รูป
ดวงตาสีฟ้าอมเทาจ้องเขาเขม็งก่อนโบกมือให้สัญญาณเบลลี พาเขาไปห้องพยาบาล ก่อนก้มมองรอบแตกบนมือของตัวเองเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ระหว่างสองพี่น้อง ความไม่ลงรอยนี้มีมาแต่ไหน ศิลปะการต่อสู้ที่ต้องฝึกเป็นมาตลอด และผู้เป็นน้องชาย จะต้องได้รับบาดแผลกลับไปเสมอ
