8
หลังจากวันนั้นนันทิยาก็ตัดสินใจที่จะศึกษาเรื่องทั้งหมดบนซีลยอร์ชอย่างจริงจัง ด้วยตัวของเธอเองแบบไม่ร้องขอจากใคร เธอทำงานไปอย่างปกติเหมือนเป็นหนึ่งในทีม จนคนที่ทำงานร่วมกับเธออย่างใกล้ชิดที่สุดเช่นเบลลา เริ่มที่จะเคลือบแคลง
"เธอดูตั้งใจทำงานมากเลยนะ ตั้งแต่วันนั้น..." นันทิยาใช้หางตามองกิริยาของคนที่มาช่วยเธอเช็กยาในสต๊อกของเรือด้วยทีท่าปกติ
คงจะจริงอย่างที่ชาร์ลว่า...เธอต้องฉลาดให้สุดในทุกการแสดงออกด้วย
"ไม่ได้ตั้งใจเพราะเหตุผลเดียวกับเธอแน่" เธอรู้ว่าลาเบลไม่เคยต้อนรับเธอตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบที่นี่ เธอจำต้องทำหน้าที่เพราะอยากจะอยู่บนเรือนี้ก็แค่นั้น ส่วนความเกลียดชังอื่นเธอคิดว่าจะได้รู้ในสักวัน
"แน่นอน เหตุที่ฉันตั้งใจทำงาน ไม่ใช่เพราะว่าได้เข้าห้องกับท่านผู้นำสองต่อสองเหมือนเธอนี่" นันทิยาขันออกมาเล็กน้อย
"แต่ที่เธอตั้งใจ เพราะว่าต้องการที่จะได้เข้าห้องนั้นบ้าง...ใช่มั้ย?" ลาเบลหน้าตึงขึ้นเมื่อถูกจี้จุด นันทิยาแอบฟังเธอตอนที่คุยกับชาร์ลก็เลยพอจะเก็บข้อมูลบางอย่างได้ และมารู้แน่ในวันนี้
แต่มั่นใจว่าไม่น่าจะใช่เพราะว่า ลาเบลแอบรักเขา...แต่น่าจะมีเหตุผลอื่นปนอยู่ด้วย
"มีอีกหลายเรื่องที่เธอยังไม่รู้เกี่ยวกับที่นี่"
"นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ดีลาเบล และฉันก็พยายามอยู่ เธอมีอะไรที่จะบอกฉันเกี่ยวกับที่นี่อีกมั้ยล่ะ" นันทิยาสวมชุดกาวน์สีขาว ที่เป็นเครื่องแบบของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่มีชุดเหมือนภายนอกปกติ ชุดนี้สามารถป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกได้ และมีสัญลักษณ์การเป็นพยาบาลติดอยู่ที่หน้าอก
เธอเหลือบมองไปยังคนไข้ที่นั่งรอคิวรักษาอยู่ภายนอก มีเครื่องมือคัดกรองผู้ป่วยให้ก่อนที่จะเธอจะเข้าไปประเมิน นี่คือวิธีการประหยัดคนอย่างหนึ่งที่ที่นี่ใช้ ซึ่งเธอก็พอจะเข้าใจในข้อจำกัดในการรับคนของเรือ
"นั่นก็คือสิ่งที่ฉันกำลังพยายามอยู่เหมือนกัน ฉันอยู่ตรงข้ามกับเธอเสมอ รู้เอาไว้แค่นี้ โนนี้ด" หญิงผิวลูกครึ่งฟิลิปปินส์เชิดลำคอขึ้น ก่อนเดินออกไปตรวจรับคนไข้แทนเธอ เพื่อจ่ายยาเล็กน้อยให้
เธอรู้ประวัติของลาเบลเพียงเล็กน้อยจากคนในเรือที่พอจะเป็นมิตร ในช่วงเวลาที่เธอยังไม่รู้อะไรทั้งหมด เธอจะต้องรู้บางส่วน สักเล็กน้อยก็ยังดี
"ไง จะหลบหน้านี้ดไปอีกนานแค่ไหน?" นันทิยาใช้น้ำเสียงเข้มหยุดชะงักการเดินเชิงเร่งของคนที่เพิ่งจะมาตรวจคนไข้เสร็จไป อัครพงศ์จะมาที่นี่ก็ต่อเมื่อมีคนไข้ที่เจ็บป่วยหนักที่เธอตรวจให้ไม่ได้ และต้องได้รับการช่วยเหลือจากเขา
"จะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ"
"เดี๋ยว!" เธอวิ่งไปฉุดมือเขาเอาไว้ พร้อมเดินดักหน้า
นายแพทย์หนุ่มไม่ได้มีทีท่าว่าจะขัดขืน หากแต่เมินสายตามองทางอื่น ไม่ยอมสบตาด้วย
"นี้ดไม่รู้หรอกนะว่าทำไมหมอถึงเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ และก็ไม่อยากจะรู้ด้วย แต่บอกมาได้มั้ยการมาอยู่ที่นี่ของนี้ด หมอไม่รู้เรื่อง" แววตาเชิงร้องขอ น้ำเสียงเชิงมีความหวังนั่น...ยิ่งทำให้เขาสะเทือนใจหนัก
"แล้วแต่นี้ดจะคิด" เขาแกะมือที่จับข้อมือตัวเองออกช้าๆ ทำทีท่าว่าจะเดินจากไป
"หมอก็เป็นซะแบบนี้! ปล่อยให้นี้ดคิดไปเองมาตลอด แล้วยังไง มีอะไรดีขึ้นมาเหรอ!" เธอกำลังพูดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่โรงพยาบาล ที่คนสองคนเคยร่วมทำงานด้วยกันและมีเหตุการณ์บางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในใจคนทั้งคู่
"ต่อให้ผมพูด มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น"
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หมอไม่เคยทำแบบนี้กับนี้ด และนี้ดก็ไม่คิดว่าหมอจะทำจริงๆ ด้วย" น้ำใสๆ เริ่มเอ่อไปทั้งสองตา ใจแกว่งของเขาเริ่มสั่น
"คิดเถอะ อย่าพยายามปฏิเสธมันเลย" แล้วเขาก็เดินจากไปสำเร็จ ปล่อยให้เธอยืนเคว้งอยู่กับความไม่เข้าใจ ความสับสนและท้ายที่สุดก็คงจะเป็นความผิดหวังในตัวเขา
นายแพทย์ดีเด่นที่ทำเพื่อคนไข้เป็นหลักมาตลอดทุกเรื่อง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนไข้ของเขา มันเป็นอย่างนั้นเสมอมา และจะไม่มีอะไรเปลี่ยนด้วย
แต่ทำไม...ทำไมเขาถึงขึ้นเรือดำน้ำลำนี้มา ทั้งๆ ที่เรือลำนี้กำลังจะหนีเอาตัวรอดจากโลกที่กำลังจะแตกสลาย
เธอรู้ว่าตอนนี้วิกฤติทั่วโลกกำลังเผชิญกับอะไร และไม่มีใครบนโลกได้มีความสุข ต่อให้ชาร์ลจะปฏิเสธยังไงว่าเขาทำไปทั้งหมดเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เธอก็เชื่อว่า...เรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่!
"กำลังระลึกความหลังกันอยู่เหรอ โทษทีนะ...ที่แอบฟัง" เสียงใสๆ ที่เหมือนจะเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังขึ้นจากทางด้านหลัง นันทิยารีบปาดน้ำตาให้เหือดแห้ง
"นะ...นาย"
"ขอบคุณที่จำกันได้ พี่สาว" เขายังทำทีท่าสบายๆ เหมือนเก่า มันคงจะเป็นเอกลักษณ์ของเขา นันทิยาพยายามเก็บข้อมูลแบบนั้น
"เข้ามาที่นี่ได้ยังไง"
"ผมลืมบอกไป ว่าผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง" เธอขมวดคิ้วและมองไปยังสัญลักษณ์บนเสื้อที่เขาสวมอยู่ เขาสวมชุดคล้ายกันกับเธอแต่สัญลักษณ์นั้นไม่ใช่
"ซีลยอร์ชคัดเลือกนักศึกษาแพทย์ขึ้นมาบนเรือด้วยอย่างนั้นเหรอ?"
"พูดเหมือนรู้ว่าเกณฑ์คัดคน มีอะไรบ้าง"
"เปล่า แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันจะต้องรู้" เธอหรี่ตามองหน้าเขาที่เหมือนจะแสยะยิ้มอยู่ด้วยความไม่เข้าใจ มีกลิ่นอายบางอย่างในตัวเขาที่กำลังบอกว่า เขาไม่ชอบวิธีการของที่นี่เท่าไหร่
"ผมไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น" แล้วเขาก็ยิ้มเชิงขันให้เธอ พร้อมเดินไปหยิบแฟ้มประวัติของคนที่มารักษาในวันนี้มาดูไปเรื่อยๆ
"ฉันไปที่ห้องสมุด แต่ไม่เจอหนังสือสองเล่มนั้นแล้ว"
"เขาบอกให้พี่ไปอ่านอย่างนั้นสินะ" นี่ก็ด้วยปฏิกิริยาที่เขามีต่อผู้นำของเรือ ไม่ได้เคารพหรือเกรงกลัวอย่างคนทั่วไป
"นายเกี่ยวข้องยังไงกับเขา"
"เลือกได้ก็ไม่อยากจะเกี่ยว" แล้วเขาก็ได้แฟ้มประวัติที่ต้องการ ก่อนเดินไปนั่งบนโต๊ะที่พอจะวางมันไว้แล้วศึกษาได้สะดวก นันทิยาเดินตามไปนั่งตรงข้ามกับเขาทันที พร้อมมองอย่างค้นคว้า
"นายมีปัญหาอะไรกับเขาใช่มั้ย?" ดวงตาสีฟ้าชะงักสายตาที่จดจ้องแฟ้มประวัติในมือเพียงครู่ ก่อนช้อนขึ้นมามองตาเธอแบบตรงๆ
"หวังอะไรกับคำตอบนี้ล่ะ" เธอรีบส่ายหัว
"เผื่อว่าความต้องการของเราจะตรงกัน" เขาส่ายหัวบ้าง
"ถ้าอยากจะอ่านหนังสือเล่มนั้น พี่ก็ตามผมมา" อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนเดินนำไปดื้อๆ แม้เธอจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ไม่ได้มีตัวเลือกมากมายมาให้เลือกขนาดนั้น!
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอยอมเดินตามผู้ชายไปไหนก็ไม่ทราบ เขาพาเธอเดินอ้อมมาจากด้านหลังของห้องพยาบาล เส้นทางลัดเลาะนี้เธอไม่เคยเดินมาก่อน แต่ก็แอบสังเกตสิ่งแวดล้อมทั้งหมดไปด้วย
"ผมไม่ได้จะพาพี่ไปห้องผม เหมือนที่เขาทำหรอก" เด็กนั่นอ่านความคิดเธอออก ทั้งๆ ที่เดินไปเรื่อยๆ แบบไม่หันมามองเธอสักนิด
"ต่อจะให้ไป ฉันก็ไม่กลัว...อ๊ะ!" แล้วเธอก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม เมื่อเขาหยุดชะงักทันที
"พี่สาว อย่าประมาทผมขนาดนั้น" เขาหันมาเผชิญหน้าด้วยสายตาที่เธอไม่เคยเห็น
"นายจะทำอะไร"
"คนที่ไม่กลัวจริงๆ เขาไม่ถามคำถามพวกนี้ออกมาหรอก" สองเท้าของเธอเริ่มถอย เมื่อเขาเริ่มที่จะขยับ
"ฉันจะไปดูหนังสือ" เกร็งคอขึ้นทั้งๆ ที่กำลังเดินถอยหลัง
"ผมแค่จะมาเตือนพี่ ว่าเชื่อหรือไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะบนเรือนี้" เขากระซิบข้างหูเธอเบาๆ พร้อมเอามือปิดริมฝีปากเธอให้แน่น นันทิยาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่กี่วินาที ก่อนที่สติรับรู้จะดับไป
เธอกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่เนี่ย เธองงไปหมดแล้ว!
"สมุนไพรนี้เป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังต้องการ รวมไปถึงเรือลำนี้ด้วย นอกจากมันจะช่วยฆ่าไวรัสได้แล้ว มันยังช่วยให้เซลล์ของมนุษย์แข็งแรงขึ้น" เสียงก้องของผู้หญิงดังเข้ามาในโสตประสาท แต่นันทิยาเรียนรู้ว่าการแกล้งหลับจะทำให้เธอได้ยินทุกอย่าง
"แต่ทางการแพทย์ยังไม่ได้สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้" เสียงผู้ชายที่เธอไม่คุ้นแย้งขึ้นมา จนเธอต้องเงี่ยหูฟัง
"มีอีกหลายเรื่องที่ทางการแพทย์ไม่สนับสนุน ไม่ยอมรับ แต่กลับมายอมรับในภายหลังถมเถ" นั่นคือเสียงของเขาเธอจำได้ เด็กหนุ่มที่จับตัวเธอมา
"นั่นเป็นเพราะว่าเขาศึกษาจนแน่ใจแล้วไง เขาถึงมายอมรับในภายหลัง การที่ยังไม่ได้ยอมรับไม่ได้หมายความว่าเขาปฏิเสธ เพียงแต่มันต้องใช้เวลา" เสียงเข้มนั่นน่าเห็นด้วยในความคิดของนันทิยา เธอเองก็ศึกษาเรื่องสมุนไพรมามาก เพราะตระกูลของเธอทำยาสมุนไพรขาย ทวดของเธอเป็นแพทย์ทางเลือกศาสตร์โบราณ เธอเคยอ่านตำรามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สืบทอดจริงจัง
นั่นเป็นเพราะว่าพ่อของเธอพยายามที่จะกันเธอออกจากการสืบทอดนั้น...
"แล้วเรามีเวลามั้ยล่ะ"
"เอาล่ะ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย วันนี้เป็นวันครบรอบที่ชาร์ลสั่งให้ฉันมาปรุงยานี่ ฉันจะมอบยาให้กับเขาตามข้อตกลง แต่นายก็ต้องทำตามข้อตกลงด้วยนะหนุ่มน้อย" ชิลล์เล็ตมองแคปซูลยาที่ได้รับการบรรจุเรียบร้อยด้วยสายตาเรียบเฉย
"ยังไม่แน่"
"แกคิดจะตุกติกเหรอ!" หยางเฟ่ยตวาดพร้อมตบโต๊ะเสียงดัง นั่นเป็นผลให้คนที่นอนแน่นิ่งอยู่ลืมตามองให้เต็มตา
"ใจเย็นหยางเฟ่ย เด็กนี่ช่วยคุณได้นะ" คนที่ลืมตาเห็นชายหนุ่มในชุดกาวน์ตัวยาวสีเทา มีเครื่องหมาย 'บวก' อยู่บนหลังเขา กำลังดึงผู้หญิงคนนั้นให้นั่งลง
ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนบุคลากรทางการแพทย์ ตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยสัก หน้าตาและผิวพรรณไปทางคนจีนแต่แอบคล้ำ มีอะไรบางอย่างในตัวที่เหมือนกับ 'ทวด' ที่เธอเคยเห็นในรูปที่แม่เก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
"ก็มันบอกว่าไม่แน่"
"ไม่แน่ว่ายาจะถูกปรุงสำเร็จตามที่คุณบอก" หยางเฟ่ยยิ่งจะเดือดดาลขึ้นเมื่อถูกสบประมาทมาเช่นนั้น
"หมายความว่ายังไง" เจ็ตต์ยกมือห้ามคนที่มีวิธีปรุงยาสมุนไพรที่ดีทึ่สุดในโลกเอาไว้ ก่อนมองหน้าเด็กหนุ่มที่มีความสามารถเกินเด็กเชิงขอความกระจ่าง
"ผมแอบเอายานี้ไปทดลองในห้องแล็บ ค่าแปลผลมันค่อนข้างต่ำ คุณอธิบายได้มั้ย" หันไปถามคนที่กำลังโกรธตัวเองจนตัวแทบสั่น ซึ่งฝ่ายนั้นหายใจแรงขึ้น
"ตั้งแต่ปรุงยามา ฉันไม่เคยเอายาเข้าห้องแล็บ"
"นั่นคือเหตุผลที่ยาสมุนไพร ไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์มาตลอด จริงรึเปล่าครับคุณเภสัชกร" เขากันไปหาความเห็นบ้าง คนที่แอบฟังเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
"ก็ไม่แน่" เจ็ตต์ว่า
"ยังไง" สวนกลับอย่างทันที
"สารเคมีบางอย่างก็ตรวจจับไม่ได้ในห้องปฏิบัติการ"
"เหมือนที่มนุษย์ไม่เห็นผีด้วยตาเปล่าอย่างนั้นน่ะเหรอ" นันทิยาแทบจะขำกับสิ่งที่ชิลล์เล็ตพูด เธอเห็นด้วยทุกประการ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เธอไม่ยอมสืบทอดการปรุงสมุนไพรจากรุ่นทวด
"แต่ผมก็เห็นด้วยกับคุณ ขั้นแรกยาของเราจะต้องผ่านตามมาตรฐานของห้องแล็ปก่อน เพราะเราไม่มีปัญญาชดใช้กับสิ่งที่จะตามมาในภายหลังแน่หยางเฟ่ย" ชิลล์เล็ตหันไปมองหน้าคนที่กำลังจ้องตัวเองตาไม่กะพริบอีกครั้ง
"การจะทำการใหญ่ ใจท่านต้องนิ่งกว่านี้หน่อยนะอาจารย์" หยางเฟ่ยเคยสอนเขาเมื่่อตอนเทอมแรก หลังจากที่อเมริกายอมรับตำรับยาสมุนไพรและให้แพทย์ทั้งหมดเรียนรู้เรื่องนี้อย่างมีวิจารณญาณด้วย
"ฉันไม่มีศิษย์อย่างแก"
"แล้วเราจะทำยังไงต่อไป"
"ยังไม่แจกจ่ายยาล็อตนี้ให้กับใคร ไม่ว่าจะบนเรือลำนี้หรือว่าพื้นโลก"
"แต่ตอนนี้เชื้อโรคกำลังแพร่ระบาดหนัก และมีการต้มสมุนไพรทานเองกันแบบสดๆ อย่างแพร่หลาย" เจ็ตต์ว่าอย่างไม่สบายใจ นันทิยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอรู้ความจริงข้อนี้ดีและเธอก็ปล่อยให้ผู้คนทำแบบนั้นกันอย่างแพร่หลายด้วย
ใช่สิ...เพราะเธอคือบุคลากรทางการแพทย์ที่ล้มเหลวในหน้าที่การงานคนหนึ่งก็เท่านั้น เธอจะไปมีสิทธิอะไรที่จะห้ามปรามพวกเขาล่ะ
"เราจะควบคุมสิ่งที่เราควรควบคุมเท่านั้น นายอย่าลืมความจริงข้อนี้" แม้จะไม่พึงพอใจที่จะต้องมาถูกเด็กตำหนิ แต่เขาก็เลือกอะไรไม่ได้
"แล้วนายจะทำยังไง ให้เขาเอาสมุนไพรล็อตใหม่มาให้ทดลองอีกอย่างนั้นเหรอ นายก็รู้นี่ว่าพี่ชายนายกว้านซื้อมาจนจะหมดโลกแล้ว!" นี่คือข้อมูลใหม่ที่ทำให้นันทิยาแทบจะร้อง พวกเขามีสัมพันธ์กันฉันพี่น้องคือสิ่งที่เธอคาดเดาเอาไว้แน่ แต่ข่าวใหม่ก็คือ..อีตานั่น กว้านซื้อสมุนไพรทั่วโลกอย่างนั้นเหรอ
"นายก็เว่อร์ไป สมุนไพรนี่มีแค่ในเมืองไทย" เขาเอาความกวนเข้ากลบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้ช่วยอะไร
"ฉันจะไม่มีวันยอมให้นายทิ้งยาที่ฉันปรุงขึ้นมาเด็ดขาด" หยางเฟ่ยเค้นน้ำเสียงพร้อมสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ของตนที่อาจจะพุ่งทะยานขึ้นได้มากกว่านี้
"เฮ้พี่สาว ตื่นแล้วก็ลุกมาสักทีสิ" นันทิยาเกร็งตัวนิ่ง นี่เราไม่เนียนขนาดนั้นเลยเหรอ?
"นายจับเธอมาที่นี่ทำไม?"
"ไว้รู้พร้อมเธอเถอะ" ชิลล์เล็ตเดินมาจับเธอผู้ที่ยังไม่ยอมลุกให้ลุกขึ้น นันทิยาลืมตาขึ้นมองโดยรอบด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ห้องนี้เป็นห้องสีขาวล้วนมีควันพวยพุ่งอยู่ในตู้สุญญากาศ เหมือนโรงงานลับที่มีพื้นที่ค่อนข้างจะจำกัดแต่ครบถ้วน
"ขออนุญาตอุ้มนะ" แล้วเธอก็ถูกเขายกลงมายืนที่พื้นง่ายดาย แต่ใจเธอแทบจะวายด้วย!
