10
นันทิยาเดินตามเบลลีมาด้วยทีท่ารีบร้อน ไปยังทางเดินที่มีห้องนอนของเขา เธอจำเส้นทางได้ แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยล้นเปี่ยม
"ผมมีงานต้องไปทำต่อ" เบลลีหยุดอยู่หน้าห้อง พร้อมหลีกทางค้อมศีรษะบอกเธอเชิงขอตัวก่อน
แม้จะไม่ไว้วางใจนัก แต่ข่าวเกี่ยวกับผู้ที่อยู่ในห้อง ทำให้เธอจำต้องวางทุกอย่างเอาไว้และสนใจความเจ็บป่วยเป็นหลัก
นันทิยาไม่เคยทนเห็นความเจ็บป่วยของใครได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร เธอจะรู้สึกยังไงด้วยในก่อนหน้า
หากความเจ็บป่วยมาเยือนแล้ว คนผู้นั้นจะได้สิทธิพิเศษทันที
เธอผลักประตูเข้าไปในห้องที่เคยมาแล้วหนหนึ่งด้วยความไร้ทุกอคติ เบลลีบอกว่าให้เธอช่วยมาทำแผลให้เขา ซึ่งได้รับการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ แต่รายละเอียดยังไม่ทันได้ถาม
เธอรีบมาพร้อมกล่องเครื่องมือทำแผลครบครัน
"คุณ" เธอเปิดประตูเข้ามาหลังเคาะเรียบร้อยแล้ว เรียกคนที่นั่งเปลือยท่อนบนอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้ารีบร้อน
"มีแผลตรงไหนบ้าง เดี๋ยวฉันช่วยดูให้" เธอวางกล่องทำแผลไว้บนโต๊ะกลางหน้าโซฟา พร้อมจับใบหน้าเขาสำรวจหาบาดแผล
ใบหน้าขาวเนียนติดไปทางกร้าน มีรูปทรงเรียวได้รูปชัด สัดส่วนของเครื่องหน้าลงตัวราวกับถูกปั้นมา
จมูกโด่งพุ่งเป็นสันรับกับดวงตาคมกริบสีฟ้าอมเทาประกายฉายแววราวกับแก้วใส คิ้วเข้มสีน้ำตาลไปในโทนเดียวกับเส้นผมยุ่งยับที่ล้อมกรอบใบหน้า
มุมริมฝีปากหนาหยักลึกคล้ายจะยิ้มเยือนหน่อยๆ
"ไม่เห็นจะมีแผลตรงไหน" เมื่อได้สบเข้ากับความคมปลาบจากสายตากรุ้มกริ่มนั้น วิญญาณพยาบาลก็พลันแล่นออกจากร่าง
"คุณให้เบลลีไปโกหกฉันเหรอ!" เขารีบรวบตัวคนที่จะผละออกไปให้นั่งบนตักกว้าง ความร้อนผ่าวจากกล้ามเนื้อกำยำ นาบลงบนแขนที่พยายามจะปัดป้อง
"อย่าดิ้นผมเจ็บ" เธอหยุดในทันใด เมื่อเขาชูบาดแผลในมือให้ได้เห็น
"คุณไม่น่าจะใช่ผู้บาดเจ็บนะ น่าจะเป็นผู้ทำให้คนอื่นเจ็บมากกว่า" ร่องรอยของแผลทำให้เธอเดาได้ว่า น่าจะเป็นเพราะเขาไปชกต่อยใครเขามามากกว่า
"ก็เจ็บเหมือนกันแหละน่า" น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนนั้น ทำเอาใจแกว่งไกวของเธอกระตุกเร่า
กลองมโหรีในอกเริ่มจะลั่นบรรเลงจนเธอต้องรีบพาตัวเองลงจากตักเขา
"ปล่อยสิ ฉันจะทำแผลให้"
"ทำบนนี้ก็ได้" เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องอุปกรณ์ของเธอ ทั้งๆ ที่เธออยู่บนตัก นั่นเป็นผลทำให้เหมือนเขาโอบกอดเธอไปด้วยกลายๆ
ใจโครมครามดวงน้อยแทบจะกระโจนเข้าใส่กล้ามเนื้อแน่นเครียดของเขา
"ฉันทำไม่ถนัด" เธอว่าเสียงอ้อมแอ้ม ไม่รู้เรี่ยวแรงในการตอบโต้หายไปไหน ทำให้เขายิ่งยิ้มพรายมากขึ้น
"ผมชอบแววตาคุณตอนที่ห่วงใยผม" ยิ่งประโยคนี้จากเขา ยิ่งทำเอาเธอนิ่งราวกับถูกสาป
ดวงตาคมกริบกวาดไปทั่วใบหน้านวลผ่อง คล้ายพระจันทร์งามเด่นในยามค่ำคืนที่เดือนหงาย
ริมฝีปากจิ้มลิ้มได้รูปเผยอออกจากกันเล็กน้อยแบบไม่ได้ตั้งใจ
"ฉันห่วงทุกคนที่มีความเจ็บป่วยเกิดขึ้น" ตอบออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนค่อยๆ จับมือเขาขึ้นมาดู
"พูดซะไม่อยากจะหายป่วย" เขาขยับร่างให้เธอนั่งได้ถนัดมากขึ้น แต่ดันขยับให้ไปโดนในส่วนสงบนิ่งกึ่งกลางกายจนเธอยังต้องแทบสะดุ้ง
"ฉันนั่งไม่ถนัด"
"เจ็บจัง รีบทำแผลเถอะ" อ้อนหนักขึ้นจนเธอจำต้องหยิบอุปกรณ์ที่เขาเปิดกล่องให้ออกมาค่อยๆ ทำความสะอาด
ดวงตาสีฟ้าอมเทามองกิริยานั้นด้วยความโอนอ่อน เธอยังเหมือนเดิม...กิริยานุ่มนวล สัมผัสเขาด้วยความรู้สึกให้ความปลอดภัย
เหมือนเมื่อปีนั้น ปีที่เขาได้เจอเธอเป็นครั้งแรก...
"แผลถลอกเล็กน้อย มีเปิดมากเป็นบางจุดฉันใส่ยาที่เป็นตาข่ายให้แล้ว จะทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น" เธอทำไปอธิบายไปเหมือนอย่างเคย เธอไม่เคยให้การพยาบาลแบบก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียว แต่เธอใส่ใจที่จะพูดหรืออธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจด้วย
เขาประทับใจข้อนี้และคิดว่าคนไข้ทุกคนที่เคยพบเจอเธอ ก็คงจะประทับใจเช่นกัน
นันทิยาชะงักการอธิบายไปเรื่อยๆ ลง เมื่อเห็นแววตาอบอุ่นของเขาจดจ้องดวงหน้าตัวเองอยู่ ใบหน้านวลผ่องเริ่มที่จะมีเลือดฝาดประปราย และก็รีบพันผ้าพันแผลให้เขาให้เสร็จเร็วขึ้น
"เสร็จแล้ว" ว่าพร้อมเริ่มขยับร่างกาย หมายจะออกห่าง หากแต่คนที่มือถูกพันเรียบร้อยกลับกอดกระชับเธอให้แน่นเข้า
"เสร็จอะไร เพิ่งจะเริ่มเอง" นันทิยาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อใบหน้าของเขาหากเธอออกไปไม่ถึงคืบ ไหนจะส่วนล่างของร่างกายที่กำลังสัมผัสกับตักเขานั่นอีก เธอไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่รู้ถึงสัตว์ร้ายที่นอนจำศีลอยู่ตรงนั้นเสียหน่อย
"อย่ามาทะลึ่งนะ!" เขาส่งยิ้มพรายให้อีกครั้ง รอยยิ้มเปล่งประกายที่ทำให้เธอใจสั่นเหมือนลอยได้ในทุกหนที่พบนั่นแหละ
"คิดอะไร ถึงอยากจะไปช่วยทีมปรุงยา" นี่ก็เกือบสัปดาห์แล้วที่เธอบอกกับทีมไป แต่ก็ยังไม่มีใครแจ้งความคืบหน้า ชิลล์เล็ตก็หายไปจากเธอสักพักหนึ่งด้วย
"คุณบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าฉันจำเป็นกับเรือลำนี้ ฉันก็เลยคิดว่าอะไรที่ฉันพอจะทำได้ ฉันก็ไม่ควรที่จะเพิกเฉย จะเห็นควรยังไงก็แล้วแต่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแล้วนะคะ" เขาพยักหน้าให้ อย่างเหมือนจะเข้าใจแม้แวตาลึกๆ จะไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่
"พูดแล้วนะ...ว่าอะไรที่พอจะทำได้ ก็จะไม่เพิกเฉย" แววตาใสสะดุด สมองวิเคราะห์ตามสิ่งที่เขาพูดฉับพลัน
"ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรื่องนั้นมันจะเป็นเรื่องอะไร"
"ผมเคยบอกคุณไปแล้ว" ฝ่ามือเรียวเล็กยันหน้าอกกว้างเอาไว้ เมื่อเขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
"บะ...บอกอะไร"
"ถ้าจะให้บอกใหม่ จะไม่แค่พูดแล้วนะ..."
"ไม่ต้อง! ฉันจำได้แล้ว!" แม้จะบอกไปอย่างนั้น แต่เธอก็หนีไม่พ้นจมูกโด่งคมที่ตั้งป้อมปราการรอพวงแก้มใสของเธอให้เข้าไปชนเสียจนได้ ในขณะที่เธอชะงักค้างอยางตกตะลึงกับสัมผัสที่เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจนั้น เขาก็กดปลายจมูกลงซ้ำๆ ทั้งสองแก้มเหมือนคิดถึงนักหนา จนแข้งขาเธอร่วงผล็อยตกลงข้างลำตัว
"ผมจะให้คุณอยู่ในทีมปรุงยาก็ได้ แต่คุณก็ต้องทำหน้าที่หลักของตัวเองด้วย" คนที่ยังไม่หายงงงวย แม้ที่สมองกำลังจะสั่งให้ตัวเองโกรธเคืองเขา โวยวาย ส่งเสียงเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปเขาทำกัน ทีอย่างนี้แล้วไม่แสดงอาการเลยนะ!
"แล้วตกลงหน้าที่หลักของฉันคืออะไร?" เขานิ่งไปชั่วครู่ เหมือนชั่งใจว่าจะพูดดีหรือเปล่า
"สืบพันธุ์"
"ฮะ!" เขาตัดสินใจบอกเธอก่อนที่ใครจะมาชิงบอกในความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง แต่นั่นก็ทำให้เธอตกใจสุดขีดเช่นกัน
"ยังไม่ได้อ่านหนังสือสองเล่มนั้นใช่มั้ย"
"ฉันกลับไปดูที่ห้องสมุดแล้ว แต่มันไม่มี ไม่แน่ใจว่ามีใครยืมไปอ่านหรือเปล่า" แววตาคมกริบที่เหมือนรู้ว่าใครเอาไปเคลื่อนไหวเล็กน้อย อ้อมกอดที่ไม่ยอมคลายเพิ่มการรัดแน่นขึ้นไปอีก คางยาวได้รูปมีเคราประปรายเล็กน้อย เกยลงบนไหล่บอบบางเหมือนต้องการพักพิง
"ในเรือลำนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถอ่านหนังสือสองเล่มนั้นได้" ข้อมูลใหม่นี้เรียกความสนใจจากนันทิยา จนไม่ได้ต่อต้านหรือขัดขืนกิริยาของเขา
"แล้วใครที่อ่านได้บ้างล่ะ?"
"ผม คุณ แล้วก็คนที่บอกคุณว่ามันอ่านไปนั่นแหละ"
"ชิลล์เล็ตน่ะเหรอ?" เขาพยักหน้ากับไหล่ให้ นันทิยาค่อยๆ ผละออกจากการเกยนั้น พร้อมหันหน้าเขาให้มาเผชิญกับตน
"คุณอ่านแล้วรู้สึกยังไง?" สีหน้าลำบากใจของเขาเด่นชัดจนเธอเริ่มไม่แน่ใจ
"ไม่อยากสปอยด์ เดี๋ยวคุณอ่านไม่สนุก" เขาปรับสีหน้าเป็นอารมณ์ขันได้ง่ายดาย แต่เธอไม่ได้ขันไปด้วย
"แค่ชื่อหน้าปก ฉันก็พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการล่มสลายของโลกมนุษย์ รวมไปถึงมนุษย์ด้วย...ส่วนอีกเล่มน่าจะเป็นการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ผมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ อาทิเช่นสิ่งที่คุณได้พูดไป และเรือลำนี้ก็คงจะเป็นที่บรรจุมนุษย์ผู้สืบทอดสายพันธุ์ในโลกอนาคตหลังจากการล่มสลาย" เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจในความคาดเดานั้นของเธอ พร้อมยกนิ้วโป้งให้
"แต่สิ่งที่ฉันยังไม่รู้ก็คือ เกณฑ์อะไรที่ใช้คัดคนขึ้นเรือ"
"คุณจะรู้ทุกอย่าง ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนั้น...เพียงแต่มันมีบางอย่างที่คุณอาจจะได้รู้มากกว่า"
"แล้วทำยังไงฉันถึงจะได้อ่านมันล่ะ" ชาร์ลขยับกายพร้อมปล่อยให้เธอได้นั่งอย่างอิสระ ความครุ่นคิดในแววตาเขานั้นไม่อาจจะคาดเดาเนื้อหาของมันได้
"ก็ยังไม่ต้องอ่าน"
"ตราบใดที่ยังไม่ได้อ่าน ฉันก็ไม่มีสิทธิได้รู้อะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ?" อยู่ๆ ชาร์ล ล็อตผู้นำเรือดำน้ำแห่งนี้ก็ได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ส่งผลให้เธอลุกขึ้นยืนด้วย
"มันคงจะถึงเวลาแล้วล่ะ" เขายื่นมือออกมาคล้ายจะขอมือเธอไปจับ แม้จะแคลงใจแต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ในเรือลำนี้เธอก็ไม่สามารถไว้ใจอะไรได้อยู่แล้ว
ไปให้สุดน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด...
มือเรียวบางแตะลงไปบนมือเรียวใหญ่ของเขาแบบแนบแน่น ชาร์ลยิ้มออกมาจนกว้างและเธอต้องรีบเมินหนีมัน เพราะไม่อยากจะใจสั่นจนเสียเรื่อง
เขาออกแรงจูงเธอไปด้วยจังหวะที่ค่อนข้างจะพอดี แต่อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้นันทิยารู้สึกได้ว่าเธอเคยจับมือคู่นี้มาก่อน สถานการณ์คล้ายๆ จะเหมือนกันนี้ เป็นการให้ความอบอุ่นและนำทางไปสู่อะไรสักอย่าง แต่เหมือนจะตรงข้ามกัน...เหมือนเธอเป็นผู้นำทางเขา หรืออย่างไร?
เธอเริ่มจะสับสนในใจเป็นอย่างมาก!
