7
ชาร์ล ล็อตส์พาเธอเดินไปยังทางเดินที่เธอไม่เคยไปมาก่อน ทางเดินนั้นอยู่ฝั่งขวาของห้องอาหาร มีแสงไฟประดับเป็นระยะแต่ไม่ได้สว่างจ้า แม้จะแอบวิตกกังวลว่าตัวเองจะเชื่อใจเขาได้หรือไม่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้ไม่เดินตามเขาไป เธอก็ไม่ได้ปลอดภัยเพิ่มขึ้นหรอก
"กลัวเหรอ" คนเดินนำหยุดเดินลงดื้อๆ แผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขาไม่ได้บอกความรู้สึกอื่นใด น้ำเสียงก็ด้วย
"รีบเดินเถอะ ฉันอยากเห็นสิ่งที่คุณอยากจะให้เห็นแล้ว" ตัดสินใจเดินนำเขาไปแบบเฉียดไหล่ แต่ก็ถูกคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
"ทางนี้" เธอหันไปมองตามที่เขาว่า มีช่องทางให้เลี้ยวซ้ายที่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็น
"ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอ รู้แค่นั้นพอ" ทิ้งท้ายก่อนออกแรงดึงนำไป แม้ประโยคนั้นจะมีผลต่อจิตใจแต่เธอก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทบทวนมัน
หยุดสั่นสักทีเถอะใจ...
เขาพาเธอมายังห้องห้องหนึ่งที่ดูแปลกตากว่าห้องที่เธออยู่ มีความเพียบพร้อมในข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวก เหมือนเป็นห้องนอนที่แยกสัดส่วนเอาไว้อย่างดี
"คุณพาฉันมาที่ห้องคุณทำไม" จากที่คิดว่าจะไม่หวาดระแวง เธอเริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว
"จินตนาไปถึงไหนล่ะนั่น" เขาหันมามองหน้าเธอที่มองไปรอบๆ อย่างไม่วางใจ กระชับแขนกอดตัวเองเอาไว้เหมือนผู้หญิงระวังภัยจากชาย ที่เขาทำๆ กัน
"ก็ไม่รู้สิ คุณพาผู้หญิงสวยเข้ามาในห้องนอนสองต่อสอง ฉันก็มีสิทธิที่จะคิด" เขาเผยรอยยิ้มกว้างอันมหาเสน่ห์นั่นออกมาอีกแล้ว ส่งผลให้เธอต้องยิ่งควบคุมใจตัวเองที่พากันตีกลองให้ลั่นขึ้น
"นั่นสินะ ผมลืมคิดไปได้ยังไง" เขาขยับเข้ามาใกล้จนเธอต้องรีบถอยหลังอัตโนมัติ ความเจ้าเล่ห์ที่เธอคิดว่าเขาซุกซ่อนเผยออกมาเต็มดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้น
"ฉันอยากดูสิ่งที่คุณอยากให้ดูแล้ว" เชิดใบหน้าเกร็งลำคอพูด ด้วยดวงตาที่สั่นไหวระริก
เธอกำลังกลัวเขารู้ นั่นเป็นผลที่เขาอยากจะแกล้งขึ้นไปอีก
"แล้วผมจะได้ดูในสิ่งที่อยากดูหรือเปล่า" ความคมปลาบจากแววตาเขาหลุบลงต่ำ สาบเสื้อที่เผยอออกของเธอน่าจะใช่จุดลงจอด
"ถอยไปนะ!" เธอตัดสินใจรวบสองมือออกแรงผลักเขาซะเต็มแรง แต่หินผาแกร่งก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แถมยังรวบตัวเธอเอาไว้เสียแน่น
"ไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไง เดี๋ยวร้อง เดี๋ยวกรี๊ด" เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะเอ็นดูมากกว่าพิศวาส แรงต้านจากเธออ่อนกำลังลงดื้อๆ เมื่อได้สบกับสายตาคู่นั้นแบบใกล้ๆ
ริ้วบางอย่างในแววตาของเขา เหมือนคนที่แอบมองเธอมานาน เฝ้ามอง เฝ้ารู้ทุกอย่าง...เธอสัมผัสได้แบบนั้น
แต่มันคืออะไรล่ะ นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามจะถามเขามาตลอด!
"ปล่อยฉันเถอะนะ" ตัดสินใจใช้มารยาหญิงที่ยังพอมีกับเขาบ้าง
ได้ผล...เขาปล่อยให้เธอเป็นอิสระช้าๆ "มาทางนี้เถอะ" เขาเดินนำไปยังมุมหนึ่งที่มีผ่านสีดำแขวนอยู่ เหมือนที่ห้องเธอแต่ไม่แน่ใจว่าพอเปิดออกมาแล้ว มันจะเห็นแค่ผนังอย่างที่ห้องของเธอหรือเปล่า
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เอื้อมมือไปเลื่อนม่านหน้าต่างช้าๆ ท้องทะเลปรากฏอยู่เบื้องหน้า ปะการังและปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายราวกับอยู่ในพิพิธภัณฑ์
นันทิยาเบิกตาพร้อมสาวเท้าเข้าหาอย่างไม่อยากจะเชื่อ สมองว่างเปล่าไม่อาจประมวลผล ดวงตาดำขลับแทบจะไม่ได้กะพริบ "สวยมั้ย"
เขาถามขึ้นเหมือนเพื่อจะเรียกสติของเธอมากกว่าอยากจะรู้คำตอบจริงๆ
"นี่มันอะไรกัน" เธอหันไปมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
"เรือนี้ไม่ใช่เรือยอร์ช ยอร์ชคือชื่อที่เราเรียก" ดวงตาดำขลับสว่างวาบเหมือนนึกอะไรได้
"ซีลยอร์ช? มาจาก ZEAL น่ะเหรอ?" เขาพยักหน้าให้กับความหัวไวนั้น
"เธอแค่โฟกัสผิดคำก็เท่านั้น เรือนี้ไม่ใช่เรือยอร์ชแต่เป็นเรือดำน้ำ ที่สามารถบินได้ เคลื่อนบนบกได้ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้และในอนาคตในน้ำจะเหมาะสมที่สุด" เขาดูตั้งใจอธิบายที่สุด ตั้งแต่เคยอธิบายมา
"เรือดำน้ำ? แล้วใหญ่แค่ไหน" ความตกใจของเธอนั้นส่งผลให้เริ่มมีเหงื่อผุดตามไรผม คนที่สนใจปฏิกิริยาทางร่างกายของเธอมากกว่าคำถามที่ออกจากปาก ขยับเข้าหาพร้อมใช้ปลายนิ้วไร้ตามความผุดผายนั้นช้าๆ ให้
"หมายถึงขนาดหรือความสำคัญล่ะ"
"ทั้งหมด" เสียงเข้มขึ้นพร้อมปัดมือเขาออกอย่างรวดเร็ว
"ใหญ่มาก ระดับมวลมนุษยชาติ"
"ฉันเคยดูหนังและอ่านนวนิยายที่พูดทำนองนี้ เกี่ยวกับสูญสลายของโลก มันประมาณนั้นหรือเปล่า" สมองของเธอเริ่มประมวลผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมาเป็นฉากๆ ภาพหนังสือเมื่อวานปรากฏขึ้นมาในใจ
"กระบวนการของเราไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องโลก เพราะยังไงโลกก็ต้องแปรเปลี่ยนตามธรรมชาติของมัน" เขาเดินไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างนั่น ด้วยแววตาที่เธออ่านเขาไม่ออก
"แต่มีหน้าที่ปกป้องชีวิตมนุษย์บางกลุ่มอย่างนั้นน่ะเหรอ"
"ใช่ แต่บางกลุ่มนั้นถูกคัดสรรมาแล้ว" นันทิยารีบส่ายหน้า เสียงสบถในลำคอเย้ยหยันชัด เธอดึงให้เขาหันมาเผชิญหน้า
"คัดสรรจากอะไร เงินทองซื้อตั๋วขึ้นมาได้ อย่างนั้นน่ะเหรอ!" ความผิดหวังฉายชัดเต็มสองตา เขาจดจ้องเข้าไปในความรู้สึกล้นเปี่ยมที่เธอมีมาตลอด
"นั่นคือสิ่งที่คนเขียนนิยายของคุณ เสริมเติมแต่งเข้าไป"
"จะบอกว่าการคัดเลือกของคุณบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่านั้นอย่างนั้นเหรอ!"
"โลกหลังจากนี้ เงินจะไม่มีความหมาย แล้วคนมีเงินจะเอามาด้วยทำไมล่ะ" เขาพูดชวนคิด แบบอยากที่จะให้เธอเข้าใจกระบวนการทั้งหมดจริงๆ ด้วยการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ
"คุณก็เลยต้องการสหวิชาชีพ ที่จะมีความหมายกับคนบางกลุ่มในอนาคตอย่างนั้นน่ะเหรอ"
"ไหนๆ ก็ฉลาดแล้ว ฉลาดให้สุดคงจะดี" หญิงสาวหรี่สายตาเชิงไม่แน่ใจ
"พวกคุณจะทำไปทั้งหมดเพื่ออะไรฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่ได้อยากรอดคนเดียว แล้วทิ้งให้คนอื่นๆ ตายไปหรอกนะ"
"รู้สิ ว่าคุณยินดีที่จะตายไปพร้อมกับทุกคนแน่ๆ นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่คุณได้รับการคัดเลือก" เธอรีบส่ายหน้า
"ฉันไม่ได้ต้องการเป็นผู้ที่ถูกเลือก!"
"กฎของการถูกเลือกก็คือ ไม่มีสิทธิเลือก ไม่มีสิทธิที่จะไม่ถูกเลือก"
"พวกคุณมันบ้า! พวกคุณมันบ้าไปแล้ว!" เธอเริ่มที่จะทุบตีเขาด้วยความรู้สึกโกรธ เสียใจ และหมดหนทางที่จะเลือก
"แล้วเธอจะเข้าใจทุกอย่าง" เขารวบตัวเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เขารู้สิว่าสิ่งที่ทำให้เธอเหมือนจะเสียสติอยู่ในตอนนี้ เพราะเธอกำลังนึกถึงครอบครัวตัวเอง และครอบครัวคนอื่นๆ ที่จะต้องไม่รอดชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งนี้
"ฉันไม่มีวันเข้าใจ! ไม่มีวัน!"
"กลับไปอ่านหนังสือสองเล่มนั้นซะ" คำพูดของเขาทำให้เธอหยุดชะงักการดิ้นรน มองหน้าเขาด้วยความรู้สึกสับสน
"หนังสือสองเล่มนั้น เกี่ยวข้องกับการมาที่นี่ของฉันด้วยใช่มั้ย?"
"ถ้าเข้าใจได้ง่ายแบบนี้ทุกเรื่องก็คงจะดี" เธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ ถอยห่างจากเขาด้วยความสับสน แค่เพียงนึกว่าจะได้ไปอ่านหนังสือสองเล่มนั้น...
ความรู้สึกเดียวกันในห้องสมุดก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม
"หน้าที่ของทีมก็คือพาให้มนุษย์ที่ถูกคัดเลือกอยู่รอด จนถึงวันที่โลกจะได้รับการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย และยิ่งกว่าการอยู่รอด ก็คือการสืบเผ่าพันธุ์"
"ยังไง"
"ไม่เคยเหรอ?" เขาว่าเชิงแกล้งพร้อมหรี่ตา จนเธอขมวดคิ้วแน่น
"เดี๋ยวนะ ฉันหมายถึงโลกจะปรับปรุงยังไงต่างหาก!"
"นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่เธอต้องรู้"
"หน้าที่ของฉันคือทำให้มนุษย์ที่ถูกคัดเลือกอยู่รอดอย่างนั้นเหรอ?"
"ก็ส่วนหนึ่ง" คำตอบของเขายังไม่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ
"แล้วมีส่วนไหนอีก?" เธอดึงให้เขาหันมาเผชิญหน้า รวดเร็วจนหน้าแทบจะประชิดกัน
นันทิยาผละออกเล็กน้อย หากแต่เขากลับใช้ฝ่ามือประคองต้นคอของเธอเอาไว้ พร้อมกันดันเข้าหาจนแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างสองใบหน้า
"สืบพันธุ์" ดวงตาใสเบิกโพลงขึ้น เมื่อคำตอบของเขาได้ประทับมาบนริมฝีปาก ความสากระคายจากเขามีกรุ่นความหอมละมุนเจืออยู่
ความอุ่นชื้นที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต รุกล้ำเข้ามาในโพลงปากอ่อนนุ่มที่เผยอออกจากกันด้วยความตกใจ หญิงสาวหลับตาปี๋ รับความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบมาให้ด้วยสมองที่ตื้อตัน
เรียวลิ้นหนากวัดแกว่งตักตวงทวงอะไรบางอย่างจนเธอเริ่มไม่แน่ใจ เขาพยายามถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างมาให้ มันดูโหยหา เรียกร้องจนเธอแทบจะยืนไม่อยู่ ลมหายใจที่เหมือนจะขาดห้วงทำให้เธอแทบจะกองลงไปกับพื้นเสียให้ได้
หากไม่ใช่เขาที่พยายามที่จะพยุงเธอเอาไว้ เธอได้ร่วงลงสู่พื้นแน่
โครก!! เสียงขัดจังหวะอันดังทำให้เธอรีบยันเขาออกจากตัวเองทันที
"หิวล่ะสิ" เขาผละริมฝีปากออกห่างจากเธออย่างอ้อยอิ่ง และยังไม่ยอมที่จะปลดปล่อยให้เธอได้เป็นอิสระ
"ปล่อยฉัน" เสียงแหบแห้งดังแทบจะไม่ได้ยิน จนเขาเผยรอยยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง นันทิยารีบเมินหน้าจากภาพนั้น เธอไม่อยากจะให้ความเป็นหญิงที่โผล่มาทุกทีที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ของเขา มาทำให้เธอโอนอ่อนไปกับเขาด้วย
"เดี๋ยวหาอะไรให้กิน" เขายกเธอไปวางไว้บนโซฟาสีทึบตรงมุมห้อง ซึ่งเธอก็ทรุดลงนั่งอย่างว่าง่าย นี่เขาจูบหรือดูดพลังจากเรากันแน่
"บางทีผมก็ขี้เกียจออกไปหาอะไรกิน ก็กินอยู่ในห้องนี้ตลอด" ว่าพลางค้นหาอะไรในตู้เย็น เธอเหลือบไปเห็นมุมนั้นที่เหมือนจะเป็นบาร์เตรียมอาหารเล็กๆ มีไมโครเวฟที่อยู่ในช่องบิ๊วท์อินอย่างกลมกลืน
"ชอบกินแซนด์วิชอยู่แล้วนี่ มีไส้ไส้กรอกพอดีจะได้อยู่ท้อง" เขาพูดไปเรื่อยเหมือนพูดกับตัวเอง แต่คนที่แอบมองเขาตรงๆ สังเกตเห็นความตั้งใจทุกอย่างก้าวของเขาได้
เขาดูใส่ใจและจำเกี่ยวกับเธอได้ทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่เธอยังไม่ได้คำตอบสินะ
"ทำไมนายรู้จักฉันเป็นอย่างดีขนาดนี้ ฉันอยากรู้" เขาไม่ได้หันกลับมามองตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองไป
"ผมอาจจะเป็นพวกโรคติดที่ตามติดชีวิตคุณอยู่ก็ได้ มีอะไรก็โพสต์ลงเฟสตลอดไม่ใช่เหรอ" เธอรู้ว่าเขาว่าไปนั่น แต่แท้ที่จริงมันไม่น่าจะใช่
"ฉันไม่เคยโพสต์ว่าชอบกินแซนด์วิช" เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มให้เหมือนคนโดนจับได้
"ว้า เป็นงั้นซะได้"
"ถ้าคุณไม่ยอมบอก ฉันจะไม่ให้ความร่วมมืออะไรกับคุณเลยสักอย่าง" เขายกสองมือชูขึ้นเหนือศีรษะเชิงล้อ
"อย่าขู่อะไรที่น่ากลัวขนาดนั้นเลย"
"ฉันไม่ได้ขู่ ฉันพูดจริงทำจริงแน่ และถ้ามีอะไรที่ฉันรู้ทีหลังแล้วมันไม่โอเค ฉันป่วนไม่หยุดแน่" เขาลดมือลงช้าๆ ความมืดดำเข้าครอบคลุมสองตาและสีหน้าของเขาฉับพลัน จนเธอแอบหวั่นอยู่ลึกๆ
ยามที่เขาดูโกรธมันแตกต่างจากตอนที่เขาใจดีเหมือนเป็นคนละคน และเธอก็ไม่ได้เก่งกล้าอะไรขนาดนั้น แต่จะยอมให้เขารู้ง่ายๆ ไม่ได้!
ติ๊ง! เสียงไมโครเวฟเรียกสติให้เขาหันไปหยิบแซนด์วิชออกมาให้เธอ ปล่อยให้หญิงสาวมองแผ่นหลังของเขาเก้อ และเดินหมุนตัวกลับไปนั่งอย่างสงบที่โซฟาต่อ
"กินซะจะได้มีแรงป่วน" นันทิยาตวัดสายตามองเขาพร้อมหยิบแซนด์วิชขึ้นมากัด เธอรู้ว่าเขาเยาะเย้ยถากถาง แต่ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดนี่จะคืออะไร เธอต้องใช้สติและสมองให้มากกว่านี้
"ขอบใจ" เมื่อเขาวางนมอุ่นๆ ให้อีกแก้ว เธอจำต้องรับมาจิบคู่แซนด์วิชอย่างแสนจะเอร็ดอร่อย
เขารู้อีกแล้วว่าเราชอบกินแซนด์วิชกับนมอุ่นๆ
"ที่ทำให้เพราะอยากให้ประทับใจ ไม่ใช่ให้สงสัย" เขาจ้องหน้าเธอด้วยความรู้สึกอะไรก็ไม่แน่ที่ซุกซ่อนอยู่
"ขอให้คุณรักษาคำพูดก็แล้วกัน"
"เรื่องที่ผมจะเอาคุณมาสืบพันธุ์น่ะเหรอ" เขาพูดขึ้นมาแบบหน้านิ่งๆ จนเธอแทบจะสำลักแซนด์วิช
"ไม่ใช่! หมายถึงที่คุณบอกว่าจะไม่มีวันทำร้ายฉันโน่นน่ะ!"
"ระวังเดี๋ยวก็ติดคอหรอก" เขายื่นน้ำให้ เมื่อเธอตะโกนใส่เขาจนต้องไอถี่ๆ เธอรับมาแต่โดยดีและรีบดื่มให้แซนด์วิชลงลำคอไป
"ฉันไม่ขอบใจนะ" เมื่อรอดพ้นจากการตายเพราะแซนด์วิช เธอก็ยังไม่หยุดตาเขียวใส่เขาผู้ที่เริ่มจะส่ายหัวให้
"ผมไม่มีวันทำร้ายคุณแน่ นั่นคือสิ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยน" เอาแล้ว...ใจดวงน้อยที่มีกลองชุดใหญ่อยู่ในนั้น เริ่มบรรเลงเพลงที่เธอไม่ชอบฟังดังขึ้น
"ก็ดี" เธอพยายามเบี่ยงเบนหัวใจตัวเองให้ออกห่างจากความรู้สึกบ้าๆ ด้วยการไม่มองหน้าเขา ส่งผลให้เธอไม่เห็นความกรุ้มกริ่มในแววตานั้น
