บท
ตั้งค่า

6

หญิงสาวเดินออกมาจากห้องสมุดอีกครั้ง หลังจากนั่งมองหน้าปกหนังสือสองเล่มที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดอ่าน

เธอเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ...

เธอรู้แต่เพียงว่ากำลังรู้สึกสับสน กับความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นในใจ มันทำให้เธอสะท้าน สั่นไหวและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน

"ไง ได้หนังสือที่ต้องการมั้ย" แล้วเธอก็แทบจะหวีดร้องอีกครั้ง เมื่อเสียงทักทายนั่นออกมาจากปากคนตัวใหญ่

ตาประสานตากะทันหันจนเธอเองต้องรีบหุบปากตัวเองพร้อมเม้มให้สนิท เหมือนเมื่อครู่เลย วูบไหวในแววตาสีฟ้าอมเทาของเขานั้น ช่างเหมือนเด็กหนุ่มเมื่อครู่ หากแต่วูบไหวนี้ฉายชัดในแววตามากกว่า

หรือว่า...

"ไม่เห็นหยิบออกมาสักเล่ม ไม่มีที่ถูกใจเลยเหรอ" เขามองเธออย่างค้นคว้า ตรงกันข้ามกับคำถามอย่างสิ้นเชิง

"มาหาฉันต้องการอะไร ฉันจะไปดูคนไข้ต่อ" เธอหลีกเลี่ยงเขารู้ พร้อมเดินนำหน้าไปอย่างคล้ายรีบเร่ง แต่มีหรือที่ช่วงขาที่สั้นกว่านั้นจะนำเขาไปไกลแค่ไหนได้

"เขาถอดท่อแล้ว ปลอดภัย หายห่วง" นันทิยาแสยะริมฝีปากทันทีได้ยินแบบนั้น พร้อมหันมาเผชิญหน้า

"หึ ห่วงเหรอ คำนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากคุณเลยนะ"

"ใช่ ผมแค่พูดแทนคุณ...เพราะคำพวกนี้ออกมาจากจิตใต้สำนึกคุณเลยล่ะ" ชาร์ล ล็อตส์ถอนหายใจออกมาบ้าง จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิท ที่เปล่งประกายความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อผู้อื่นเต็มไปหมด

"ฉันอยากรู้เกี่ยวกับที่นี่ ทั้งหมด" เขาพยักหน้าส่งให้ ก่อนเดินนำไปและเธอก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

เธอพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งแล้ว "ทุกคนรอที่จะทานอาหารพร้อมเธออยู่" เขาเอ่ยในสิ่งที่ทำให้เธอต้องชะงักขา

"ทุกคนบนเรือยอร์ชนี้งั้นเหรอ?"

"ไม่ใช่"

"แล้วทุกคนไหนล่ะ" เขาไม่ยอมตอบและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น จนเธอต้องเร่งตาม มุมปากหยักของริมฝีปากอวบอิ่มกร้านเล็กน้อยนั้น เผยรอยยิ้มพึงใจที่เธอไม่ทันได้เห็น

ห้องอาหารหรูหราประดับตกแต่งสวยงาม มองเห็นอยู่เบื้องหน้า หากแต่นันทิยากลับเลือกที่จะหยุดชะงักขาตัวเองลงดื้อๆ ส่งผลให้ผู้เดินนำหยุดชะงักตามไปด้วย

"มีอะไร" เขาไม่ได้หันกลับมาถาม แต่เธอก็พอจะเดาสีหน้าของเขาตอนนี้ออก

คงจะเรียบเฉย กวนอยู่ในทีดังเดิม

"ฉันอยากรู้เกี่ยวกับที่นี่ก่อนที่จะเข้าไป"

"เข้าไปแล้วก็จะรู้เอง" สวนกลับพร้อมหันมามองหน้าเธอฉับพลันเช่นกัน

"คุณรู้จักฉันมานานแค่ไหนแล้ว?" ถามออกจากความรู้สึกจริงๆ จนน้ำตาแทบจะรื้นไปทั้งความดำขลับ ความรื้นนั้นส่งผลให้ดวงตาเรียบเฉยแวววับขึ้นเพียงนิด ก่อนดับลงดังเดิม

"สำคัญขนาดนั้นเลย"

"ใช่! ฉันไม่ชอบความรู้สึกเสียเปรียบและถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวทุกประเภท" เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่กลับเดินเข้ามาใกล้จนแทบจะชิด หญิงสาวเชิดลำคอแข็งขึ้น แบบเหมือนจะไม่หวาดหวั่น

"ดื้อกว่าที่คิด" ลมหายใจของเขาราดรดอยู่แถวๆ จมูกโด่งเป็นสันพองามของเธอ แม้จะเริ่มหวั่นไหวแต่ความรู้สึกภายในกล้าแกร่งยิ่งกว่า

"ฉันดื้อได้มากกว่านี้แน่ ฉันไม่มีวันที่จะเป็นลูกไก่ในกำมือคุณ!" ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งเรือลำนี้ ขันเล็กน้อยจนเหมือนมีแสงสว่างเคลื่อนผ่านโลก ความดูดีนั้นส่งผลให้คนที่สูงเพียงแค่แถวเนินอกของเขา ต้องเมินดวงตาไปทางอื่น

เธอเบื่อความเป็นผู้หญิงข้อนี้...

เห็นผู้ชายดูดีเข้าหน่อยล่ะไม่ได้ ใจสั่นไหวระริกขึ้นมาล่ะทันที

เธอรู้ ว่าความเป็นผู้หญิงข้อนี้ของตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่เกิดขึ้นกับคนคนเดียวนี้ แทบจะทุกทีที่ได้เจอสิน่า!

"ผมไม่ให้คุณเป็นลูกไก่หรอก กำมือก็ด้วย คุณมีสิทธิที่จะได้อยู่ในที่ที่ใหญ่กว่านั้น" นั่นเป็นผลให้เธอถอยห่างจากเขาหนึ่งก้าว

"อ๊ะ!" ฝ่ามือใหญ่คว้าร่างที่ถอยไปให้กลับมาคืนที่ เกินกว่าที่เดิมด้วยการเข้าสู่อ้อมแขนกว้าง...

แผ่นหลังเรียวระหงไร้ไขมันส่วนเกิน ถูกเขาประคองด้วยมัดกล้ามจากอ้อมแขนแกร่ง ทรวงอกนุ่มหยุ่นเบียดชิดกับแผงอกที่มีขนรำไร

เธอแอบเห็น...

มันโผล่พ้นจากเสื้อตัวในของเขา ที่เหมือนจะเป็นเสื้อกล้ามแล้วทับด้วยแจ็คเก็ตหนังเอาไว้อีกที

บ้าไปแล้ว เธอยับยั้งความคิดของตัวเองด้วยการหลับตาปี๋!

"ซึ่งก็คืออ้อมแขนผม"

"ปล่อยฉันนะ!" เธอพยายามออกแรงดิ้น แต่เหมือนว่าอ้อมแขนของเขาจะคล้ายบ่วงดักสัตว์ ยิ่งดิ้นยิ่งรัดเข้า

"เข้าไปทานข้าวด้วยกันดีๆ เธอฉลาดเกินกว่าที่จะเอาแต่กรี๊ดๆ แล้วก็ดิ้นๆ เหมือนพวกผู้หญิงทั่วไปเขาทำกัน" คำพูดของเขาทำเอาเธอยิ้มพราย

"ไม่ดีเหรอ ฉันจะได้หมดคุณสมบัติที่จะได้อยู่ที่นี่สักทีไง"

"คิดว่าที่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะแค่สมบัติพวกนั้นหรือยังไง" สวนกลับแทบจะทันที พร้อมค่อยๆ ถอนลมหายใจเหมือนสงบสติอารมณ์ตัวเอง

นันทิยาเก็บข้อมูลใหม่ใส่สมองทันที เขาพยายามที่จะใจดีกับเธอเป็นพิเศษเท่านั้น...ความจริงแล้วเขาไม่ใช่!

"เข้าไปกันได้แล้ว" แล้วเขาก็คลายอ้อมแขน แต่รัดมือตัวเองเพื่อกอบกุมข้อมือของเธอเอาไว้ พร้อมออกแรงลากจูงเธอเข้าไปแบบไม่สนใจว่าจะเต็มใจหรือเปล่า

และทันทีที่สองร่างได้ปรากฏในห้องอาหารขนาดใหญ่ ผู้คนก็หยุดทุกกิจกรรมเพื่อมาทักทายต้อนรับอย่างนอบน้อม

ให้ตายเถอะ เธอไม่อยากจะแอบคิดว่าเหมือนเธอกับเขาเป็นราชินีหรือราชา เธอจะไม่มีวันคิดแบบนั้น!

"มากันแล้วเหรอ?" เสียงของหญิงสูงวัยที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางห้อง แววตาอบอุ่นอ่อนโยนที่เปล่งออกมาจากแววตาสีเทาเข้มทำให้เธอจำต้องทบทวนอะไรเกี่ยวกับการมาที่นี่ของตัวเองใหม่

"สวัสดีค่ะ" เธอทักทายเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมค้อมศีรษะให้

"ตามสบาย ฉันเตรียมอาหารส่วนของพวกเธอเอาไว้ให้แล้ว" นันทิยามองตามการเชื้อเชิญนั้น ก็พบว่าโต๊ะอาหารขนาดยาวในมุมที่จัดไว้เป็นพิเศษ มีผู้คนนั่งรออยู่ด้วยแววตาเป็นมิตร คนหลากเชื้อชาติ...หนึ่งในนั้นมีอัครพงศ์รวมอยู่ เขาหันมาสบตากับเธอเล็กน้อยก่อนทำเป็นเมินหนี

เธอไม่ได้เจอเขาอีกตั้งแต่ช่วยชีวิตคนไว้ตั้งแต่ช่วงเช้า

"เธอชื่อแอนนา เป็นคนที่เลี้ยงฉันมา" เขาบอกกล่าวให้ฟังขณะพาเธอเดินไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่สองที่ เขานั่งหัวโต๊ะส่วนเธอนั่งติดกับเขาที่ปีกขวา

"แค่เลี้ยง ไม่ได้คลอดด้วยใช่มั้ย" จงใจกวนเขาไปอย่างนั้น

"ถ้าคลอดด้วยก็เรียกแม่แล้วสิ" เขารู้แต่แค่อยากจะให้ได้สมใจเธอไปอย่างนั้น แล้วเธอก็ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเลื่อนให้อย่างสุภาพบุรุษ แล้วนันทิยาก็ได้สบตากับดวงตาคู่หนึ่งที่ยืนตักอาหารอยู่อีกมุมห่างออกไป

เด็กคนนั้น?

"รู้จักเหรอ" เขาผู้มองตามถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายจะขุ่น แต่ก็มีความรู้สึกอื่นเจืออยู่ด้วย

"ฉันเจอเขาที่ห้องสมุด"

"แน่ล่ะ ชีวิตมันไปไหนไม่ได้นอกจากห้องนั้น" ช้อนในมือถูกวางลงพร้อมหันไปมองหน้าเขาอย่างเต็มตา

"เขาเป็นใคร เกี่ยวข้องกับคุณยังไง"

"หัวไวฉันชอบ"

"บอกฉันมา"

"ทำไม ไม่บอกจะเอาส้อมมาทิ่มคอเหรอ" พูดเหมือนไม่ใส่ใจและจิ้มอาหารเข้าปากตัวเอง แบบกวนๆ ตามแบบฉบับ

"อย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ" เขาสิ่งยิ้มกว้างให้กับเธออีกแล้ว นั่นเป็นผลให้หัวใจดวงน้อยของเธอพากันตีกลองระรัว เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง

หยุดแรดก่อน!

"สวัสดีทุกคน ขอบคุณที่ให้เกียรติมาในค่ำนี้ ผมมีคนที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ" เขาเข้าเรื่องแบบนั้น ทำให้เธอคาดคั้นอะไรต่อไม่ได้

"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ" หนึ่งในทีมลุกขึ้นตามเขา พร้อมกล่าวตอบรับและทุกคนก็ยืนขึ้นตามๆ กัน

นันทิยาถอนหายใจเชิงหน่าย ก่อนลุกขึ้นตามบ้าง

เธอไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่ตัวเองตกเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่ฝ่ายเดียว!

"นี่คือนันทิยาหรือนี้ด พยาบาลที่จะมาร่วมทีมกับเรา" เธอหันขวับคล้ายจะเอ่ยปากถาม แต่แล้วก็ต้องเม้มแน่น แน่สิ...เขาจะไม่รู้จักชื่อเล่นเราได้ยังไง

"ยินดีต้อนรับครับ" แล้วทุกคนก็แนะนำตัวเองกันอย่างเป็นมิตร เธอทำได้เพียงยิ้มรับอย่างเป็นมารยาท โดยที่ไม่รู้เลยว่า ทีมที่ว่า...ก็ทีมอะไร

ความงวยงงฉายชัดในใบหน้า มีสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างไม่เข้าใจไม่ต่าง แต่ไม่มีใครเปิดโอกาสให้เธอได้ทำความรู้จักอย่างจริงแท้ เธอไม่อยากจะฟังคำโอภาปราศรัยที่ทำเป็นพิธีรี ตรองอะไรนี่สักเท่าไหร่ และพยายามจะมองหาสายตาสีฟ้าคู่นั้น...

"ไม่หิวเหรอ" ถามไปอย่างนั้น ก่อนที่จะชิงตักอาหารใส่จานให้อย่างเหมือนจะเป็นสุภาพบุรุษ

"ฉันจะไม่ยอมกินอะไรจนกว่าฉันจะได้รู้ทุกอย่าง"

"ว้าว...จะทำการประท้วงงั้นหรือ" เขายังไม่ยอมหยุดที่จะตักอาหารใส่จานให้ เธอเหลือบมองอาหารทุกชนิดที่เขาเลือกมาแล้วต้องลอบกลืนน้ำลายแบบไม่ให้เขารู้ นี่มันอาหารโปรดเราทั้งนั้นเลยนี่

"ทีมอะไร ร่วมทีมประสาอะไร ฉันไม่รู้เลยว่าคือทีมอะไรกันแน่"

"สหวิชาชีพ" เขาตอบออกมาตรงๆ แบบไม่โยกโย้เป็นครั้งแรก จนเธอต้องชะงักครุ่นคิด

"เดาไม่ได้หลังจากที่เขาแนะนำตัวกันเลยรึ" เขาพูดเหมือนผิดหวัง แต่เป็นการผิดหวังที่กวนสิ้นดี ตามประสาเขานั่นแหละ

"เพื่ออะไร ทำไมต้องมีทุกอาชีพบนเรือลำนี้"

"ประเทศคุณไม่มีทุกอาชีพรึ" เหมือนจะเริ่มเข้าใจแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด

"แล้วเรือลำนี้ มีไปเพื่ออะไร แล้วจะไปที่ไหน ทำไมถึงไม่มีหน้าต่างมองทิวทัศน์ด้านนอกเลย" ถามเชิงจริงจังบ้าง จนเขาต้องชะงักช้อนที่จะส่งอาหารเข้าริมฝีปาก

"อยากเห็นทิวทัศน์เหรอ"

"ไม่ มันคือความสงสัยว่าทำไมไม่เห็น" เธอคาดคั้นจนเขาต้องรีบยัดอาหารเข้าปากตัวเอง เพื่อเลี่ยงที่จะตอบ

"ถ้าคุณไม่บอกดีๆ ฉันจะไปหาคำตอบเอง"

"ถ้าอยากเห็นจะพาไปดู ทิวทัศน์น่ะ" เขาคว้าข้อมือเธอให้นั่งลงที่เดิน พร้อมหันไปมองคนอื่นๆ เชิงบอกว่าไม่มีอะไร

โชคดีที่ห้องอาหารมีการเปิดเพลงคลอและเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ ทำให้ไม่มีใครได้ล่วงรู้บทสนทนาของคนทั้งสอง

"ก็ไปกันเลยสิ" อย่างน้อยกำขี้ก็ดีกว่ากำตด ถ้าเขาไม่บอกตรงๆ เธอก็จะรู้อ้อมๆ แล้วเลือกที่จะตีความเอาก็ได้

"อย่ามาท้องร้องให้ได้ยินทีหลังก็แล้วกัน" แล้วเขาก็ยืนขึ้นพร้อมที่มีเธอติดมือไปด้วย ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามในสิ่งที่เขาทำ ได้เพียงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารไปเท่านั้น มีเพียงอัครพงศ์ ที่แอบมองตามไปด้วยความรู้สึกเคืองขุ่น

เขาทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนี้ เพราะเขาเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเอง

"นายขี้แพ้กว่าที่ฉันคิดอีกนะ" ลาเบลผู้นั่งรับประทานอาหารเงียบๆ เฉกเช่นเขา ว่าเชิงเยาะก่อนส่ายหน้า รวบช้อนบอกสัญญาณการอิ่ม

"เพราะฉันไม่ชอบที่จะหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนเธอล่ะมั้ง"

"เรียกฉันว่าผู้มีสิทธิชนะเถอะ" แล้วเธอก็ลุกออกจากโต๊ะไปบ้าง ปล่อยให้เขานั่งนิ่งไม่แตะต้องอาหารต่อแล้วเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel