5
นันทิยาเดินมาถึงห้องพักส่วนตัวที่ได้รับการจัดเตรียมเอาไว้ให้ ชั้นนี้ทั้งชั้นดูเหมือนจะเป็นโซนพิเศษ ที่เธอไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้เป็นคนพิเศษของสถานที่แห่งนี้
สถานที่...ที่เธอไม่รู้เลยว่า คือที่ไหน?
ห้องนอนสีขาวดูโปร่งและโล่ง หากแต่ก็มีการตกแต่งเอาไว้พองาม เหมือนโรงแรมราคากลางๆ ในย่านต่างจังหวัด กลิ่นหอมละมุนที่โชยมาต้อนรับ ไม่ได้ทำให้เธอไว้วางใจสิ่งใดอื่น
เธอดูแลคนไข้จนแน่ใจว่าเขาดีขึ้น แม้จะยังไม่ได้รับการถอดเครื่องช่วยหายใจในทันที แม้จะรู้ว่าคือสถานการณ์ที่เขาสร้างขึ้น แต่คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกลับไม่รู้เรื่องอะไร นันทิยาคิดว่าตัวเองคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ เธอต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด
"ในเรือนี้ไม่มีพยาบาลเลย มีหมอหนึ่งคน และผู้ช่วยพยาบาลหนึ่งคน และคนไข้ส่วนใหญ่ก็มีแต่เจ็บป่วยเล็กน้อย" เธอพึมพำลำพัง พร้อมหยิบกระดาษขึ้นมาคำนวณแผนผังความคิด
"เรือ? ถ้าที่นี่คือเรือก็ต้องลอยอยู่กลางทะเลสิ แต่ทำไมมองไปทางไหนก็ไม่มีหน้าต่างที่ทำให้เห็นบรรยากาศข้างนอกได้เลย" คนฉลาดและความคิดแล่นผ่านรวดเร็ว วิ่งไปยังผ้าม่านสีทึบสนิท
"ม่านประดับแค่นั้นน่ะหรือ?" คำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจนี้ ทำให้เธอเดินค้นทั่วห้อง ในสิ่งที่พอจะให้คำตอบตัวเองได้
แต่แล้วสองมือก็ต้องชะงัก เมื่อได้พบกับเสื้อผ้าสไตล์ที่ตัวเองชอบเรียงรายอยู่เต็มตู้
ไม่ใช่แค่นั้น...รวมไปถึงเสื้อผ้าที่เธอเคยอยากได้ด้วย ?
"นี่มันอะไรกัน?" หญิงสาวรีบปิดตู้เสื้อผ้า เดินไปยังโต๊ะที่เหมือนจะไว้ให้พักผ่อน มีกระดาษปากกาวางเรียงเอาไว้เหมือนโต๊ะที่บ้านของเธอไม่มีผิด
เธอชอบอ่านหนังสือและจดบันทึกความรู้ใหม่ๆ ที่ได้รู้อยู่เสมอ และนี่คือสิ่งที่เขาทำไว้เพื่อต้อนรับเธออย่างนั้นน่ะหรือ?
"เขาไม่ได้แค่รู้จักเราธรรมดา" สองเท้าไวกว่าความคิด นันทิยาแทบจะสิ่งออกจากห้อง มุ่งหน้าไปหา 'เขา' เพื่อที่พูดคุยบางอย่าง
ใช่ เธอจะต้องรู้ตอนนี้ว่าเขารู้จักเธอดีแค่ไหนและพาเธอมาที่นี่เพื่ออะไร
แต่ระหว่างทางเดินที่แสนจะซับซ้อนนั้น เธอต้องระวังตัวให้มาก
แม้สองเท้าจะไวแค่ไหน สองตากลับไวยิ่งกว่า... ห้องฝั่งมุมซ้ายมือเมื่อครู่สะดุดสายตาของเธอด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่
'Library' เสียงเรียกร้องของหัวใจสั่งให้เธอซ้ายหัน เดินไปยังห้องนั้นทันที ดวงตาใสเป็นประกายราวกับชายหนุ่มเจอสาวที่ถูกใจ
"ไม่มีคำตอบไหนดีเท่าคำตอบจากหนังสือหรอก" เธอพึมพำให้กับตัวเองในขณะที่กำลังมุ่งหน้า
หนังสือคือผู้บันทึก หนังสือคือผู้เก็บข้อมูลดีๆ หนังสือคือผู้เก็บความลับบางอย่างเอาไว้ นันทิยาศรัทธาในหนังสือและคิดว่าหนังสือในห้องนี้ น่าจะช่วยอะไรเธอได้มากโขอยู่
อย่างน้อยก็คำตอบสำหรับคำถามซ้ำๆ ในหัวของตัวเองที่วิ่งอยู่นี้
ผ่าง! ความใจร้อนทำให้เธอออกแรงผลักประตู เท่ากับความแรงของความคิดที่ต้องการจะรู้ทุกอย่างโดยด่วน
ลมเบาๆ ปะทะหน้า เผยภาพชั้นหนังสือที่มีหนังสือทุกประเภทเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผู้คนสองสามคนที่กำลังมีสมาธิกับหนังสือในมือตัวเอง หันมามองหน้าเธออย่างพร้อมเพรียงกัน นั่นก็มากพอแล้วสำหรับการเรียกสติและสงบอารมณ์ของนันทิยา
เธอโค้งศีรษะลงเชิงขอโทษ ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปยังชั้นหนังสือช้าๆ
สายตากวาดมองหาหมวดประวัติศาสตร์ ที่พอจะมีที่มาที่ไปของที่นี่ให้ได้อ่านอยู่บ้าง
เหมือนมีแสงบางอย่างเปล่งประกายออกมาจากหนังสือทุกเล่ม จนทำให้คนที่คลั่งไคล้การอ่านอย่างเธอ ใจเย็นลงได้
น่าอ่านทุกเล่มเลย โอดครวญอยู่ในใจ เมื่อหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในห้องนี้ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษที่เธอชอบอ่าน แค่นั้นยังไม่พอ หน้าปกหนาเคลือบเป็นมันด้านแทบจะทุกเล่มนั้น ช่างน่าดึงดูดให้เข้าไปสัมผัส นันทิยาเป็นหนึ่งในนักลัทธิหนังสือนิยม คนในกลุ่มลัทธินี้จะรู้ดีว่า...เนื้อสัมผัสของปกหนังสือ ทรงอิทธิพลต่อผู้อ่านเพียงใด
"มนุษย์ผู้สืบทอด" ตัวหนังสือที่โดดเด่นบนเล่มหนังสือที่เหมือนจะเก่าแก่เล่มหนึ่ง ดึงดูดให้เธอเดินเข้าไปหา ปกสีแดงเข้มที่ค่อนไปทางเริ่มจะซีด ยังคงดูดีเหมือนได้รับการปฏิบัติอย่างถนอม
มือเรียวบางเอื้อมไปหยิบมันมาไว้ในมือด้วยความรู้สึกใจสั่นอย่างประหลาด
เธอไม่เคยสนใจอะไรเทือกนี้ นี่ไม่ใช่ปรัชญาหรือกรอบความรู้ที่เธอใคร่จะสนใจมาก่อน
"ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์" หนังสืออีกเล่มที่ขนาดเท่ากัน ส่งแสงสว่างวาบมาให้เธอต้องหันไปมอง
ปกสีดำเมื่อมมีข้อความนั้นพาดตัวอักษรใหญ่เอาไว้อยู่ นันทิยากลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เมื่อเริ่มรู้สึกว่าลำคอของตัวเองอยู่ๆ ก็แห้งผากขึ้นมาดื้อๆ
เธอตัดสินใจหยิบมันแล้วเดินมุ่งมั่น ไปหาที่นั่งเหมาะๆ และไม่ลืมที่จะมองไปโดยรอบห้องสมุด สังเกตผู้คนที่มาอยู่ที่นี่
...สายตาคู่หนึ่งที่เหมือนจะมองอยู่ก่อน หลบวูบทันทีที่เธอมองไปยังทางด้านนั้น...
แอบมองเรางั้นสิ ชายผู้นั้นใส่เสื้อยืดสีขาวและเสื้อคลุมสีดำมีหมวกฮู้ดที่เขาไม่ได้สวมใส่ ประเมินจากหน้าตาเขาดูน่าจะอายุไม่เกิน 20 ปีเลยมั้ง
นันทิยาทำทีเป็นก้มมองหนังสือ แต่ใช้หางตาแอบมองปฏิกิริยาของเขาอยู่
สายตาที่หลบไปเมื่อครู่ ค่อยๆ ช้อนมองเธอช้าๆ ท่าทีของเขาแลดูเหมือนอึดอัดและในขณะเดียวกันก็เหมือนกระหายใคร่รู้อะไรบางอย่าง
ไม่สิ...เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างมากกว่า
"อ๊ะ..." คนที่รู้ว่าถูกแอบมอง ตั้งใจจะหันไปแล้วถามให้รู้เรื่อง หากแต่เขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นในหางตาของเธอเมื่อกี้ ได้หายไปแล้ว!
"เป็นไปได้ยังไง" เสียงของห้องเงียบงันลง เมื่อในบริเวณที่เธอนั่งอยู่ไม่มีผู้ใดให้ได้เห็น คนที่เธอเห็นตั้งแต่แรกส่วนใหญ่ก็พอกันนั่งอยู่โซนหน้า
"ว้าย!..." เสียงกรีดร้องเชิงตกใจแทบจะหวีดออกไป หากเขาไม่เอามือปิดเอาไว้ก่อน
"ห้ามใช้เสียง" สำเนียงอังกฤษชัดของหนุ่มน้อยหน้าฝรั่งจ๋า ทำเอาเธอต้องสงบสติอารมณ์ให้มั่นคง
ใจเกือบวาย เธอช้อนสายตาขึ้นสบกับคนที่ปิดปากเธอเอาไว้แน่นจากทางด้านหลัง และเขาก็ก้มหน้ามามองเธออย่างเต็มตาไม่แพ้ แววหนึ่งในวูบไหวของดวงตาสีฟ้าชัดนั่น เหมือนใครคนหนึ่งจนเธอไม่แน่ใจ
"ถ้าผมปล่อย พี่จะไม่ร้องแน่นะ" เธอรีบพยักหน้าให้ จนเขาค่อยๆ คลายมือจนเธอเป็นอิสระ
นันทิยากะพริบตาขับไล่ความรู้สึกตกใจเมื่อครู่ให้คืนสู่ปกติ "ผมชื่อชิลเล็ตส์ ลอสต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ" รอยยิ้มสดใสของเขา ขับให้ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นจนไม่เหลือบคราบของวูบแววตาก่อนหน้าให้เธอได้เห็น
"ฉันชื่อนี้ด" ตอบแบบไม่ได้รู้สึกไว้วางใจเท่าไหร่ แม้หนุ่มรุ่นน้องจะแสดงสีหน้าและแววตาเป็นมิตรเพียงไหนก็ตาม
"Needs ? ที่แปลว่าจำเป็นใช่มั้ย"
"นี้ดในภาษาไทย ไม่มีความหมาย" รีบสวนกลับทันที เธอไม่อยากจะเป็นสิ่งจำเป็นของใครหรือที่ไหนก็ตามแต่ คำอธิบายก่อนหน้าของผู้ชายคนนั้นผุดขึ้นมาในหัว
ใช่...ในความหมายของเขานั้น เธอคือสิ่งจำเป็นที่ต้องเป็นเธอเท่านั้น ซึ่งเธอไม่ได้ภูมิใจหรือต้องการตามไปด้วยเลย
"โอเค ผมเห็นพี่หยิบหนังสือสองเล่มนี้มาด้วย ชอบอ่านแนวนี้เหรอ?" นันทิยารีบส่ายหัวและคว้าหนังสือที่ตัวเองเลือกกลับมา จากมือเขา
"ฉันต้องการสมาธิ นายไปหาที่อ่านไกลๆ ไป" รีบออกปากไล่แบบรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่ได้คุยกับคนอย่างเขา
"ผมรู้เยอะนะ พี่อยากรู้อะไรถามผมได้นะ..."
"รู้จักฉันด้วยรึเปล่า" สมองพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา คนที่นี่ทั้งหมดอาจจะรู้จักเธออย่างดีแล้วก็ได้
นันทิยาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ เขาความรู้สึกที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขา แล้วเขารู้เกี่ยวกับเราหมด คงจะจริงอย่างที่เขาบอก 'รู้เขารู้เรา' เธอไม่อยากรู้สึกเสียเปรียบทุกกรณี!
"คนที่อยู่ที่นี่ ทุกคนแทบจะไม่รู้จักกัน" ดวงตาดำขลับชะงัก จริงหรือ?
"ทุกคนมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ไม่ทุกคนหรอก" เขาพูดเรียบๆ พร้อมหยิบหนังสือเล่มสีดำที่วางอยู่ตรงหน้าเธอ ไปเพ่งพิจอยู่ชั่วครู่
"ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกผมอายุได้แค่ 10 ขวบ พี่รู้มั้ยว่าผมรู้สึกยังไง..." นันทิยากลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง เธออยากจะเปิดอ่านเหมือนกันแหละ แต่ความกลัวที่จะต้องไปรับรู้อะไรบางอย่าง ทำให้เธอลังเลแล้วในตอนนี้ แม้จะต้องรู้จากปากคนอย่างเขาก่อนที่จะได้อ่านก็ตาม
"ยังไง" แต่แล้วเธอก็หักห้ามความใคร่กระหายอยากที่จะรู้ของมนุษย์ให้หลุดออกไปไม่ได้
"มันคือนิทานที่ว้าวมาก มันทำให้ผมกลัวการนอนหลับ และนอนไม่ได้ไปอีกหลายคืนเลย" สีของหน้าปกก็พอจะคาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องมันคงจะไม่ใช่นิทานอีสป ที่เจ้าชายต้องคู่กับเจ้าหญิงแน่ๆ
"แล้วมาอ่านอีกทีตอนอายุเท่าไหร่" ชิลเล็ตส์เอียงคอ พร้อมหัวเราะร่วนออกมาเบาๆ จนเธอต้องบีบแขนเขาเชิงห้าม พร้อมมองไปโดยรอบ เพราะกลัวจะถูกสายตาตำหนิมองมาเข้าน่ะสิ
"พี่รู้ได้ยังไง ว่าผมจะมาเปิดอ่านมันอีกครั้ง"
"ก็นายบอกตั้งแต่แรกว่าครั้งแรก แสดงว่ามันจะต้องมีครั้งที่สอง" หนุ่มน้อยพยักหน้าพร้อมทำท่าปรบมือแปะๆ ให้แบบไม่มีเสียง แต่เธอไม่ได้มีวี่แววว่าจะขำไปด้วยเลยสักนิด
"สมกับที่เป็น..." เขาพยักหน้าพร้อมพูด ก่อนที่จะหยุดและเลือกที่จะไม่พูดต่อ
"เป็นอะไร?"
"ผมเปิดอ่านมันอีกครั้งตอนอายุ 13" เขาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง แต่แววตาประกายสดใสเมื่อครู่อ่อนแสงลงจนเกือบจะเรียบเฉย นั่นคือเหตุผลที่เธอไม่ได้คิดจะคะยั้นคะยอเอาคำตอบจากคำถามก่อนหน้า
"ตอนนั้นนายรู้สึกยังไง" เขาสบตากับเธอตรงๆ เหมือนจะบอกเล่าความรู้สึกจริงแท้
"รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่นิทาน เพราะมันเหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ" นันทิยาหรี่ตามองหน้าปกสีดำเมื่อมนั้นอย่างรู้สึกไม่ไว้วางใจ
เธอรู้ว่าจะมีวันที่สิ้นสุดยุคของมนุษย์ แต่เธอเองก็เคยเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในตอนที่เธอน่าจะลาโลกนี้ไปแล้ว
"ให้เดาว่านายคงจะต้องกลับมาอ่านมันอีกครั้งหลังจากนั้นด้วย" เจ้าของแววตาสีฟ้าคู่นั้นส่ายหัวให้เธอช้าๆ
"ทำไมล่ะ"
"เพราะผมมาเจอหนังสือเล่มนี้เข้าซะก่อน" เขาเลื่อนหนังสือหน้าปกสีแดงช้ำที่เก่าแล้วนั้น ให้มาอยู่ตรงหน้าเธอแบบตรงๆ
"ตอนอายุเท่าไหร่"
"สิบสี่" นันทิยาหายใจแรงขึ้น เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าหนังสือจะให้คำตอบที่เธอต้องการได้จริงๆ หรือเปล่า
"รู้สึกยังไง"
"ต้องอ่านอีกสักหลายๆ รอบ" แล้วเขาก็เคลื่อนไปวางตรงหน้าตัวเอง และจดจ้องมันด้วยแววตาเชิงผิดหวัง
"แล้วอ่านรอบล่าสุดไปเมื่อไหร่" เหมือนกลั้นใจถามมากกว่า... เธออยากรู้พอๆ กับไม่อยาก ทั้งๆ ที่เริ่มจะเดาอะไรหลายๆ อย่างออก
"เมื่อวาน"
"นายอยากให้ฉันอ่านหรือไม่อยากให้อ่าน บอกมาตรงๆ เถอะ" โพล่งออกมาในที่สุด เมื่อความอึดอัดจากแววตาเขาถ่ายทอดมาถึงตัวได้
"อยากสิ ผมรอให้พี่มาอ่านมาตลอด" หญิงสาวหรี่ตาเชิงไม่เข้าใจ
"ฉันเริ่มจะงงแล้ว"
"ถ้าพี่อ่านแล้ว พี่จะเข้าใจ"
"ก่อนอื่น นายรู้จักฉันมาก่อนอย่างนั้นใช่มั้ย?" นันทิยาพยายามรวบรวมสติไม่ให้อินไปกับสีหน้าและท่าทางของเขา
"ไม่เชิง ไม่เชิงหรอก"
"เดี๋ยวก่อน! เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ!" เธอลืมตัวไปเสียได้ ลุกขึ้นยืนตะโกนตามการเดินจากไปของเขาด้วยความรู้สึกสับสนไปหมด สายตาหลายคู่มองมาอย่างตำหนิจนเธอต้องโค้งศีรษะให้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...
เธอกำลังไม่เข้าใจความรู้สึกภายในของตัวเอง ที่เกิดขึ้นอย่างปั่นป่วน
มันเหมือนคุ้นเคย มันเหมือนเคยเกิดขึ้น หากแต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน เมื่อไหร่ เธอจำไม่ได้ด้วย!
