4
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!"
เสียงตะโกนโหวกเหวกตามมาด้วยเสียงของหล่นเกลื่อนพื้น ส่งผลให้สติดิ่งลึกของคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ได้ลืมตาขึ้น!
"ตามหมอให้ที! ตามหมอให้หน่อยใครก็ได้!" เสียงตกใจนั้นกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นร่ำไห้ นันทิยากระโดดลงจากเตียงมาตั้งแต่ตอนไหนเธอเองก็ยังไม่ทราบ มีเพียงสองเท้าเท่านั้นที่ดูจะเป็นนายอวัยวะทุกส่วนบนร่างกาย
"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!" ภาพที่เธอวิ่งมาพบก็คือ ชายร่างใหญ่กำลังนอนหมดสติอยู่กับพื้น และมีผู้หญิงกำลังนั่งกอดร่างเขาอยู่ด้วยสภาพที่ไร้สติ
"ขอพื้นที่ด้วยค่ะ ฉันเป็นพยาบาล" เสียงของเธอทำเอาทุกคนในที่นั้นแหวกทางให้
เธอยังไม่รู้หรอกว่าที่นี่คือที่ไหน เธอต้องมาทำอะไรที่นี่
แต่ ณ ตอนนี้ เวลานี้ เธอต้องช่วยชีวิตคนก่อน เส้นเลือดใหญ่บริเวณต้นคอที่บอกสัญญาณชีพของมนุษย์ได้ชัดที่สุด ถูกสองนิ้วเรียวยาวทาบลงไป สองตาประเมินทรวงอกที่เหมือนจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ แล้ว
"ช่วยสามีดิฉันด้วยนะคะ"
"คนไข้ไม่มีชีพจร ฝากตามหมอด่วน ให้ลาเบลเอารถ Emergency และเครื่อง AED มาด้วย!" เธอไม่รู้หรอกว่าที่นี่มีเครื่องมือเหล่านี้หรือเปล่า แต่ดูจากห้องพยาบาลที่ไม่ธรรมดานั่น น่าจะต้องมีเครื่องมือสำคัญพวกนี้อยู่แล้ว
สองมือที่รู้งานไม่ชักช้า สัญชาตญาณการช่วยเหลือที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณ นำพาให้มันประสานกันบนหน้าอกของผู้ป่วย ในส่วนของกระดูกอกที่เป็นตำแหน่งสำคัญในการช่วยฟื้นคืนชีพ มือขวาออกแรงกดให้มือซ้ายยุบลงไปตามแนวกระดูกหน้าอก ที่เป็นกระดูกอ่อนส่วนกลางแบบไม่รีรออะไรต่อไปแล้ว
สายตามองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างมีความหวัง ลาเบลวิ่งพร้อมลากสิ่งที่เธอต้องการมาแล้ว
"มีใคร CPR เป็นมั้ยคะ?" เธอตะโกนถามเหล่าผู้คนที่ยืนลุ้นอย่างตื่นเต้น เธอเองก็ไม่คาดคิดว่าสถานที่แห่งนี้ จะมีผู้คนหลากชาติพันธุ์มารวมกันอยู่
"ลาเบลเตรียมอุปกรณ์ใส่ท่อด่วน ตามหมอได้หรือยัง" เธอคิด พูดแล้วก็ลงมือทำไปพร้อมๆ กัน โชคดีที่การออกกำลังกายสม่ำเสมอนี้ ทำให้เธอไม่เหนื่อยหอบไปเสียก่อน
"หมอกำลังมา" ลาเบลไม่ได้แสดงความตื่นเต้นใดๆ แถมยังเตรียมอุปกรณ์สอดท่ออย่างใจเย็น
"มีใครบีบ Ambu เป็นบ้างมั้ย เราต้องเตรียมเปิดเส้นเพื่อให้ยาคนไข้" ลาเบลถือ Ambubag มาทันทีเพื่อช่วย แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนยกมือขึ้นมาแต่สีหน้ามีความหวาดหวั่น
"ฉันพอจะทำ CPR ได้ค่ะ"
"งั้นรีบมาเลยค่ะ" เธอรีบหลีกทางให้และเตรียมที่จะเปิดเส้นเลือดสำหรับให้ยาและสารน้ำทันที โชคดีที่รถฉุกเฉินของที่นี่มีมาตรฐานเดียวกับที่เธอเคยคุ้นเคยมา
เมื่อนายแพทย์ได้มาถึง การดำเนินช่วยชีวิตเต็มรูปแบบก็ได้เริ่มต้นขึ้น นันทิยาเริ่มให้ยาอะดรีนาลีน (Adrenaline) ทุก 4 นาทีตามแบบแผนสากล แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจสำเร็จ เครื่องช่วยหายใจที่เธอเฝ้าถามตัวเองในใจว่าที่นี่จะมีหรือเปล่า ถูกเข็นมาเหมือนรู้งาน
"มีชีพจรแล้วค่ะ" นันทิยารายงานแพทย์เมื่อครบเวลา โชคดีที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่ได้ผิดปกติจนต้องช็อกและให้ยาที่ซับซ้อนขึ้น เธอวัดความดันโลหิตต่ออย่างคล่องแคล่ว ประสบการณ์การเป็นพยาบาลหอผู้ป่วยใน ห้องไอซียู และแผนกผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินบางโอกาส ทำให้เธอจัดการทุกอย่างได้ดีแบบแทบจะไม่มีที่ติ
ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนในพื้นที่นี้ อยู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือเชิงก้องดังมาจากหน้าประตู จนเธอผู้ที่กำลังช่วยนายแพทย์ปรับโหมดเครื่องช่วยหายใจ แบบลืมไปเลยว่าเคยมีความหลังอย่างไรต่อกัน ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
"ท่านผู้นำ" ทุกคนทั่วบริเวณพูดขึ้นพร้อมกัน พร้อมหลีกทางให้
ร่างสูงใหญ่ที่มีแววตาสีฟ้าอมเทาประดับโดดเด่นมองมาที่เธอตรงๆ จนเธอต้องถอนหายใจเชิงหน่าย เพิ่งจะหายเหนื่อยไปแท้ๆ ยังต้องมาเหนื่อยต่อกับเขาอีกงั้นหรือ
แน่ล่ะ... เขาต้องนำเรื่องเหนื่อยมาให้แน่ๆ เหนื่อยใจไง
"เยี่ยม ทำได้เยี่ยม" คำกล่าวชมนั้นทำให้หัวคิ้วเรียวได้รูปย่นเข้าหากันเชิงปรึกษา
"หมายความว่ายังไง"
"ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกหรือ?" เขาย่นคิ้วเชิงล้อกลับบ้าง จนเธอหน้างอหนักเข้า อัครพงศ์มองตามปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ ด้วยความรู้สึกที่ใครก็อ่านได้อย่างไม่ยาก
"นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมากวนอารมณ์ฉัน"
"มาให้คำตอบต่างหากล่ะ" คิ้วเรียงเส้นสวยขมวดแน่นเข้ากว่าเดิม เพราะยิ่งเขาพูดเธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ
"ผมขอตัวก่อนนะครับ" วางมือจากเครื่องช่วยหายใจ ก็เดินจากไปด้วยความเงียบขรึม
นันทิยามองตามเขาไปด้วยสายตาตั้งคำถาม ตั้งแต่ตอนช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว เธอไม่เห็นแววตาของความกระหายใคร่อยาก ที่จะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นหรือกลับมามีชีพจรสักเท่าไหร่
เขาทำเต็มที่แต่เหมือนฝืนใจ...หรือมีอะไรบางอย่างในใจมากกว่า
"ไม่อยากรู้แล้วงั้นซิ" ดักคอขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่น ทันทีที่เธอเบี่ยงสายตาขึ้นมาสบกับเขาได้ ความขุ่นเคืองชัดของแววตาเขานั้น ทำเอาเธอใจสั่นขึ้นมาอย่างประหลาด
มันคืออิทธิพลที่ไม่กล้าให้ชื่อเรียก ไม่กล้าที่จะกักเก็บมาทบทวนต่อ...มันดูมีพลังและดึงดูดไปพร้อมๆ กัน
บ้าอีกแล้ว
"ก็พูดมาสิ"
"อยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมต้องเป็นเธอ..." แววตาใสกะพริบ ความดำขลับฉายเงาของความล่วงรู้อะไรบางอย่าง
"อย่าบอกนะ ว่านี่คือสถานการณ์จำลองที่คุณสร้างขึ้นเพื่อให้ฉันได้เข้าใจ" ถามด้วยความตกใจ พร้อมหันมองไปโดยรอบ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้แล้ว คนไข้ถูกทีมเข็นไปยังห้องไอซียูที่เธอยังไม่เคยเข้าไป
ลาเบลทำหน้าที่ต่อให้เธอได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เพียงแค่ปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ยาทางหลอดเลือดดำตามกฎหมายไม่ได้
"ผมล่ะชอบคุณจริงๆ" ความร้ายกาจและยิ่งใหญ่ของเขา ดูอ่อนแสงลงได้ทุกครั้งที่เขาทำเป็นขำหรือถูกใจอะไรบางอย่าง
แต่ที่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาชื่นชมบุคลิกหรือท่าทางอะไรของเขาทั้งนั้น!
ตอนนี้เธอจะต้องถามเขาให้รู้เรื่องว่า เขาเล่นกับชีวิตคนเพียงแค่อยากจะสถานการณ์ให้เธอได้เข้าใจเพียงแค่นั้นเองหรือ?
"คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า นี่มันชีวิตคนทั้งคนนะคุณ...คุณเอามาล้อเล่นแบบนี้ได้ยังไง" เขาไม่ต้องพูดอะไร เธอก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงจะทำอะไรแน่ๆ ที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นหัวใจหยุดเต้นไป
ลาเบลและอัครพงศ์เองก็คงจะรู้เรื่องนี้อยู่ก่อน ถึงไม่ได้แสดงทีท่าตกใจหรือเต็มที่ หรือมีความคาดหวังจากการช่วยชีวิตผู้ป่วย
พวกเขารู้อย่างไรล่ะ...ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่เป็นอะไรมาก เป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งให้ผู้ที่มีอำนาจได้ประลองเล่นก็เท่านั้น
"รู้มั้ย ว่าเวลาที่เธอห่วงใยคนอื่นด้วยใจจริงเนี่ย...น่ามองแค่ไหน" แล้วดูสิ่งที่เขาทำสิ เขายังเอาความรู้สึกของเธอมาทำเป็นเชิงล้อเล่นอีก!
"แน่สิ เพราะคุณคงจะไม่เคยเห็นแววตาพวกนี้ในกระจกหรอก" ชาร์ล ล็อตส์ยิ้มกว้าง ลูกกระเดือกเคลื่อนไหวขึ้นลงตามแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะเบาๆ เชิงกลั้วในลำคอมากกว่า
"ตัวคุณนี่มีอะไรให้น่าชอบเยอะดีเนอะ" และแทนที่เธอจะขวยเขินไปกับคำพูดของเขา กลับยิ่งส่ายหน้าหนักส่งให้
"ตรงข้ามกับคุณเลย ยิ่งรู้จักยิ่งรู้เลยว่าไม่มีอะไรน่าให้ชอบเลยสักนิด" ความผิดหวังในแววตาใส ทำให้รอยยิ้มของเขาค่อยๆ เจือจางลงแบบเป็นปกติของมัน
"อยากจะอัดเสียงไว้" เขาขยับกายเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจน์หอมละมุนติดไปทางฉุนนิดๆ พอให้ได้ย่นจมูก ลอยมาใกล้จนเธอแทบจะต้องกลั้นลมหายใจ
ไม่ได้รู้สึกว่าใจจะขาดเพราะกลิ่นน้ำหอม...
แต่เพราะการชิดใกล้ของร่างสูงใหญ่ต่างหาก!
"จะทำอะไร" เธอก้าวเท้าหนีอัตโนมัติ กลืนน้ำลายลงคอเหมือนพวกเสียพิรุธ
รอยยิ้มระบายจางๆ เจือขึ้นตามริมฝีปากหยักอีกครั้ง เสียงเต้นของหัวใจก็พาลพาจะดังขึ้นจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก
"แล้วคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างล่ะ" เธอถอยหลังต่อไม่ได้แล้ว ผนังห้องชนเข้ากับหลังของเธอแล้ว ให้ตายเถอะเธอไม่เคยรู้สึกว่าสมองตัวเองว่างเปล่าขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
"อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ" ลมหายใจอุ่นๆ จากปลายจมูกโด่งเป็นสันสูงคม คลอเคลียอยู่แถวๆ พวงแก้มใส สายตาคมหลุบมองความระเรื่อของใบหน้าของเธอที่ถูกแต่งแต้มจากธรรมชาติ อย่างชอบใจ
"ฉันไม่รู้จักอะไรดีๆ ซะด้วยซิ นอกจาก..."
เพล้ง!! เสียงของหล่นกระทบพื้นช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ทัน นันทิยารีบถือโอกาสวิ่งออกมาทันทีที่เขาผงะร่างออกจากตัวเธอเล็กน้อย
"ขะ...ขอโทษค่ะ" ลาเบลนั่นเอง!
"คนไข้เป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวฉันไปดูช่วยต่อนะ" ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปยังห้องไอซียู ปล่อยให้ลาเบลยืนมองแผ่นหลังกว้างของใครบางคน ที่ไม่ยอมจะหันมาเผชิญหน้า จนเธอต้องก้าวเท้าเข้าไปหาเขาใกล้ๆ
"ห้องซ้อมวันนี้พร้อมนะคะท่าน" ว่าเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างมีความหวัง จนเขาต้องหันความเรียบเฉยของตัวเองกลับมาเผชิญด้วย
"ฉันไม่ใช่คนโง่" ความดุร้ายในแววตาของเขาฉายวาบขึ้นมา จนลาเบลต้องก้มหน้าลงอย่างสยบยอม
"ฉันแค่อยากจะมีดีในสายตาของท่านบ้าง ผิดหรือคะ?" แม้รู้ว่าเสี่ยงที่จะต้องพูดออกไป แต่เธอจะไม่ยอมให้ผู้หญิงที่อยู่จินตนาการคนนั้น มาฉกชิงทุกอย่างที่เธอเฝ้ามองมาตลอดไป
"ถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบมันจะเป็นอย่างไรงั้นรึ"
"แต่ว่า..."
"ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ อย่ามาพูดอะไรแบบนี้กับฉันอีก" แล้วผู้ชายที่ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษสุดโลกอย่างเขา ก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดีความรู้สึกยั่งยืนของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่เฝ้ารักเฝ้ามองเขามาตลอด
ลาเบลเป็นน้องสาวต่างมารดากับเบลลีมือขวาของเขา คุณสมบัติของการอยู่บนเรือลำนี้เธอไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่ที่เขาต้องทำให้เพราะมือขวาคนสนิทขอเอาไว้ ซึ่งเขาก็ให้อะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ในขณะที่เธอพยายามที่จะไปอยู่ในจุดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย
