บท
ตั้งค่า

3

ดวงตาใสเบิกโพลงสบกับดวงตาเรียบเฉย และดูเป็นทางการสุดขั้วนั้น ส่งผลให้เธอเม้มริมฝีปากตัวเองเข้าหากันเพื่อหักห้าม

“มีมึนศีรษะมั้ย” ถามเชิงประเมินตามประสาแพทย์มากกว่า แต่เธอก็ต้องรีบส่ายหัว

ในเมื่อเขาต้องการที่จะให้มันเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไปเปลี่ยนแปลงมัน

“ให้หมอตรวจให้ละเอียดดีกว่า ดูเหมือนหน้าจะซีดๆ ด้วย” เสียงทรงพลังที่ดังขึ้นมาขัดความรู้สึกนั้น ทำให้เธอต้องหันไปเผชิญกับเขาแบบตรงๆ อีกหน

แววตาสีฟ้าอมเทาเรียบเฉย เย็นยะเยือกมีริ้วของความไม่พึงพอใจจางอยู่ ร่างสูงใหญ่เคลื่อนเข้าหา ความทรงพลังและกำยำไปทั้งสัดส่วนนั้น

ทำเอาเธอเกร็งร่างอัตโนมัติ...

“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วพวกคุณเป็นใคร?” เธอเปล่งสำเนียงภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อออกไป แบบแทบจะเป็นเจ้าของภาษาได้

“มีอะไรผิดปกติก็รีบบอก ต้องอยู่กันไปอีกนาน” นอกจากจะไม่ตอบแล้ว ยังออกคำสั่งเสียมากกว่า

ริ้วความไม่พึงพอใจยังคงฉายกรุ่นอวลอยู่ในแววตา แม้จะเพียงวูบเดียวเธอก็พอจะสัมผัสได้ ลึกไปกว่านั้น...

เธอรู้สึกเหมือนกับว่า เขาเห็นเธอเป็นคนคุ้นเคยมากกว่าคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“คุณจับฉันมาทำไม!” ตัดสินใจโพล่งออกไป เมื่อเขามีทีท่าว่าสั่งงานเสร็จเรียบร้อย ก็จะจากไปในทันที

ชาร์ล ล็อตส์ชะงักฝีเท้า พร้อมหมุนร่างกลับมาเผชิญหน้าเธอตรงๆ อีกหน ไม่มีริ้วความรู้สึกใดเจืออยู่ในแววตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้น

นอกจากริ้วยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก...

ดูดีเป็นบ้า ประโยคไม่อันควรผุดขึ้นมาในหัว

“ดูท่าคงจะปกติดีแล้ว” ทำเป็นมองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวขาวใสที่แม้จะต้องลมและแสงแดด แต่กลับไม่ได้ดำกร้านอย่างที่ควรจะเป็น

นันทิยาไม่ใช่คนสวยผุดผาด แต่เธอเป็นคนหน้าตาพอใช้ได้ ที่มีบุคลิกและคำพูดคำจา แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

คำพูดพวกนั้นทำให้เธอดูสวยและเต็มไปด้วยเสน่ห์ หุ่นเพรียวสมส่วน เหมือนมีนักจิตรกรชื่อดังมาปั้นขึ้นโดยเฉพาะ แต่หุ่นที่ถูกปั้นเกือบหลอมละลาย จากสายตาของผู้ที่มองมาแบบไม่ได้เกรงใจเจ้าของ

จนเธอต้องห่อตัวเข้า...

“ผมขอตรวจให้ละเอียดอีกสักหน่อยละกันครับ” คนที่เริ่มจะทนไม่ไหวต่อสายตาของผู้เป็นใหญ่ที่มองมายังเธอนั้น ก็ได้กระทำการขัดขึ้น

“เยี่ยมเลย ฝากด้วยนะ” แววตาเจ้าเล่ห์ของเขายิ่งทำเอานันทิยาฉงนหนัก เธองงไปหมดแล้ว...เธอกำลังแค่ฝันไป หรือว่ามันคืออะไรกันแน่?

แล้วทุกคนในห้องก็พากันเดินออกไป แม้แต่คนที่ขึ้นชื่อว่าคือผู้ช่วยหมออย่างลาเบลเองก็ตาม

ความเงียบของห้องยังไม่ทำให้ได้รู้สึกวังเวงเท่ากับใบหน้าขรึมจัดของใครบางคน ที่แทบจะไม่เคยทำสีหน้าเครียดขนาดนี้ให้ได้เห็นมาก่อน

รอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่นของเขาคงอวลอยู่ในความรู้สึก จนแม้กระทั่งตอนนี้...

“ยินดีด้วยนะ” เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากเขา เหมือนพยายามจะพาเธอหวนย้อนไปยังเหตุการณ์ระหว่างคนสองคนก่อนหน้า

ซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพราะเธอยังติดอยู่ในเหตุการณ์นั้น แบบไม่เคยออกมาได้

“ที่ได้มาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ” ว่าเหมือนเชิงประชดมากกว่า นันทิยาถอนลมหายใจออกมาหลายครั้ง สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าการถูกจับตัวมา คือการได้มาเจอกับเขาอีกครั้ง

"ควันพิษที่ถูกรม ไม่ทำลายปอด แต่ต้องทานยาขับสารพิษที่แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน ทานแล้วดื่มน้ำมากๆ จะขับออกทางปัสสาวะและรูขุมขนตามเดิม" เขายื่นยาที่ว่ามาให้ พร้อมเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนั้นกับเธออีก

"ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"

"ทุกคนที่ได้มาอยู่ คือผู้ที่ถูกเลือก"

"เดี๋ยวนะ...เลือกอะไร? เลือกมาทำอะไร?" ความสงบในแววตาเขา ขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย ความอึดอัดฉายชัดอยู่ในส่วนลึกสุดของแววตา

เธอมองมันออก แม้เขาจะพยายามเก็บซ่อน

"กินยาซะ"

"เดี๋ยวสิ! ฉันจะไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น จนกว่าฉันจะได้คำตอบ!" เขาต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง หันกลับมามองยาที่เธอโยนทิ้งลงกับพื้น

เธอไม่เคยดื้ออย่างนี้ และมีเหตุผลให้กับทุกอย่างเสมอ

"ถ้าไม่ทานยา เรี่ยวแรงเธอจะกลับมาได้ไม่เต็มที่" นี่คงจะเป็นความจริงเดียวแล้วที่เขายอมบอก

ดวงตาแข็งกร้าวจากความไม่เข้าใจ อ่อนแสงลงเมื่อคิดตามสิ่งที่เขาพูด

ถ้าเราไม่มีแรง...เราก็จะเอาตัวรอดไม่ได้น่ะสิ

ดวงตาสีดำขลับหลุบมองยาที่หล่นลงกับพื้น แต่มีฟอยส์สีเงินห่อหุ้มอยู่

นายแพทย์หนุ่มย่อเท้าลงนั่ง พร้อมหยิบยาขึ้นมาให้เธอช้าๆ สองสายตาประสานกัน เหมือนมีหลายเรื่องราวที่ต้องพูดคุยต่อกัน

แต่พูดออกไปไม่ได้...

"ทานซะ" หยิบน้ำยื่นให้เชิงบังคับ เธอรับไปตามคำที่เขาสั่ง

ชั่วครู่ปลายนิ้วสัมผัสปลายนิ้ว ความรู้สึกหลากหลายไหลผ่านฉับพลัน นันทิยารีบชักมือหนี

"ก็ได้" แล้วเขาก็เดินจากไป ในขณะที่ลาเบลเดินสวนกลับเข้ามาพอดี ต่อจากนี้คงจะเป็นหน้าที่เธอที่ต้องดูแลคนไข้ต่อ

"เธอบอกฉันไม่ได้จริงๆ เหรอ ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วเขาจับฉันมาทำไม?" ลาเบลมองหน้าเธอเชิงขำเล็กน้อย ก่อนเดินเข้ามาใกล้ๆ

ผิวสีเข้มของเธอทำให้เธอดูสวยเฉี่ยว แม้ใบหน้าจะไม่ได้คมคายนัก แต่ก็ลงตัวในแบบของตัวเอง

"ที่นี่คือที่ที่ใครๆ ก็อยากจะมา... ส่วนจับมาเพื่ออะไรนั้น ฉันคิดว่าเธอน่าจะเดาได้นะ" ความเป็นมิตรที่ผู้พูดเคยพยายามสร้าง ยังคง 'เหมือนจะ' เจืออยู่

แต่นันทิยารู้ดีว่า มันไม่ใช่!

"ฉันไม่ได้อยากมา!"

"มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ..."

"พอแล้วลาเบล!" เสียงขัดจังหวะนั้นดังมาจากประตูทางเข้า คนที่เกือบจะหลุดปาก ปรับสีหน้าก่อนเดินไปดูความเรียบร้อยห้องพักฟื้นถัดไป ที่เธอไม่ได้สังเกตว่ามีอีกหลายห้อง ในบริเวณนี้

การจัดสัดส่วนเหมือนประหยัดเนื้อที่ แต่เหมือนห้องนี้จะวีไอพี และมีความเป็นส่วนตัวสูง

"พักผ่อนซะ ถ้าดีขึ้นจะพาไปอยู่ห้องของเธอ" ผู้ชายตัวใหญ่ผิวสีคนนี้ คือคนที่อยู่ข้างกาย 'ท่านผู้นำ' ตลอดเวลา

เขาดูเย็นชา ทรงพลัง และเหมือนจะไร้ความรู้สึก

นันทิยายอมรับ ว่าเขาทำให้เธออ่อนแสงที่สำแดงทั้งหมดเมื่อกี้ลงไปได้ แม้ยังจะทำเป็นเชิดลำคออยู่

"ฉันอยากจะพบท่านผู้นำของพวกคุณ" แววตาใสมีแววของความดำขลับชัดเป็นประกายแน่วแน่ จนแววตาเรียบเฉยของคนตัวใหญ่เคลื่อนไหวเล็กน้อย

"สิทธินั้นเธอไม่มี"

"ที่ไม่มีก็เพราะว่าถูกลิดรอนไปอย่างไรล่ะ ฉันต้องได้รู้สิว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไง ที่นี่คือที่ไหนฉันยังไม่รู้เลย!" ใบหน้าขาวซีดก่อนหน้า พลันแดงปลั่งตามอารมณ์กรุ่นโกรธ หากแต่คนสงบเสมอก็ยังคงไม่ได้ตอบสนองด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

"เบลลี ออกไปก่อน" แล้วความสงบเย็นก็ได้เคลื่อนมาถึง

นันทิยาค่อยๆ หันไปสบตากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนดำทะมึนอยู่ตรงทางเข้า เขามาแบบเงียบๆ แต่กินพื้นที่ในห้องนี้เอาไว้ได้ทั้งบริเวณ

จมูกโด่งคมสีดำทะมึนของเบลลีโค้งลงตามศีรษะอันน้อมนอบ ก่อนเดินเลี่ยงออกไปจากห้องนี้ ปล่อยให้เธอค่อยๆ ได้เผชิญหน้ากับเขาอย่างชัดเจนขึ้น

"คุณจับฉันมาที่นี่ทำไม?" เปิดประเด็นทันที เมื่อรู้ว่านี่คือโอกาส

"รู้แล้วยังไง" กล้ามเนื้อมัดใหญ่บนเรือนร่างเขาค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่เข้ามา จนเธอเริ่มหายใจจะติดขัด เขาในระยะชิดใกล้นี้เหมือนจงใจจะแทรกแซงจังหวะการหายใจของเธอไปด้วยซะได้

"ฉันไม่ได้อยากมาอย่างไรล่ะ! คุณมาบังคับและกักขังหน่วงเหนี่ยวฉันอย่างนี้ไม่ได้!"

"ก็เพราะอย่างนี้ จึงได้แอบจับมา" ไม่ว่าเธอจะเสียงดังใส่แค่ไหน สติแตกใส่แค่ไหน...แต่เขาก็ยังคงความเป็นตัวเอง ไม่สะทกสะท้านต่อกระแสต่อต้านทั้งปวงที่เธอพยายามจะส่งมา

"ที่นี่คือที่ไหน" เมื่อเริ่มรู้แล้วว่าเขากำลัง 'เล่นลิ้น' สติอันน้อยนิดย้ำเตือนว่า การประสาทเสียอาจจะไม่ใช่ทางออก เพราะมันยิ่งจะเป็นตัวเสริมจนทำให้ประตูทางออกของเธอ ยิ่งจะปิดตายลงเมื่อนั้น

"ซีลยอร์ช"

"ยอร์ช? เรือยอร์ชเหรอ?" เธอพยายามหันไปรอบๆ ที่เหมือนจะไร้หน้าต่างในการมองเห็นวิวทิวทัศน์

"ที่นี่แทบจะเป็นโลกโลกหนึ่งได้" ชาร์ล ล็อตส์ค่อยๆ เอามือล้วงกระเป๋าตัวเองอย่างสบายๆ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่สมองของเธอเริ่มที่จะประมวลผลเหตุการณ์ต่างๆ

"โลก? โลกที่ต้องการสหวิชาชีพอย่างนั้นใช่มั้ย?" ผลประมวลของเธอเริ่มมาถูกทาง จนเขาเผยรอยยิ้มหายากส่งให้อีกครั้ง

"ชอบเธอก็ตรงนี้" นันทิยาหรี่ตาลงเมื่อได้ยินดังนั้น เธอไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องแล้วหรือเปล่า?

"เดี๋ยวนะ คุณพูดเหมือนรู้จักฉันมาก่อน"

"ชอบที่เธอเข้าใจอะไรง่ายดาย แบบไม่ต้องพูดอะไรให้มาก" ความจริงใจในสิ่งที่เขาสื่อ เธอรับได้จนแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขารู้จักเรามาก่อนได้ยังไง?

"ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าคุณเอาซะเลย" ผิดกับเขาที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอมาดีเสมอ

"พักผ่อนเถอะ เก็บคำถามเอาไว้ถามวันอื่นมั่ง" แล้วเขาก็ค่อยๆ หมุนตัวเพื่อที่จะเดินออกจากห้องแห่งนี้ไป

"เดี๋ยวก่อน!" แต่ก็ยังดีที่เขาชะงักเท้าเอาไว้ตามที่เธอร้องขออยู่

"พักผ่อน" ย้ำแบบไม่หันกลับมามองหน้า

"ฉันเข้าใจว่าเรือลำนี้อาจจะต้องการพยาบาล แต่ความต้องการของเรือนั้นไม่ใช่ว่าจะเอามาลงกับใครก็ได้ พวกคุณควรที่จะไปหาคนที่เขาสมัครใจจะมาอยู่สิ ไม่ใช่มาเลือกฉันผู้ที่ไม่ต้องการจะทำงานในสายงานนี้แล้ว..." ประโยคท้ายเสียงเธอแผ่วลง ริ้วรอยของความผิดหวังระคนเศร้าปะปนในน้ำเสียงชัด จนเขาต้องหันกลับมามองใบหน้าเศร้านั้นให้ถนัด

"ใช่ ความต้องการของเรือนี้...ไม่ใช่ว่าจะใครก็ได้ อาสาสมัครมีเพียบเลย แต่มันไม่ใช่ใครก็ได้"

"แล้วทำไมต้องเป็นฉัน?" เขานิ่งงันไปชั่วขณะ

"แล้ววันหนึ่งเธอจะเข้าใจ"

"ฉันต้องการเข้าใจวันนี้!" น้ำใสๆ เริ่มคลอที่เบ้าตา เมื่อเธอเริ่มระลึกได้ว่าตัวเองน่าจะมาอยู่อีกโลกหนึ่งเข้าให้แล้วจริงๆ

"ขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่" ถามเหมือนไม่ใส่ใจ แต่เดินกลับเข้ามาถึงตัวเธอแล้ว

ดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นช่างเหมือนสวรรค์ปั้นแต่ง ในครานี้เขาดูสงบเยือกเย็นและควรที่จะหวาดกลัว แต่ฝ่ามือใหญ่ที่มีไออุ่นจากกายเขาติดอยู่ชัด กลับยื่นมาไล้บริเวณน้ำใสที่คลอเบ้าตาของเธออยู่

นันทิยาตัวแข็งทื่อจากสัมผัสนั้น จิตใต้สำนึกของเธอร่ำร้องบอกว่าเขาน่าจะเป็นปิศาจมากกว่าฮีโร่ แต่ทำไมนะทำไม...

ใจดวงน้อยที่กำลังสั่นพลิ้วจากการชิดใกล้จากเขาในตอนนี้ ถึงได้ร่ำเถียงว่า...เขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้

"คุณพูดเหมือนว่าคุณรู้จักฉันเป็นอย่างดี"

"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม" เขาพูดสำนวนไทยเป็นภาษาไทยเชิงแปร่ง จนเธอยิ่งตกใจไปกันใหญ่

"คุณพูดไทยได้?"

"รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เขาย้ำให้ด้วยการแถมอีกสำนวน จนเธอหน้างอง้ำเข้าให้ เมื่อรู้ว่าเขาคงจะทำเป็นล้อเลียนเธอไปอย่างนั้น

"กวนฉันเหรอ" ปัดมือเขาออกจากบริเวณใบหน้า จ้องมองเขาตาเขียวปัดใหญ่

เธอกำลังลืมไปด้วยซ้ำ ว่าเขาน่ากลัวเหมือนปิศาจ จะไปทำทีท่าแบบนี้ใส่เหมือนคนสนิทคุ้นเคยกันไม่ได้

"เธอจะได้รู้ทุกอย่างที่เธออยากรู้แน่ ไม่ต้องรีบไปหรอก" แล้วรอยยิ้มอันแสนจะเหมือนอบอุ่น ก็ได้อันตรธานหายไปจากในหน้าเขา

ความเยือกเย็นและสงบนิ่งเข้าครอบคลุมอีกครั้งจนเธอต้องเกร็งตัวตามไปด้วย

และทำได้เพียงมองตามเขาไป แบบเหมือนจำนนต่อสิ่งที่เขาบอกมา แล้วยาที่กินเข้าไปค่อยๆ ออกฤทธิ์ เธอหาวสองสามรอบก่อนค่อยๆ ล้มตัวนอนลงไป ปล่อยให้นิทราที่ไม่รู้ว่าจะยาวนานเท่าไหร่ ครอบคลุมสมองและร่างกายอีกครั้ง...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel