2
เรายังมีลมหายใจ...
สติรู้ตื่นที่รับรู้ได้ชัด ทำให้ปลายจมูกโด่งรั้นเป็นสันพองาม ทดลองสูดอากาศเข้าเต็มปอด แม้ได้เพียงหน่อย แต่นี่คือสัญญาณชีพแรกที่เธอรับรู้ว่าตัวเองมี
นิ้วเรียวสวยพยายามเคลื่อนไหว
ใช่... เธอขยับมันได้ แม้จะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเต็มทีก็ตาม
ตึง! เสียงคล้ายประตูได้เปิดออก ทำให้เธอจำต้องหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างเอาไว้ เหมือนคนแกล้งตาย เพื่อฟังเสียงการมานั้น
“สลบไปกี่ชั่วโมงแล้ว” เสียงทุ้มกังวานก้อง มาพร้อมกับแสงสว่างที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบขึ้นมอง
ความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงนั้น ช่างน่าหวาดหวั่น เสียงหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น จนตัวเองยังดินได้ยินเสียงมัน
ฉันยังมีชีพจร
“ห้าครับนาย” เสียงบทสนทนาภาษาอังกฤษนั้น เธอฟังได้คล่องปรื๋อ เพราะเธอคืออดีตพยาบาลโรงพยาบาลอินเตอร์ที่ดูแลชาวต่างชาติโดยเฉพาะ
“พาเธอไปที่ห้องพักฟื้น” เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ มาพร้อมความรู้สึกแปลกประหลาด ที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ...
เขาดูน่ากลัวแน่ๆ แต่มันมีกลิ่นอายบางอย่างที่เธอสัมผัสได้ว่า มันอาจจะเป็น ‘ความปลอดภัย’
“แต่ร่างเธอถูกรมด้วยควันที่ยังไม่หมดฤทธิ์” เสียงหนึ่งที่เย็นยะเยือกกว่า ทำให้เธอต้องรีบวิเคราะห์ในหัวฉับพลัน
ควัน?
ฟึบ! สมองเธอหยุดชะงักไปชั่วครู่ ไออุ่นจากอ้อมแขนที่ช้อนเอาร่างเธอขึ้นไปนั้น ทำให้หัวใจเธอแทบจะหยุดเต้น
เขาอุ้มเธอด้วยตัวของเขาเอง และตามมาด้วยเสียงเดินแบบรีบๆ
นี่มันเรื่องอะไรกันนะ? แม้ตอนนี้นันทิยาจะสับสนและวิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งหมดนี่ไม่ได้ แต่เธอก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้
ห้องที่ว่าเหมือนจะอยู่ไม่ไกล...
เขาวางเธอลงบนที่นอนที่เกือบจะนุ่ม และมีกลิ่นอายของความเป็นห้องพยาบาลชัด และมีแสงสว่างจ้า แต่เธอจะลืมตาขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้
“ควันนั่นจะหมดฤทธิ์ในกี่ชั่วโมง” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่เธอพยายามที่จะหายใจเป็นจังหวะให้ปกติที่สุด
“สิบชั่วโมงครับ” เสียงภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ แต่พอจะเดาสำเนียงได้ว่าน่าจะเป็นคนไทย ทำให้เธอใจชื้นขึ้น
...ฟึบ! ข้อมือของเธอถูกเรียวนิ้วเย็นเฉียบทาบลงมา ออกแรงกดเล็กน้อย
แปลก ทำไมถึงรู้สึกคุ้นจัง....
“ชีพจรปกติ ขอเครื่องวัดความดันหน่อย”
“นายจะไม่ใส่ถุงมือหน่อยเหรอ?” เสียงรอบกายทำให้เธอประเมินไม่ได้เลยว่า ในห้องนี้มีกี่คนที่กำลังจ้องมองเธออยู่
“ไม่ล่ะ” ความสงบในน้ำเสียงของเขา ทำให้เธอเดาไม่ยากเลยว่าเขาน่าจะเป็นแพทย์ประจำของที่นี่ แต่กรุ่นความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ทำให้เธอต้องสลัดมันทิ้งไป
ไม่ใช่หรอก จะใช่ได้ยังไง...หมอมีเป็นร้อยเป็นพันคน ช่างเป็นคำปลอบใจตัวเองที่เหมือนจะถากถางเต็มที
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงของคนที่แบกเธอมาดังขึ้นอีกครั้ง พลังในน้ำเสียงทำให้เฮพอจะคาดเดาได้ว่า เขาน่าจะเป็น ‘หัวหน้า’
“ทุกอย่างปกติดี แค่ยังหลับอยู่เท่านั้น”
“ท่านควรจะทานยาต้านพิษไว้ด้วยนะคะ” สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ ว่าน่าจะเป็นหญิงชาวเอเชียนั้น แลดูจะห่วงใย ‘ท่าน’ เป็นพิเศษ
“ไม่เป็นไร” เขาช่างตัดขาดความห่วงใยของเธอได้เลือดเย็นนัก
“ผมขอคุยอะไรกับท่านเป็นการส่วนตัวหน่อย” เธอจำได้อีกนั่นแหละ ว่านี่น่าจะเป็นเสียงของแพทย์คนนั้น...
แต่...
ทำไมเสียงของเขา มันช่างเริ่มคุ้นหูขึ้นเรื่อยๆ
“ได้ แต่หลังจากที่หมอได้ตรวจให้แน่ใจก่อน ว่าเธอปลอดภัยแล้วจริงๆ”
“เธอปลอดภัยแล้ว ผมแน่ใจ”
“เดี๋ยวฉันดูแลเธอให้เองค่ะ” ตอนนี้นันทิยาประเมินไม่ได้แล้วว่าอารมณ์ของใครหลายคนในห้องนี้ เป็นไปในทิศทางไหน แต่เธอรู้ได้เพียงว่า
เสียงฝีเท้าของหลายๆ คนได้เดินออกไป น่าจะเหลือเพียงคนเดียวที่มุ่งเท้ามายังเตียงที่เธอนอนอยู่
“มาที่นี่จนได้สินะ แม่คนเก่ง” เสียงภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชีย ดังขึ้นที่ข้างหู แต่ความเป็นมิตรได้ติดลบไปเรียบร้อย
หมายความว่ายังไง?
“ฉันพยายามทำให้เธอไม่ได้ขึ้นเรือนี้มาตั้งเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ฟังฉันเอาซะเลย” คำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้นันทิยาพยายามที่จะหรี่ตา ขึ้นมอง
“ฉันน่าจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม...”
“จะทำอะไร!” เธอใช้สำเนียงภาษาอังกฤษของตัวเองสวนขึ้น พร้อมลืมตาเต็มที่
ผ้าเย็นในมือของผู้หญิงในชุดสีขาว เกล้าผมเป็นมวยเรียบตึงไว้ทางด้านหลัง ผสานกับผิวสีคล้ำพร้อมริมฝีปากสีเดียวกันเผยอขึ้นเล็กน้อย แบบฉบับสาวฟิลิปปินส์
“ฟื้นแล้วอย่างนั้นเหรอ?” แววตาเป็นมิตรตอนนี้ ช่างแตกต่างจากน้ำเสียงและคำพูดก่อนหน้า
ให้ตายเถอะ นี่มันตัวอันตรายที่ไว้วางใจที่สุดเลยนะเนี่ย โชคดีที่สมองของเธอประมวลผลได้รวดเร็วพอ ที่จะปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้เป็นปกติ และเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
“ฉันฝันร้าย แล้วนี่...เธอเป็นใคร แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” รอยยิ้มของริมฝีปากอวบอิ่ม เผยเรียวฟันขาวสะอาดตัดกับสีผิวชัด ช่างลิบลับกับคำพูดก่อนหน้า
“ฉันชื่อลาเบล เป็นผู้ช่วยแพทย์ประจำที่นี่”
“เธอคือพยาบาลเหรอ?” ลาเบลส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มดังเดิม
“ฉันสอบไลน์เซิ่นไม่ผ่าน แต่ก็พอรู้ทักษะต่างๆ บ้าง แต่คงไม่เท่าเธอหรอก” นันทิยาเอียงคอเล็กน้อย
“เธอรู้ได้ยังไง ว่าฉันคือพยาบาล” วูบหนึ่งของแววตานั้น ฉายความไม่เป็นมิตรคล้ายจะด่าทอขึ้น หากแต่ก็ถูกดับให้มอดสนิทลงในทันทีเช่นเดียวกัน
“เธอมาอยู่ที่นี่ เพราะเธอเป็นพยาบาล ที่นี่ต้องการเธอ” นันทิยารีบส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้จักที่นี่ ที่นี่รู้จักฉันงั้นเหรอ?”
“จะมีใครไม่รู้จัก พยาบาลดีเด่นของ S Hospital ล่ะ” ใช่...เธอได้รับตำแหน่งนั้นเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่จะมีการแพร่ของโรคระบาด
“เธอฟื้นแล้วเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปบอกนายท่าน” น้ำเสียงดูรีบร้อนของการ์ด ทำให้สองสาวต้องชะงักการบอกเล่ากล่าวความต่อกัน
“สงสัยอะไร ก็เอาไว้ถามคนที่ต้องการตัวเธอเองแล้วกัน” ลาเบลหันหน้าหนี พร้อมเดินไปทำหน้าที่อุปกรณ์ต่างๆ ของตัวเองต่อ
“เดี๋ยวสิ...” แล้วเสียงฝีเท้าอันดังก็ทำให้เธอต้องหันไปมองยังต้นเสียง
ร่างสูงใหญ่กำยำของหนุ่มมะกันลูกผสม โดดเด่นและสง่ามากกว่าใคร ใบหน้าเรียวยาว มีสันสัดส่วนที่ลงตัวทั่วทั้งใบหน้า
จมูกโด่งคมพุ่งทะพยานรับกับดวงตาคมกริบ เป็นเส้นตรงที่บ่งบอกความเรียบเฉย และแววตาประกายสีฟ้าอมเทา ที่ฉายความเย็นยะเยือกชัด ดึงดูดให้เธอสบด้วยแบบแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองนัก
“รู้สึกยังไงบ้าง” น้ำเสียงที่เธอรู้สึกคุ้นเคย เรียกสติให้เธอได้หันไปยังเขา
“หมอ...” ริมฝีปากอวบอิ่มเนียนนุ่ม เอ่ยออกไปอย่างอัตโนมัติ นายแพทย์หนุ่มของที่นี่ คือ เขา
เขาอย่างนั้นเหรอ?
