Sr1. EP7 สะกดรอยให้รู้
Broken รักนี้ฉันจะไม่ขอเอาคืน
ตอน : สะกดรอยให้รู้
คุณทัสสึโมโตะ ฮิโรชิเป็นทนายประจำบ้านคอยจัดการเรื่องคดีความหรืออะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมายภายในบริษัทของคุณพ่อที่เปิดให้คุณแม่บริหารระหว่างที่เขายังรับราชการ
“ครับผม”
“คุณพ่อกับคุณแม่ท่านสบายดีไหมคะ”
“ครับท่านทั้งสองสบายดี คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง”
“อ่อ ฉันนี่เป็นลูกที่แย่จังเลยนะคะไม่ได้กลับไปเยี่ยมพวกท่านเลย”
“ว่างเมื่อไหร่ค่อยกลับไปก็ได้ครับ ว่าแต่คุณหนูเถอะเป็นยังไงบ้างสบายดีหรือเปล่า”
“เอ่อ..”
ฉันอยากจะระบายทุกอย่างให้เขาฟังนักหนาแต่ทว่าสายตาของฉันดันเหลือบไปเห็นสองคนนั้นอีกแล้ว
“อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”
“ครับคุณหนู ว่าอะไรนะครับ”
“เอิ่มคุณฮิโรชิคะ เดี๋ยวเย็นนี้ตอนสองทุ่มฉันโทรหาอีกครั้ง ตอนนี้มีเรื่องต้องรีบไปเดี๋ยวไม่ทันการณ์ค่ะ”
“อ้อได้ครับคุณหนูผมจะรอถ้าคืนนี้โทรมาไม่ได้พรุ่งนี้โทรมาแต่เช้าได้เลยนะครับ”
“ค่ะ”
ฉันกดตัดสายดวงตาร้อนผ่าวมองสองคนคู่รักถือขวดน้ำเดินอยู่ด้านหน้า หันมองหาเคียวยะแต่เขายังไม่มาจึงเดินติดตามคู่ชู้ชื่นชายชั่วหญิงเลวไปทันที สองคนนั้นใส่เสื้อผ้ามาออกกำลังกายเป็นเสื้อคู่ดั่งสามีภรรยา
‘ยิ้มระรื่นจังนะ กะหนุงกะหนิงจนน่าหมั่นไส้ ชิ’ แล้วประโยคที่ไม่น่าเชื่อก็หลุดออกจากปากคนสองคน
“นี่ที่รักผมอยากแล้วเราแวะไปห้องน้ำตรงนั้นกันเถอะ” ผู้หญิงคนนั้นหันมองผัวชาวบ้านดวงตาลุกวาว
“บ้าคุณก็เราเพิ่งทำกิจกันหลายรอบก่อนออกมานี่นะ คุณยังจะอยากอีกเหรอ”
“ผมอยากจริงๆ นะจับดูสิ” เมื่อปากว่าตาก็ขยิบคิมูระผู้กำลังเป็นอดีตสามีฉันจับมือนังเมียน้อยนั่นมาสัมผัสเป้าตัวเองที่กำลังตุง
“บ้าคุณนี่เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ฝ่ายหญิงเริ่มกระซิบกระซาบทำเป็นเอียงอายหันมองผู้คนในละแวกนั้นในขณะที่ฉันยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ ดีที่เธอไม่ทันสังเกตเห็นแล้วผู้ชายก็กระซิบตอบยิ้มระรื่นจนฉันต้องเผลอเบ้ปากให้กับความหวานชื่นตรงหน้า
“ผมอยากจริงนะ ไปตรงนั้นกันเถอะผมจะทนไม่ไหวแล้ว”
“อะไรกัน หมอนี่ไม่เคยแสดงอาการแบบนั้นกับฉันเลย”
ฉันพึมพำแล้วออกเดินตามสองคนนั้นไปโดยที่ไม่ทันรู้ตัว วันนี้คงเป็นวันของฉันจริงๆ ที่จะได้ตัดสินใจอะไรต่อมิอะไรกับผู้ชายคนนี้สักที
“จริงสิ”
ฉันดึงโทรศัพท์ออกมาเดินย่องหามุมถ่ายเพราะต้องการเก็บหลักฐานมัดตัวคิมูระไม่ให้ดิ้นหลุด
“อ๊ะ อ๊า” เสียงเธอคนนั้นเริ่มกรีดร้องขึ้นแต่ฉันก็ยังหามุมที่เห็นหน้าฝ่ายชายชัดๆ ไม่ได้
“อ๊ะ ที่รักใจเย็นสิ อ๊า เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านะ”
“ไม่มีใครมาหรอกน่า อา อา”
“อิ๊ คุณรู้ได้ไง อา”
“ก็มันยังไม่ถึงเวลาคนพลุกพล่านนี่ ตั้งแต่เรามาผมเห็นคนไม่กี่คนเอง อา”
“อ๊ะ อ๊า อื้อ ใจเย็นสิคะ อ๊ะ คิมูระซังฉันเสียวนะ อ้า”
ฉันได้ยินผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องเพราะความเสียวซ่านทีไร ก็อดใจแป้วไม่ได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันทั้งที่เจ็บปวดแต่ก็ต้องมายืนทนฟังเสียงกรีดร้องของผู้หญิงอื่นที่กำลังโดนผัวตัวเองเอา
‘เจอแล้วตรงนี้ไงมุมเหมาะหวังว่าจะไม่มีใครโทรมานะ จริงสิปิดเสียงดีกว่า’
ฉันปิดเสียงเรียกเข้าแล้วเปิดกล้องบันทึกวิดีโอในมุมที่พอเหมาะพอเจาะ แนบมือถือผ่านช่องระบายอากาศของห้องน้ำในสวนสาธารณะ
‘หน้าไม่อายทั้งผู้หญิงผู้ชาย’
“อ๊ะอ๊า รุนแรงจังเลย คิมูระซัง อ๊า”
“อ๊า ก็คุณมันน่าเอานี่ อา แค่เห็นหน้าก็เกิดอารมณ์แล้ว อา”
แค่ได้ยินคำนั้นน้ำตาฉันก็ไหลพรากแต่ก็ต้องกัดฟันถ่ายมันเอาไว้
“เอาฉันมันกว่าเมียที่บ้านเหรอ อื้อ อ๊ะ อ๊า”
“แน่นอนซิ อา อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเลยผมไม่อยากได้ยินแม้ชื่อเธอ หน้าผมยังไม่อยากเห็น อา ซี๊ด อา”
ตับๆๆ
“อืม อา”
คำพูดนั้นทิ่มแทงใจฉัน แววตาที่เจ็บปวดมองดูคิมูระก้มโลมเลียนมผู้หญิงคนนั้นอย่างหื่นกระหายแล้วกระแทกต่อผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมของสมาร์ตโฟน
‘เวรกรรมอะไรฉันนี่ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ไม่พูดก็ได้แต่คืนนี้คุณต้องอยู่กับฉันนะ”
“ได้สิ อา”
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะจงใจดึงเขาไว้ไม่ให้กลับไปหาฉันคงแบบนี้สินะ วันนี้ของปีที่แล้วผัวชั่วถึงบอกว่ายุ่งสัญญาว่าจะพาไปกินร้านประจำแต่สุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย
“แต่ อ๊ะ อ๊า คิมูระซัง อ๊ะๆ ฉันไม่อยากจ่ายค่าห้องนี่ ฉันอยากย้ายเข้าไปอยู่กับคุณในบ้านหลังนั้นจังเลย อา อา”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องนั้นผมจะจัดการเอง ยังไงซะต้องหาทางกำจัดผู้หญิงคนนั้นออกไปก่อน”
‘กำจัดเหรอ ผู้หญิงคนนั้นเหรอ ฮึก ฟังดูเหินห่างจังเลยนะ เขาจะกำจัดฉันออกจากชีวิตจริงๆ เหรอ ด้วยวิธีไหนกัน ฮึก’
ฉันคงสะอื้นดังจนเกินไปเขาถึงแหงนหน้าขึ้นมองโดยฉับพลันแต่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวคิมูระลงเสียก่อน และมันเป็นจังหวะที่เห็นหน้าได้ชัดเจนทั้งสองคนไม่มีมุมใดบดบังให้อ้างว่าไม่ใช่ตนอาจเป็นคนหน้าคล้าย
ฉันพอใจกับหลักฐานช่วงวินาทีสุดท้ายแล้วจึงถอยห่างจากจุดนั้นย่องเดินออกมาไกลจนเสียงกรีดร้องเหมือนลิงถูกเชือดเบาบางลงก้มหน้าเดินอย่างไร้จุดหมายน้ำตาไหลอาบแก้มกำมือถือไว้แน่นฉันลืมเรื่องเคียวยะไปเลย
ตุบๆๆ
“ริกะ ริกะจัง”
เสียงเรียกและฝีเท้าวิ่งมาจากด้านหลังแต่ฉันไม่ได้สนใจว่าใครเรียกหา เอาแต่เดินก้มหน้าจนคนที่วิ่งตามมาถึงตัวแต่ฉันก็ไม่หยุดเดิน
“พี่ริกะเดี๋ยวสิทำไมทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยเลยล่ะ คิดจะไปไหนคนเดียวก็ไปเหมือนคนไร้จุดหมายมันอันตรายนะ”
เขาต่อว่าแต่ฉันก็ไม่หยุดฟังจนรู้สึกถึงมือใหญ่จับแขนฉันกระชากจนตัวหันกลับทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“พี่มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอก ผมเป็นห่วง..อ๊ะ”
เขาจับต้นแขนฉันเขย่าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อก้มมองและเห็นฉันกำลังห่อไหล่กัดฟันร้องไห้
“ริ ริกะจัง” เคียวยะโผเข้ากอดฉันไว้แน่นลูบหัวปลอบใจเบาๆ
“เราไปจากที่นี่กันเถอะ ผมจะรอจนกว่าพี่จะยอมเล่าทั้งหมดให้ผมฟังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่กันแน่”
จากนั้นเคียวยะคุงก็พาฉันออกจากที่นั่นขึ้นรถขับตรงกลับห้องพัก เขาจูงมือฉันขึ้นห้องไม่ยอมปล่อยแม้จะเป็นตอนเปิดกุญแจ
“พี่อยากไปบาร์กับผมหรือเปล่า” ฉันส่ายหน้า
“พี่หิวไหมผมจะทำอาหารให้กิน”
‘จริงสิฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้านี่นาทำไมถึงไม่รู้สึกหิวเลยล่ะ’
ฉันพยักหน้าทั้งที่น้ำตาไหลริน แค่คิดว่าไม่รู้สึกหิวท้องมันก็ดันปวดขึ้นมา ฉันจะป่วยไม่ได้เดี๋ยวจะไม่มีแรงสู้ฉันจะต้องฝืนกินแม้มันไม่อยากก็ตาม
“เอาอะไรก็ได้ง่ายๆ” ฉันบอกรุ่นน้องแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เขาลำบาก
