Sr1. EP8 ได้แต่บอกตัวเองให้อดทน
Broken รักนี้ฉันจะไม่ขอเอาคืน
ตอน : ได้แต่บอกตัวเองให้อดทน
“ผมมีแค่แกงกะหรี่เนื้อที่ทำเมื่อเช้านะ พี่กินได้ไหม”
ฉันพยักหน้าแล้วเคียวยะก็ลุกไป ฉันนั่งดูรุ่นน้องผู้แสนดีกุลีกุจอหาอาหารในตู้เย็นเพื่อมาอุ่นให้ฉันกิน ระหว่างรอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตาบวมไปหมดจึงเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าส่องกระจก
ฉันคงอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปจนได้ยินเสียงกุกกักตึงตังดังอยู่ด้านนอกเหมือนคนวิ่งตามหาอะไรสักอย่างจึงเดินออกจากห้องน้ำมาดู ฉันยืนนิ่งเมื่อเห็นเคียวยะวิ่งกลับมาหยุดชะงักอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องพักหายใจเหนื่อยหอบกับแววตาที่ตื่นตระหนกและแฝงไว้ด้วยความเศร้า
“ไปไหนมาเหรอ”
คำถามนั้นมันควรเป็นเคียวยะคุงที่เป็นฝ่ายพูดแต่เขากลับไม่เอ่ยอะไรสักคำเดินตรงดิ่งเข้ามากอดฉันไว้แทน
“ผมนึกว่าพี่ไปแล้ว”
“เปล่า..แค่เข้าไปล้างหน้า”
ขณะที่กำลังยกแขนกอดตอบเขาเคียวยะก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ไปกินข้าวกันเถอะผมเตรียมไว้ให้แล้วท้องพี่ร้องเสียงดังมากด้วย”
เขาจูงมือฉันไปนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหารในครัวซึ่งด้านหน้าจานข้าวราดแกงกะหรี่เนื้อถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว
‘ถ้าฉันหย่าจะขอคบกับเขาได้ไหมนะ เขาจะรังเกียจกันหรือเปล่าที่ฉันเป็นแม่ม่าย’
“แล้ว ส่วนของเคียวยะคุงล่ะ”
“ผมยังไม่หิว”
“อย่าบอกนะว่ามีแค่นี้”
“อืม”
“แล้วทำไมให้ฉันหมดล่ะ”
“พี่กินเถอะ เอาไว้ผมไปกินก่อนเข้างาน”
“แต่ว่า”
“กินเถอะครับไม่ต้องห่วงผมนะ”
ฉันรู้สึกซาบซึ้งในการเสียสละของเขาแต่มันก็ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีปัญหาการเงินหรือเปล่าทำไมกินอาหารแค่นี้
“นี่มีไข่ไหม เดี๋ยวฉันทำออมเล็ตเพิ่มจะได้กินพร้อมกัน”
“ไม่มีครับ ผมลืมดูอาหารในตู้เย็นตอนถามพี่ว่ากินอะไรไหมก็ยังนึกไม่ออก โชคดีมีแกงกะหรี่เลยอุ่นให้นี่แหละ พี่ริกะกินเถอะ”
“แล้วแฟนนายล่ะ”
“ผมโสดยังไม่ได้คบใครเลย”
“อ้าว”
“จริงครับ”
“นายมีปัญหาการเงินเหรอ”
“เปล่าครับ ผมแค่ทำแต่งานจนลืมไปซูเปอร์เฉยๆ รีบกินสิเดี๋ยวเย็นหมดนะ”
เคียวยะคุงยังคงบอกให้ฉันกินอาหารของเขาอย่างมุ่งมั่น ฉันพยักหน้าทั้งไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาพูดก้มหน้ามองอาหารในจานก่อนหยิบช้อนส้อมที่วางอยู่ด้านข้างแล้วตัดสินใจตักมัน
“อะไรครับ”
“กินด้วยกันสิ”
เคียวยะคุงยิ้มจนตาปิดก่อนอ้าปากรับข้าวแกงกะหรี่ที่ฉันตักป้อนใส่ปาก แล้วอาหารจานนั้นเราก็กินด้วยกันแม้ไม่ค่อยอิ่มแต่ก็พออุ่นท้องและอิ่มใจมากกว่า
“นี่เคียวยะคุงเข้างานกี่โมง”
“สี่ทุ่มครับ”
“ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเย็นเองเรายังมีเวลานะ”
“จะทำอะไรเหรอครับ”
“ไปซูเปอร์มาร์เก็ตไง”
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ”
“แล้ว...” เขาเหลือบมองนิ้วนางข้างซ้ายของฉันจ้องมันอยู่ชั่วอึดใจจนฉันต้องหันไปมองตาม
“คุณซากุราอิเขาจะไม่ว่าพี่เหรอครับวันนี้วันอาทิตย์เขาหยุดไม่ใช่เหรอ”
ฉันส่ายหน้ายิ้มอ่อนให้เคียวยะคุงพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่แสดงออกอะไร
“เขาไม่อยู่บ้านทั้งวัน และอาจเป็นทั้งคืน”
“อ้าว..”
“เราไปซูเปอร์กันเถอะ”
“ตกลงครับ”
เคียวยะคุงยิ้มลุกเอาจานไปล้างแล้วเราก็ไปซื้อของกัน ฉันช่วยเลือกของให้เขาหลายอย่างทั้งเนื้อสัตว์ไข่ไก่ผักผลไม้จนเขาห้ามเพราะกลัวไม่มีที่เก็บ ฉันเลือกของเคียงคู่เขาเหมือนคนรักข้าวใหม่ปลามัน สังเกตว่าเคียวยะคุงมีความสุขและดูดีมีเสน่ห์มาก ทำให้ได้แต่นึกสงสัยว่าฉันละเลยเขาไปได้ยังไง ผู้ชายที่แสนดีรุ่นน้องที่คอยเทคแคร์กันตอนอยู่มหาลัยจวบจนฉันเรียนจบ
ฉันขอให้เขาไปส่งที่บ้าน จากนั้นก็เก็บของใส่กระเป๋าเพื่อกลับไปเยี่ยมพ่อแม่สักสองสามวัน เพราะรู้สึกกลัวสิ่งที่ได้ยินสามีพูดกับชู้และจะออกเดินทางตอนเช้าเพราะคิดว่าคืนนี้เขาคงไม่กลับมาสองทุ่มตรงฉันหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาคนสำคัญ
“ครับ”
เราคุยอะไรกันหลายอย่างมันเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวแม้หลังจากนั้นจะร้องไห้ฟูมฟายอยู่นานก็ตาม ฉันมองแหวนแต่งงานที่นิ้วนางอย่างไร้ความหมายและเลื่อนลอยคิดแค่ว่าต้องอดทน
‘ฉันจะกลับบ้านสักสองสามวันคุณไม่ต้องห่วงฉันนะที่รัก’
โน้ตสีเหลืองแผ่นเล็กถูกแปะไว้ที่หน้าประตูตู้เย็น ก่อนเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เป็นไปอย่างที่คาดทั้งสองรบเล้าถามหาสามีว่าทำไมเขาไม่มาด้วย
“เขาติดงานค่ะ”
“ลูกแน่ใจเหรอริกะ”
“แน่ใจสิคะคุณพ่อ หืม..หนูคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่จังเลยค่ะ”
ฉันโผเข้ากอดพ่อแม่เฉไฉไปเรื่อยเพื่อให้ท่านทั้งสองไม่ทันสังเกต ฉันเห็นคุณพ่อเดินออกไปด้านนอกเพื่อคุยโทรศัพท์ ไม่นานนักข้อความก็ถูกรายงาน
“คงโทรหาทนายสินะ”
ดวงตาของฉันเหม่อลอยในบางครั้งพึมพำกับตัวเองลำพังแล้วสายที่ฉันรอก็โทรมา
“ฮัลโหลที่รัก ค่ะฉันอยู่บ้านพ่อแม่”
“ทำไมคุณไปไม่บอกผมล่ะ”
“ฉันก็ทิ้งโน้ตไว้แล้วนี่คะ”
“ไม่ผมหมายถึงทำไมไม่ชวน คุณไปคนเดียวแบบนี้พวกท่านก็ตำหนิผมสิ”
‘กลัวโดนพ่อแม่ฉันตำหนิสินะ’
“ฉันเห็นคุณงานยุ่งนี่คะ”
“ยุ่งแค่ไหนก็ต้องชวนผมจะได้ลางานไป”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะไว้โอกาสหน้านะ รักนะคะ”
ฉันรีบตัดบทแล้วกดวางสายมันได้ผล พ่อแม่ฉันเชื่อสนิทว่าเราสองคนยังรักกันดีและไม่ซักไซ้ฉันอีก คืนที่สองคิมูระซังโทรหาฉันอีกครั้งคราวนี้พ่อแม่ฉันรบเร้าให้วิดีโอคอล เขาอึกอักแต่ฉันไม่ยอมวางสายปล่อยให้พ่อแม่เรียกร้องต่อไปเขาจึงขอเวลาสักครู่และหายไปสามนาทีก่อนโทรกลับมา มันเป็นการคอลแบบกลุ่มคุยกันทั้งสี่คน พ่อแม่กับฉันใช้คนละเครื่องจะได้ไม่ต้องนั่งเบียดกันให้ลำบากและยังคุยกันได้อยู่คนละมุมบ้าน
‘ดีเล่นละครได้เก่งมาก ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตอบคำถามคุณพ่อ’
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันสายตาฉันก็สังเกตเห็นเงาขมุกขมัวของใครบางคนสะท้อนอยู่บานประตูไม้เคลือบอย่างดีของบ้านที่ฉันคุ้นเคยทุกซอกทุกมุมจึงรีบกดแคปหน้าจอเพื่อเก็บไว้ดูให้แน่ใจหลังจากวางสายฉันก็ต้องรีบเข้าห้องนอนฟูมฟายอีกครั้งเพราะเงานั่น
‘กล้าดียังไงถึงได้ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าห้องนอนฉัน’
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดฉันส่งข้อความแจ้งทนายและเขาก็ตอบรับมาทันที
‘อดทนนะริกะ’
ฉันได้แต่บอกแบบนั้นกับตัวเองจนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เลยตื่นมาอีกทีก็สายมากแล้ว
“ทนอยู่ที่นี่อีกคืนเดียวริกะอย่างน้อยก็ปลอดภัย แต่หลังจากนี้ฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไม่ได้ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
