Sr1. EP6 นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไป?
Broken รักนี้ฉันจะไม่ขอเอาคืน
ตอน นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไป?
ฉันเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สิบโมงเช้างัวเงียลุกมาดูเวลาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าและเตียงข้างๆ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน
“ตายจริงฉันยังไม่ได้เตรียมอาหารเช้าให้เขาเลย”
ฉันดีดตัวลุกออกจากเตียงนุ่มวิ่งไปคว้าเอาเสื้อคลุมมาใส่ลุกลี้ลุกลนออกด้านนอกร้องเรียกชื่อเขาไปตลอดทาง
“คิมูระ คิมูระซังขอโทษนะที่ตื่นสายฉันจะเตรียมอาหารเช้าให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”
ฉันชะงักมองหาสามีไปทั่วห้องโถงทุกที่ที่เขาเคยอยู่ หน้าจอทีวีตรงนั้น หรือมุมอ่านหนังสือรออาหารเช้าข้างประตูหลังบ้านในวันหยุดแม้ตื่นสายเขาก็ไม่เคยว่าในปีแรกตอนนี้มันไร้เงาใครคนนั้น
บ้านเงียบสงัดดั่งโลกนี้เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว ฉันหมดกำลังใจและเริ่มท้อวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเราเขาลืม เขาควรพาฉันไปกินอาหารอร่อยๆ หรือไปที่ที่โรแมนติกสักที่ ฉันคิดวกวนอยู่แบบนั้นเดินไปหยิบโทรศัพท์กดเบอร์เขามันดังอยู่นานแต่กลับไม่มีคนรับสาย
“ไม่เป็นไรบางทีเขาอาจออกไปทำธุระ ไปซื้อของมาเตรียมอาหารเย็นรอเขาก็ได้”
คิดดังนั้นฉันก็เดินตรงไปอาบน้ำนึกทบทวนหลายอย่าง
“นี่ฉันต้องทนอยู่แบบนี้จนแก่เฒ่าจริงๆ เหรอ ฮึกๆ”
น้ำตาไหลซึมผสมเข้ากับสายน้ำจากฝักบัวใหญ่ความทุกข์ใจสะสมทำให้ร้องไห้เพราะมันอัดอั้นอยู่ในอก ฉันยืนกอดตนเองนานเท่าใดไม่รู้และเริ่มสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วมือเหี่ยว จึงรีบถูสบู่ชำระล้างจนสะอาดปิดก๊อกสูดหายใจเข้าลึกเช็ดตัวให้แห้งแล้วเดินออกมาเป่าผมแต่งตัวลงเมคอัพเตรียมออกไปซื้อของมาทำกับข้าว ฉันยังคงพยายามภักดี
หลังเลือกของเสร็จและกำลังรอคิวจ่ายเงินกับแคชเชียร์ฉันเห็นใครบางคนที่คุ้นตาโดยเฉพาะฝ่ายชายยืนอยู่อีกสองเคาน์เตอร์ถัดไป ด้วยมุมที่ยืนมันบังตัวฉันจากเขาและเธอพอดี
“ฮัลโหล” ในที่สุดเขาก็รับสายฉัน
“ที่รักคะวันนี้เป็นวันสำคัญของเรานะคุณจะกลับมากินมื้อเย็นหรือเปล่าฉันจะได้ทำอาหารรอ” ฉันยกมือขึ้นป้องปากกระซิบอย่างแผ่วเบา
“วันสำคัญเหรอวันอะไรน่ะ”
“วันครบรอบแต่งงานของเราไงคะ”
“วันนี้เหรอ”
“ค่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ชายที่ฉันคุ้นหน้ามองค้อนเขาอย่างไม่พอใจ
“หมื่นห้าพันเยนค่ะ”
แคชเชียร์เรียกเก็บเงินแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ดึงเสื้อเขา ฉันเห็นมีเนื้อหมูสำหรับทำ สเต๊กสองที่พร้อมมันฝรั่งเครื่องเคียงอื่นๆ และไวน์ราคาถูก
“เอ่อ ขอโทษนะริกะ พอดีฉันยุ่งน่ะ บอสเรียกให้ฉันออกมาเคลียร์งานกว่าจะกลับคงดึก เอาไว้คราวหน้าฉันจะพาเธอไปดินเนอร์ร้านประจำเองนะไม่ต้องรอหรอกเธอกินได้เลย”
“แต่วันนี้วันหยุดคุณนะคะ”
“เออน่าแค่นี้แหละงานฉันเร่งเดี๋ยวเสร็จช้ากลับบ้านตีสองตีสามพรุ่งนี้ตื่นมาทำงานไม่ไหวฉันถือว่าเป็นความผิดเธอนะ”
เขากดวางสายทันทีโดยที่ฉันยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรน้ำตาฉันเริ่มรื้นขึ้นมาอากาศจากภายในมันไหลมาจุกที่คอ ผู้หญิงคนนั้นแอบขำฉันรู้สึกว่าเธอกำลังสะใจ
“คนโกหก”
ฉันมองคิมูระเดินออกไปกับผู้หญิงคนนั้นร่างกายแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกค้อนปอนด์ทุบจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
“หมื่นหกพันเยนค่ะ คุณคะ คุณ” ฉันสะดุ้งสุดตัวหันไปมองยังทิศทางคนที่เรียกฉัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“คะ!!?”
“น้ำตาคุณไหลค่ะ”
“ตายจริง” ฉันรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
“เรียกฉันทำไมคะ” สมองฉันตื้อไปหมดแล้วจึงถามออกไปแบบนั้นและแคชเชียร์เองก็คงงง
“เอ่อ ค่าสินค้าหนึ่งหมื่นหกพันเยนค่ะ”
“จริงสิ”
ฉันควักเงินจ่ายเพราะไม่อยากเอาคืนไปเก็บและอายพนักงานขายทั้งที่ไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำไม คงไม่มีใครกลับไปกินข้าวฉลองวันครบรอบแต่งงานกับฉันอีกแล้ว
ฉันถือถุงสินค้าออกจากห้างอย่างล่องลอยเดินก้มหน้าเช็ดน้ำตาไปเรื่อยอย่างคนไร้จุดหมาย
‘เคียวยะ ฉันอยากให้นายกอดปลอบใจจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ เพื่อไม่ให้ตนตกเป็นผู้ร้ายเสียเองฉันขอจัดการเรื่องนี้ให้จบก่อนแล้วถึงจะไปหานายที่บาร์’
ฉันคิดอะไรไปเรื่อยพอรู้สึกตัวอีกทีก็เดินจนถึงใจกลางสวนสาธารณะ หย่อนตัวลงบนม้านั่งเหม่อมองไปด้านหน้าในมือยังถือถุงเอาไว้แน่นก่อนยกมันขึ้นวางไว้ข้างๆ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้วงโทรศัพท์ออกมายกสายหาใครบางคน
“สวัสดีครับ ตอนนี้ผมไม่อยู่กรุณาฝากข้อความเอาไว้แล้วผมจะติดต่อกลับไปในภายหลัง”
“คุณทัสสึโมโตะใช่ไหมคะ กลับมาถึงเมื่อไหร่ช่วยติดต่อมาเบอร์นี้ด้วยนะคะ ฉันคุโรงาวะ ริกะ”
ฉันบอกชื่อและเบอร์ทิ้งเอาไว้ก่อนวางสายแล้วนั่งรอเวลาต่อจากนี้จะไม่ทนอีกต่อไปแล้วชีวิตเป็นของฉัน
บนม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนทบทวนหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา นึกย้อนกลับไปในวันที่เขาเดินออกนอกบ้านเพื่อรับโทรศัพท์แล้วเริ่มมีอาการหลบๆ ซ่อนๆ ทำตัวลับลมคมในมาตั้งแต่บัดนั้นและฉันไม่เคยเอะใจใดๆ ทั้งสิ้นเลย ตอนนี้รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นคนหูหนวกตาบอดและโง่สิ้นดี
“นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาเหินห่างและเย็นชาสินะ”
ฉันนึกถึงบางคืนที่เขากลับดึกและมักได้กลิ่นน้ำหอมแปลกๆ พอถามเขาก็อารมณ์เสีย รอยลิปสติกที่เจอบนเสื้อสูทเขาก็บอกมันเป็นอุบัติเหตุเพื่อนร่วมงานแกล้งกันเลยถลามาชนอก ซ้ำร้ายยังด่าฉันเมื่อถูกซักถามหาว่าจะสังเกตอะไรนักหนาสูทเป็นสีดำเธอยังเห็นรอยลิปสติก หาว่าฉันเป็นนักจับผิดบ้างชวนทะเลาะบ้างหาเรื่องบ้างวันนี้เพิ่งได้รู้ความจริงว่านังนั่นเป็นสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไปหรือไม่ฉันก็เลือกคู่ชีวิตผิด
“แล้วนังนั่นเป็นใครกัน” ฉันคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นมากแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
นานเท่าใดไม่รู้ที่ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นจนเห็นคนเริ่มมาวิ่งออกกำลังกาย
“อ้าวพี่ริกะจัง”
“เคียวยะคุงเหรอ”
แค่เห็นหน้าเขาฉันก็แทบกระโดดกอดให้คลายความทุกข์แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะกลัวเคียวยะคุงจะสงสัย แต่น้ำตามันดันรื้นขึ้นมาและไหลรินต่อหน้าเขาเอาดื้อๆ
“พี่ริกะร้องไห้ทำไมครับ” เคียวยะปรี่เข้ามาหาฉันท่าทางตื่นตระหนก
“เอ่อ เปล่าๆ แค่รู้สึกระคายเคืองเหมือนฝุ่นเข้าตาเลย”
ฉันหลอกรุ่นน้องแต่ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อไหมทั้งพยายามซ่อนเสียงสะอื้นไว้ในอกและรีบปาดน้ำตา
“แล้วนี่ถุงอะไรล่ะครับ”
“อ้อไม่รู้สิ” ฉันโกหกเขาอีกครั้ง
“งั้นพี่รอผมอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้”
“อื้ม” ฉันแหงนมองเขาฝืนยิ้มให้ดูสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อย่าไปไหนนะครับเดี๋ยวผมมา”
“ตกลง”
พอรุ่นน้องผู้น่ารักเดินลับหายไปน้ำตามันก็ร่วงรินแต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกความรู้สึกเศร้าเข้ามา
“ฮัลโหล ผมทัสสึโมโตะ ฮิโรชิ คุณหนูริกะมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“คุณฮิโรชิเองเหรอคะ”
