คุกกี้สีชมพู 3/3
บทที่ 2 คุกกี้สีชมพู
เธอเกริ่นระหว่างเริ่มลงมือกิน คนที่เริ่มเทเบียร์มาดื่มแกล้มหมูย่างก็มองอย่างสนใจ
“เชฟยูเขาเป็นคนยังไงเหรอคะ มีอะไรที่ไม่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า เวลาไปถ่ายรายการกับเขา นุ่นจะได้ไม่ทำ”
“คนที่นุ่นต้องระวังคือผู้จัดการนัมต่างหาก”
“ฮึ? เขาออกจะดูสุภาพและใจดี”
“โอ้ย! สร้างภาพ นั่นเพราะต้องต้อนรับแขกน่ะสิ อย่าให้เจอตอนทำงาน มีใครไม่ต้องหัวหดเพราะผู้จัดการนัมบ้าง ขนาดเชฟอีกสองคนในครัวยังขยาด อีตานั่นน่ะเฮี้ยบยิ่งกว่าครูห้องปกครอง”
พี่บัวตอบแบบไม่มีกั๊ก เธอก็ตั้งใจฟังแต่ยังไม่วางมือจากไส้ย่างแสนอร่อย แล้วคิดตามว่ายูลีจุนจะเป็นคนแบบไหน ลูกน้องถึงไม่มีเรื่องให้นินทา
“เชฟยูน่ะแกเป็นคนนิ่งๆ ใจเย็น รักสันโดษ ชอบอยู่เงียบๆ แต่เป็นคนใจดี น่ารัก”
พรชนิตย์โล่งใจ คนที่เธอจะได้เรียนด้วยแบบฟรีๆ ไม่ดุ ไม่ขี้หงุดหงิด ไม่ขี้โวยวาย เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว
“เชฟเป็นลูกชายคนเล็กของยัมยัมกรุ๊ป ทางบ้านเขาออกจะปลื้มอกปลื้มใจที่ลูกชายเป็นเชฟ ก็เพราะตระกูลยูมีลูกชายสองคนที่คอยช่วยงานอยู่แล้ว แล้วเชฟยูมาเป็นเชฟเซเลบ ออกทีวีบ่อยๆ แบบนี้ก็มีผลดีต่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ในเครือของเขา… นุ่นโชคดีมากเลยนะที่ได้เรียนกับเชฟยู ถึงจะทำไปเพื่อการแข่งขันหากำไรจากสปอนเซอร์ก็เถอะ”
“งั้นนุ่นต้องฉลองใหญ่แล้วล่ะพี่”
“อย่าดื่มเยอะ เดี๋ยวเมา”
พี่บัวเตือนแล้วแต่พรชนิตย์ก็ยิ้มหวาน คะนองร้องเรียกหาเหล้าโซจู สั่งเผื่อพี่บัวด้วยอีกขวดทั้งที่ฝ่ายนั้นมีเบียร์อยู่ในมือแล้ว ก็ถือว่าเป็นน้ำใจจากเธอก็แล้วกัน
ไส้ย่างนี่อร่อย มีผักแกล้มเยอะ ไหนจะเนื้อหัวเข่าหมูที่พี่บัวบอกว่าเด็ด พรชนิตย์กินไปก็ยิ้มแป้นด้วยรสชาติของมัน แล้วยังลองหยิบโซจูขึ้นมาซดจนหมดแก้วเหมือนนางเอกละครอีกด้วย
“อ่า! ขม…”
“ถ้าเหล้าหวานเมื่อไรก็แปลว่าเธอเมาแล้วจ้ะ” พี่บัวบอกทั้งที่มือยังคีบหมูย่างห่อกับใบงา “หรือว่าคอแข็งล่ะเรา”
“พอดื่มได้บ้างค่ะ แต่ไม่เคยเมา”
“ก็อย่าเมาแล้วกัน”
เหล้าอ่อนๆ แบบนี้จะไปเมาได้อย่างไร มิน่าถึงได้เห็นนางเอกซีรีส์เกาหลีซดเจ้านี่ตอนอกหักได้ ว่าแล้วก็อยากลองสักที
“เฮ้ยนุ่น! ทำอะไร”
พอเธอนึกคึกยกโซจูกระดกเข้าไปจนหมดขวดเพราะเลียนแบบนางเอกละคร พี่บัวก็ร้องลั่น แต่คนที่ยังรู้สึกว่าเหล้านี่ดีแต่ขม ดีกรีช่างอ่อนแสนอ่อนกลับยิ้มชอบใจ คีบหมูย่างชิ้นต่อไปเข้าปากได้หน้าตาเฉย
“พี่เชื่อแล้วว่านุ่นคอแข็งจริงๆ”
พี่บัวบอกอย่างอ่อนใจแล้วหันไปย่างหมูต่อ เธอก็หัวเราะขึ้นมาเสียเฉยๆ เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่คิดว่ายังไม่เมา รสชาติของโซจูก็ยังติดใจ ขออีกสักขวดก็แล้วกัน
เมื่อเริ่มดื่มขวดที่สอง พรชนิตย์ชักรู้สึกว่าโลกมันโคลงเคลง พี่บัวแยกร่างออกมาเป็นสองคน ซ้ำร้ายเธอปวดหัว รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในรถไฟเหาะตีลังกา อะไรๆ ที่กินเข้าไปก็สวนออกจากทางเดิม กลั้นไม่ไหวอีกแล้ว
“นุ่น! นุ่น!”
พรชนิตย์ยังพอมีสติมากพอจะรู้ว่าอย่าอ้วกในร้าน คนพะอืดพะอมวิ่งออกไปทันที ถังขยะริมต้นไม้คือที่หมาย อะไรที่กินเข้าไปก็พุ่งออกมาในคราวเดียว
“นุ่นเป็นยังไงบ้าง” พี่บัวตามออกมาลูบหลังให้เธอ “เมาหรือเปล่าเนี่ย”
“ป๊าว… หนูแค่ปวดหัว… จะอ้วก…”
แม้จะคุยกับพี่บัวรู้เรื่อง แต่พรชนิตย์กลับรู้สึกว่าพื้นมันไม่นิ่ง โคลงเคลงอย่างกับนั่งเรือในคลองแสนแสบ ภาพรอบตัวก็พร่ามัวไปหมด
พรชนิตย์บอกตัวเองว่าให้มองออกไปไกลๆ เผื่อจะแก้อาการตาลายนี้ได้ แต่เมื่อมองไกลออกไป หัวใจของเธอก็เต้นแรงราวกลองรบ รู้แล้วว่าวันนี้เธอมากับดวงจริงๆ เพราะนอกจากจะได้คอร์สเรียนฟรีกับเชฟระดับโลกแล้ว ยังได้พบคนที่ตามหามากว่าห้าปีอีกด้วย
“มินโฮ! คิมมินโฮ!”
เธอตะโกนร้องเรียกคนที่อยู่ไกลออกไป แล้วหัวใจก็สั่งให้วิ่งเข้าไปหา ต่อให้โลกใบนี้จะโคลงเคลงเท่าไร พรชนิตย์ก็จะไปหาคนที่ยืนอยู่ริมถนนตรงนั้นให้ได้
น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน ในที่สุดก็ได้กอดเขาอีกครั้งแล้ว
“ฮื่อ… ฉันคิดถึงแก คิดถึงที่สุดเลย”
พรชนิตย์พร่ำพูดออกมาทั้งที่อาการปวดหัวทำให้เธอทรมานแทบบ้า แต่ก็กอดคนที่คิดถึงสุดหัวใจไว้ทั้งน้ำตา เขาเองก็ยืนนิ่งให้เธอกอดเหมือนกัน
“รู้จักกันด้วยเหรอ”
พี่บัวตามมาถามด้วยความห่วงใย พรชนิตย์ก็ยิ้มร่า แต่ไม่ยอมปล่อยคนที่เธอกอดอยู่แม้จะยอมผละออกมาตอบคำถามของพี่บัว
“พี่บัว หนูขอตัวเลยนะพี่ หนูเจอเพื่อนแล้ว… หนูเจอเพื่อนเเล้ว… มินโฮ ฉันคิดถึงแก คิดถึงที่สุดเลย”
