คุกกี้สีชมพู 2/3
บทที่ 2 คุกกี้สีชมพู
นัมจองซูยังอธิบายต่อไปด้วยเสียงนุ่มนวลเจือรอยยิ้ม ซึ่งพรชนิตย์ก็เห็นแล้วว่าคนที่มามุงดูอยู่ทำตาเป็นมัน แปลได้ว่าผู้คนเหล่านี้ก็เตรียมพร้อมที่จะมารับคุกกี้เสี่ยงทายเหมือนกันกับเธอ
“ตามที่ประกาศกติกาไว้ในทางแฟนเพจของร้านนะครับ ผู้มาร่วมกิจกรรมจะต้องเซ็นสัญญากับทางช่องด้วย หากไม่สะดวกมาร่วมกิจกรรมด้วยการเข้าเรียนกับเชฟยูจนครบตามกำหนด โปรดสละสิทธิ์นะครับ”
ให้เธอนั่งรถจากจังหวัดคย็องกีสัปดาห์ละครั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย พรชนิตย์คำนวณค่ารถและค่ากินค่าอยู่มาแล้ว คุ้มค่าแน่ๆ กับการได้เรียนรู้วิชาจากเชฟระดับโลก
ส่วนเรื่องที่ต้องออกทีวีก็ไม่เกร็ง เพราะปกติก็ทำงานออกสื่ออยู่บ่อยๆ ไม่ประหม่ายามออกกล้องแน่ๆ
แต่ที่เธอกลัวคือตัวเองจะโชคดีหรือเปล่า ก่อนออกจากบ้านก็บนกับเจ้าแม่มู่หลาน ที่ลานบ้านพี่สาวไว้แล้วด้วย งานนี้คงอาศัยแต้มบุญล้วนๆ เลย
ขอฟรีนี่แหละที่เธอคู่ควร แต่ไม่รู้ว่าของฟรีจะเลือกเธอไหม
“คนที่มั่นใจว่าจะเซ็นสัญญากับเราได้ เชิญมารับคุกกี้เสี่ยงทายได้เลยครับ”
ประมาณด้วยสายตาคือหกสิบคน พรชนิตย์ถึงกับตาเหลือก ตกใจในอัตราส่วนสิบต่อหนึ่ง แล้วผู้คนก็กรูกันไปต่อแถวรับคุกกี้จากมือนัมจองซู
ทุกคนได้รับคุกกี้แล้วกลับมานั่งที่เดิม แต่ใจเธอไม่สงบเอาเสียเลย ได้แต่กุมถุงคุกกี้เนยผูกโบสีหวานไว้ด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง ลุ้นแล้วลุ้นอีกว่าเจ้าฉลากในรูปแบบคุกกี้เสี่ยงทายที่เธอจับมาได้นี้จะนำโชคมาให้หรือไม่
“ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับคุกกี้ครบทุกคนแล้วใช่ไหมครับ” นัมจองซูถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจหลังจากผู้ไปต่อแถวรับของจากเขาหมดลงแล้ว “เอาล่ะครับ พร้อมกันหรือยัง”
“พร้อมแล้ว”
พรชนิตย์ประสานเสียงไปกับทุกคนที่ถือถุงคุกกี้ไว้ในมือ ใจหายใจคว่ำก็ด้วยความตื่นเต้น ขอให้เธอได้คอร์สเรียนฟรีทีเถอะ เพี้ยง!
“เปิดถุงคุกกี้สิครับ ดึงโบออกแล้วชิมขนมสักคำ แล้วเราจะบอกว่าใครคือผู้โชคดีที่ได้ร่วมโปรเจกต์กับเชฟยู”
เปิดถุงคุกกี้กันอย่างพร้อมเพรียง ต่อให้ตอนนี้มันลุ้นเสียจนไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลยสักนิด แต่พรชนิตย์ยอมหยิบขนมขึ้นมากัด หวังเล็กๆ ว่าเธอจะเจอกระดาษสอดไส้ไว้ บอกว่าเป็นผู้โชคดีได้เรียนกับเชฟยู
แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกระดาษประกาศผลในคุกกี้ที่เธอกัดกิน หมดหวังแล้วใช่ไหม
“ใครที่ถือโบสีชมพูอยู่ ชูขึ้นมาเลยครับ”
ผู้จัดการร้านประกาศเนิบๆ เหมือนเคย แต่หัวใจของเธอแทบจะวายตาย พรชนิตย์ก็ไม่ต่างจากทุกคน รีบหันไปมองโบผูกถุงขนมที่เพิ่งแกะออกไป
แล้วหัวใจของหญิงสาวก็พองขึ้นมาเต็มอกอีกครั้ง ยิ้มได้เต็มใบหน้าเพราะในมือเธอถือโบสีชมพู
หกคนที่ได้รับถุงคุกกี้ผูกโบสีชมพูเข้าไปฟังนัมจองซูชี้แจงเรื่องเงื่อนไขของโครงการ เซ็นสัญญากันเรียบร้อยภายในสี่สิบนาที พรชนิตย์กลับรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาไม่กี่อึดใจเลย
หลังจากทักทายและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมคลาสแล้ว พรชนิตย์ก็รู้ว่าถึงเวลาบอกลาทุกคน ก้าวขาออกจากร้านโดยที่ไม่ได้พบยูลีจุน แต่ผู้จัดการร้านบอกว่าถึงวันที่ต้องสอนสูตรขนมเพื่อถ่ายทำรายการ เขาจะมาสอนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
พรชนิตย์เดินออกจากร้านมาพบว่าท้องฟ้านอกร้านมืดสนิท รอบตัวเต็มไปด้วยแสงสีของมหานครใหญ่จนนึกว่าดึกมากแล้ว แต่พอดูนาฬิกากลับพบว่าเพิ่งจะหกโมงเย็น กระนั้นกระเพาะของเธอก็ยังทำงานตรงเวลา
แล้วมื้อเย็นครั้งแรกในกรุงโซลนี้จะเป็นอะไรดี เอาแบบที่อิ่มจนหลับ ให้ลืมกลัวผีในห้องพักโรงแรมไปได้เลย พรชนิตย์นึกไปก็ยิ้มหวาน เธอวางแผนจะมาตะลุยกินสตรีทฟู้ดในย่านเมียงดงไว้แล้ว ไปลุยเลยแล้วกัน
“น้องนุ่นๆ”
เธอยังไม่เดินจากหน้าร้านไปไหนเลย พรชนิตย์ก็รีบหันหาคนไทยที่เรียกกัน มั่นใจว่าพี่บัวไม่ผิดแน่
“ไปหาอะไรกินกันไหม” สาวรุ่นพี่ชวนอย่างใจดี “พี่อยากเลี้ยงต้อนรับน้องนุ่นน่ะ”
“คะ?”
“ก็แหม พี่ดีใจ ได้เจอคนบ้านเดียวกัน ถือว่าไปฉลองให้น้องก็แล้วกัน”
พรชนิตย์ไม่ได้ตอบในทันที สัญชาตญาณของเธอบอกว่าพี่บัวไม่มีพิษมีภัยอะไร เลิกงานแล้วเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันอุตส่าห์จะพาไปหาของกิน แต่เธอก็เกรงใจ
“จะดีเหรอคะ นุ่นเกรงใจพี่”
“ไปเถอะ วันนี้พี่ว่าง” พี่บัวคะยั้นคะยอ “สามีพี่ไปทำงานที่ต่างจังหวัด คืนนี้ถึงกลับไปพี่ก็อยู่บ้านคนเดียว ไหนๆ เจอคนไทยที่จะเข้ามาที่ร้านบ่อยๆ แล้ว ไปกินข้าวด้วยกันเถอะนะ”
“ค่ะ”
รับปากแล้วพี่บัวก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี แล้วพาเธอก้าวเดินออกจากร้าน กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่จะได้เดินชมกรุงโซลยามค่ำคืน
เมืองใหญ่เต็มไปด้วยตึกรานใหญ่โต บางตึกสูงระฟ้า ประดับไฟละลานตา อีกย่างที่เห็นคือมูกุงฮวาสีชมพูดูสดใสบานสะพรั่ง สวยจนเธอยิ้มตาม
พี่บัวบอกว่าจะพาไปกินไส้ย่างร้านโปรดซึ่งเป็นร้านริมทาง บรรยากาศเหมือนกับที่เธอเคยเห็นในซีรีส์เกาหลีไม่มีผิดเลย
ร้านเป็นเต็นท์ที่ล้อมรอบด้วยผ้าใบ เปิดเข้าในข้างในก็ระอุไปด้วยกลิ่นหมูย่าง ผู้คนนั่งกันเต็มแทบจะไม่เห็นโต๊ะว่าง ถ้าพนักงานร้านไม่มาเคลียร์ที่ให้ เธอกับพี่บัวอาจจะอดกินไปแล้ว
“ร้านนี้อร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆ ที่ไหนเลยนะ พี่รับรอง”
พี่บัวชวนคุยหลังจากสั่งอาหารเสร็จ พรชนิตย์จึงทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดีด้วยการรินน้ำให้เพื่อนใหม่ดื่มแล้วตั้งใจฟังต่อไป
“นี่ๆ เคยกินเนื้อตรงหัวเข่าหมูย่างไหม มันอร่อยหนุบหนับอย่าบอกใครเชียว”
“เนื้อตรงหัวเข่าหมูเนี่ยนะพี่”
“แม่ค้าเขามีวิธีเลาะออกมา พี่หลอกถามหลายทีแล้ว ไม่ยอมปล่อยสูตรเลย”
พี่บัวเล่าต่ออย่างขบขัน แล้วก็ต้องหุบปากเงียบเมื่อพนักงานเอาของมาเสิร์ฟ คงกลัวจะรู้ว่านินทาเจ้าของร้านอยู่ เห็นอย่างนั้นพรชนิตย์ก็อดขำไม่ได้จริงๆ
“แล้วนุ่นจะเริ่มถ่ายทำรายการวันไหนนะ ต้นเดือนหน้าใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีแล้วที่ได้เรียนในช่วงฤดูร้อน ถ้าเข้าช่วงใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวละก็ เป็นพี่คงแทบจะไม่อยากขยับตัวออกจากบ้านเลย”
“เกาหลีหน้าร้อนนี่ก็น้องๆ ประเทศไทยเลยเนอะพี่”
“จะว่าไปก็คิดถึงบ้านเรา”
คุยกับพี่บัวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยพรชนิตย์ก็สบายใจ มีเพื่อนใหม่ในต่างแดนถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ยิ่งมาเจอคนที่ทำงานกับคนที่เธอชื่นชมด้วยแล้ว พรชนิตย์ก็อดถามไม่ได้จริงๆ
“พี่บัวคะ นุ่นถามอะไรหน่อยสิ”
