กลับบ้าน 1/3
บทที่ 3 กลับบ้าน
ในเมื่อเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าเธออยู่กับใคร พรชนิตย์ก็ยอมให้เขาลากกลับบ้านทั้งที่อาการเมาทำให้ตัวเองหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่หยุด แล้วพอมาถึงเตียงนอนนุ่มๆ คนปวดหัวก็เทตัวลงนอนแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ตื่นขึ้นมาโดนสวดเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าไม่รักไม่ห่วงมินโฮคงไม่ต่อว่าเธอ
สารภาพจนจบแล้วพรชนิตย์ก็ยิ้มแหย จากตอนแรกที่ฟูมฟายใส่เพราะงอน กลับต้องมานั่งหงอแทน ลุ้นจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่ามินโฮจะทำอะไรกับเธอต่อ
“ตอนนี้คุณพักอาศัยอยู่กับพี่สาวที่คย็องกีใช่ไหม”
มินโฮถามเสียงเย็นหลังจากที่เธอเล่าเรื่องจบ แล้วเขาก็ถอนหายใจแรงๆ ให้ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ กินข้าวเช้าแล้วผมจะพาไปเอากระเป๋าที่โรงแรม จากนั้นจะไปส่งที่บ้านพี่สาว เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์เหล้าอย่างนี้ อย่าเดินทางโดยลำพังเลย”
“แบบนี้แหละ ฉันถึงรักแกที่สุดเลย”
เพื่อนน่ารักขนาดนี้ คนอารมณ์ดีเพราะโชคดีสองเด้งสามเด้งก็โน้มตัวไปจุ๊บแก้มเข้าเต็มฟอด ยิ้มแฉ่งให้มินโฮได้เต็มที่แม้เขาจะยืนอึ้งไปก็ตาม
พรชนิตย์อารมณ์ดีเกินกว่าจะใส่ใจอาการอึ้งกิมกี่ของมินโฮ เดินตัวปลิวไปตามหาห้องน้ำด้วยตัวเอง แล้วก็เจอห้องสุขาอยู่ที่ชั้นล่าง มีอ่างล้างมือแต่ก็ไม่มากพอที่เธอจะใช้งาน
“มินโฮ แกมีแปรงสีฟันให้ฉันยืมไหม”
ตะโกนถามจากในห้องน้ำ พรชนิตย์ก็ไม่ได้คำตอบจนต้องชะโงกหน้าออกมาเพื่อเรียกซ้ำ แต่ก็แปลกใจที่เพื่อนยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
“มินโฮ” เธอเรียกย้ำอีกที คนที่ยืนอึ้งก็สะดุ้งเบาๆ ให้ต้องขำ “แกเป็นอะไร ยืนนิ่งอยู่ได้”
“ปะ… เปล่า”
“แล้วมีแปรงสีฟันให้ยืมไหม”
“คุณไปใช้ห้องน้ำที่ชั้นสองเถอะ เผื่ออยากอาบน้ำ ผมจะหาแปรงสีฟันกับผ้าเช็ดตัวให้”
จู่ๆ เขาก็ขึงขังขึ้นมา ออกคำสั่งเฉียบขาดจนคนมายืนขอแปรงสีฟันยังงง แต่ก็ยอมทำตามคำสั่ง เดินกลับขึ้นชั้นสองของบ้านอย่างไม่ต่อปากต่อคำ
พรชนิตย์ได้ขึ้นมาสำรวจชั้นสองอีกครั้ง รู้แล้วว่ามันเป็นห้องนอนที่กว้างมาก แล้วยังมีบันไดเชื่อมต่อขึ้นไปอีก เธอมองบ้านของเพื่อนอย่างตื่นตาตื่นใจ แล้วที่อยากรู้มากกว่านั้นคือกว่าห้าปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับมินโฮ ทำไมเขาขาดการติดต่อจากเธอไปเลย
“นุ่น” คิดถึงอยู่ไม่นานเจ้าของบ้านก็ตามขึ้นมา “นี่ผ้าเช็ดตัวกับแปรงสีฟัน แล้วเสื้อผ้าก็เอาใส่เครื่องได้เลยนะ อบไม่นานคงแห้ง”
“อยู่บ้านนี้คนเดียวเหรอ”
เธอถามเรื่องใหม่ขึ้นมา มินโฮก็พยักหน้าให้
“แกไปทำอะไรมาเนี่ย รวยถึงขั้นมีบ้านแบบนี้ในโซลได้เลยเหรอ”
“เป็นโครงการบ้านจัดสรรแห่งสุดท้ายที่คุณย่าร่วมทุน ท่านให้ผมมาหลังหนึ่งเป็นของขวัญตอนเรียนจบ หลังจากนั้นก็ขายหุ้นแล้วไปใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ต่างจังหวัด”
“ก็พอจะรู้นะว่ารวย แต่นี่ย่าแกจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโซลเลยเหรอ”
“ท่านเป็นแค่ผู้ร่วมหุ้น ไม่ใช่เจ้าของโครงการหรอก” มินโฮแก้ไขความเข้าใจให้เธอใหม่ “แล้วตอนนี้คุณย่าก็ขายหุ้นไปหมดแล้ว ก็ลูกหลานไม่มีใครยอมทำต่อสักคน เหนื่อยจะฟาดฟันในวงการธุรกิจ”
“นั่นสินะ เงินก็มีพอใช้แล้ว ไปทำงานที่สบายใจดีกว่างานที่ทำให้ปวดกะโหลกทุกวัน”
มินโฮหลุดขำ ใบหน้าเคร่งขรึมในตอนแรกมีรอยยิ้มมาประดับประดา ดูน่ารักขึ้นเป็นกองจนเธอยิ้มตาม
หญิงสาวมองไปรอบบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นมาในใจ แล้วก็สะดุดตาเข้ากับรูปใบใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังตรงบันไดขึ้นชั้นสาม มินโฮสวมชุดครุยสีแดงเข้มยืนอยู่หน้าตึกสูงตระหง่าน อันเป็นแลนด์มาร์กที่พรชนิตย์ดูออกทันทีว่าคือที่ใด
“แกเรียนจบมหาวิทยาลัยโคเรียเลยเหรอ!”
“ก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในสาขาการเรียนกฎหมายน่ะ”
พรชนิตย์พยักหน้าหงึกๆ เพราะเห็นด้วย จำได้ว่าเมื่อห้าปีก่อนมินโฮก็กำลังอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ตามคำสั่งของคิมชีจินผู้เป็นพ่อ
นึกเรื่องพ่อของเขาขึ้นมา พรชนิตย์ก็ปิดปากเงียบสนิทแล้วบอกตัวเองว่าอย่าถามเรื่องเรียนอีก แล้วมองสำรวจภาพต่อไป เดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม แล้วก็ไปสะดุดตากับตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยโล่รางวัลหลายอย่างวางเรียงราย เมื่อก้มลงไปอ่าน หญิงสาวก็คิ้วขมวดเลยทีเดียว
“คิมอินซา”
เธออ่านชื่อที่เขียนอยู่ในโล่ออกมาเต็มเสียงแล้วหันขวับไปหาเจ้าของบ้านทันทีด้วยความสงสัยสุดหัวใจ ต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้ด้วย
“แกเปลี่ยนชื่อทำไม”
“พ่อให้เปลี่ยน”
คำตอบสั้นและห้วน น้ำเสียงเย็นชา สีหน้าเคร่งตึงของเพื่อนรักทำให้พรชนิตยก็ชะงักไป หยุดทำทุกอย่างในบัดดล
เลิกถาม เลิกซักไซ้ เธอไม่อยากให้มินโฮต้องพูดถึงพ่ออีกแล้ว
