กลับบ้าน 3/3
บทที่ 3 กลับบ้าน
มินโฮดึงเธอไปกอดไว้ในอ้อมกอดอย่างปลอดภัย เธอเห็นด้วยว่าเพื่อนถีบหมาตัวนั้นเข้าเต็มเปา เจ้าอัลเซเชียนถึงกับพุ่งกระแทกกำแพงไปร้องเอ๋งแล้วก็หมดฤทธิ์ไป
แต่ใจเธอยังเต้นแรงระส่ำด้วยความกลัว ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนรักตัวโตที่ช่วยปกป้องไว้ กลัวเท่าไรก็กอดเขาแน่นเท่านั้น มินโฮยังคงใจดี ช่วยลูบหัวปลอบขวัญให้ แม้จะไม่พูดอะไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เขามี หญิงสาวจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“บิ๊กแบงค์ลูกแม่!”
พรชนิตย์เป็นได้สะดุ้งขึ้นมาอีกหนแม้จะอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของเพื่อนรัก ก็เพราะได้ยินอีกคนตะโกนลั่น ได้สติแล้วก็ผละออกจากมินโฮเพราะจำได้ว่าเมื่อครู่มีหมาพุ่งเข้าใส่ เจ้าตัวนั้นโดนมินโฮถีบติดกำแพงไปเสียด้วย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เมื่อมองไปยังเจ้าของเจ้าหมาตัวใหญ่ เธอพบว่าผู้หญิงคนนั้นไปคร่ำครวญกอดหมาอยู่ บิ๊กแบงค์ก็ครางหงิงๆ อย่างออเซาะ ไม่เห็นกร่างเหมือนตอนที่วิ่งเข้าใส่เธอเลย
“แก! แกเตะหมาฉัน!”
คนร่างท้วมในชุดฮาวายเข้ามาชี้หน้ามินโฮ เกรี้ยวกราดใส่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“นี่มันทารุณกรรมสัตว์! ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“แล้วพวกเราต้องรักสัตว์ถึงขั้นยืนรอให้มันขย้ำเหรอคะ”
พรชนิตย์ถามอย่างสุดจะทนแล้วด่าเป็นภาษาเกาหลีแบบไม่สะดุดด้วยแรงโมโห
“แล้วทีคุณไม่ดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี ปล่อยให้มันวิ่งไล่กัดกคนอื่นไปทั่วได้หรือไง ถ้าเมื่อกี้ฉันโดนกัด ใครกันจะบาดเจ็บ ฉันก็อยู่ในเขตบ้านของฉันดีๆ โดนทำร้ายขนาดนี้ไม่ทารุณกว่าหรือไง!”
“อย่ามาปากดีนังต่างด้าว! นี่บ้านคุณนายพัค ไม่ใช่บ้านแก”
โดนคำนี้เข้าไปพรชนิตย์ก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าของหมารู้ว่าเธอมาอาศัยบ้านคุณนายพัคอยู่ แล้วยังชี้หน้าอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“ถ้าเจ้าบิ๊กแบงก์ของฉันเป็นอะไรไป ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด”
“ผมเป็นคนเตะ มาเอาเรื่องที่ผม”
มินโฮบอกเสียงเย็น ซึ่งก็ทำให้เจ้าของหมาสงบลงได้อย่างน่าประหลาด พร้อมกันนั้นเขากันตัวเธอไปไว้ด้านหลัง ไม่ให้ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ป้า
“ผมว่าผมเตะข้างลำตัว ถ้ามันฟกช้ำหรือบาดเจ็บก็พาไปหาหมอ ผมยินดีรับผิดชอบค่ารักษา แต่เรื่องนี้ต้องได้รับการดำเนินคดี และคุณก็รู้ว่าการปล่อยสัตว์เลี้ยงออกมาเพ่นพ่านในที่ดินของผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เดือดร้อนนั้นผิดกฎหมาย ถ้าอยากฟ้องร้องว่าผมทารุณกรรมสัตว์ ก็หาทนายมาเลยครับ ผมพร้อม”
“ทนายคิม…”
มินโฮพูดไปยืดยาวจนเธอเองก็ฟังแทบไม่ทัน แต่เจ้าของหมามองหน้าเขาอย่างตกตะลึง ไม่กี่อึดใจก็คงได้สติ รีบอุ้มเจ้าบิ๊กแบงก์ตัวเบ้อเร้อวิ่งโกยแน่บไปทั้งคนทั้งหมาจนเธอเป็นงง
สงสัยเจ้าของหมารู้ตัวว่าจะแพ้คดีถึงได้รีบเผ่น แต่ก็ดีแล้วเพราะต่างด้าวอย่างเธอไม่อยากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ต่อให้มินโฮจะอาสาเป็นทนายความให้ก็ตาม
แต่สงสัยอีกอย่าง นี่เธอมีเพื่อนเป็นคนดังหรือเปล่า พรชนิตย์ถึงกับมองหน้าเขาอย่างงุนงง
“ทำไมอาจุมม่าคนนั้นรู้จักแกด้วยล่ะ”
“ผมได้ทำคดีให้ค่ายนักแสดงอยู่หลายครั้ง ถ้าเขาชื่นชอบวงการบันเทิง ก็น่าจะรู้จักผม”
พรชนิตย์พยักหน้าหงึกๆ แล้วยังคิดด้วยว่าถ้าว่างๆ คงได้ถามกูเกิลแล้วว่ามีเพื่อนเป็นคนดังแค่ไหน แต่ก็ต้องค้นหาด้วยชื่อใหม่ของเขาด้วยสิ
แล้วชื่อใหม่นี่ทำให้มินโฮเปลี่ยนไปได้แค่ไหน เมื่อกี้เตะหมาตัวเบ้อเร้อเข้าไปได้อย่างไร มินโฮไม่ร้องกรี๊ดสักแอะ เตะเสร็จแล้วยังไม่สะดุ้งสะเทือน แถมกอดปลอบเธอได้ด้วย แล้วยังไปฉะกับป้าเจ้าของหมาอีกต่างหาก นิ่งสงบดังหินผา หนักแน่นและมั่นคง ต่างจากมินโฮที่เคยอยู่กับเธอเหลือเกิน
พ่อของเขาคงทำให้ลูกเปลี่ยนไปมาก มองหน้าเพื่อนแล้วพรชนิตย์ยิ่งสงสารจับใจ
“นุ่น! เกิดอะไรขึ้น!”
ไม่ทันได้คำตอบใด พรชนิตย์ก็ต้องดึงตัวเองกลับมาเพราะได้ยินเสียงพี่สาววิ่งเข้ามาหา จากรั้วไปถึงตัวบ้านนับว่าไกลพอสมควร แต่คงไม่ไกลเกินกว่าที่พรอนงค์จะรู้ได้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
พี่สาววิ่งกระหอบกระหืดเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเธอมากับใคร พรอนงค์ยิ่งตกใจมากเข้าไปอีก ยืนอึ้งอยู่ไม่กี่วินาที ก็คว้าคนที่อยู่ข้างเธอไปกอดไว้เต็มเปา
“มินโฮ…”
พี่สาวของเธอน้ำตาไหลเมื่อได้กอดมินโฮไว้อีกครั้ง สะอึกสะอื้นขึ้นมา พรชนิตย์ก็มองด้วยความเข้าใจและดีใจไปด้วย ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อมินโฮเองก็ยืนนิ่งให้พรอนงค์กอดไว้แน่น
“ได้เจอกันสักที ไอ้ตูดหมึกเอ๊ย! หายไปไหนมา” พรอนงค์ยอมผละอ้อมกอดออกเล็กน้อยแล้วก็เงยหน้ามองคนที่รักดุจน้องอย่างห่วงหาอาทร “ดูโตขึ้นเยอะเลยนะเรา สบายดีใช่ไหม”
“ครับ”
“มากับนุ่นได้ยังไง”
“ผมพบนุ่นเมาอยู่หน้าร้านไส้ย่าง บริเวณเดียวกับที่ผมไปกินเลี้ยงกับเพื่อน จึงพากลับไปนอนพักที่บ้าน แล้วพามาส่งที่นี่ครับ”
“ยายนุ่น!” ได้ยินอย่างนั้นพี่สาวก็แหวใส่จนพรชนิตย์หน้าหดเหลือสองนิ้ว “เป็นสาวเป็นนาง ไปปล่อยตัวให้เมาได้ยังไง นี่ถ้าไม่เจอมินโฮ เธอไม่โดนลากไปขายซ่องแล้วเหรอ!”
“แหม… นุ่นก็รอดปลอดภัยมาได้แล้วไง พี่จะไม่ปลอบนุ่นหน่อยเหรอ”
“ให้รู้จักเข็ดบ้างนะ”
พี่สาวบ่นสำทับแล้วก็ทำให้เธอยิ้มแห้ง เป็นอันรู้กันว่าเข็ดแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว พรอนงค์ถึงได้ยอมเลิกดุ แล้วก็เปลี่ยนจากกอดมินโฮไว้มาเป็นควงแขนแทน ทั้งยังมองอย่างปลื้มอกปลื้อมใจเหมือนเดิม
“มินโฮอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ พี่จะทำของโปรดให้กิน”
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมคงอยู่ไม่ได้ ขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ตอนเย็นผมนัดลูกความไว้ ไม่สามารถเลื่อนได้ คิดว่ามาส่งนุ่นแล้วก็จะกลับเข้าโซลเลยครับ”
“ไม่เป็นไร ว่างแล้วค่อยมาก็ได้ บ้านพี่ยินดีต้อนรับเสมอ” พรอนงค์ยังชักชวนอย่างเข้าใจ “ขอบคุณมากเลยนะ มีธุระแท้ๆ ยังมาส่งยายนุ่นให้ถึงที่”
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้นุ่นดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะครับ”
มินโฮบอกเนิบๆ ทำเอาเธอยิ่งยิ้มแห้งเข้าไปใหญ่ สำนึกแล้วว่าทำพลาดไปมาก ดีที่แต้มบุญสูง ไม่อย่างนั้นคงได้โดนลากไปขายถึงไหนต่อไหนแล้วจริงๆ
“เสร็จธุระแล้ว ผมขอตัวเลยนะครับ”
“เดี๋ยว!” พรชนิตย์ร้องห้ามแทบไม่ทัน “แกยังไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ฉันไว้เลย ไหนบอกว่าจะไม่หายหน้าไปไหนอีก แล้วจะกลับโซลแบบไม่ให้ฉันติดต่อได้เลยหรือไง”
“ครับ”
ครับนี่คืออะไรวะ!
คิดไปยังไม่ทันเอ่ยปาก มินโฮก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ปลดล็อกแล้วส่งให้เธอ เพียงเท่านั้นพรชนิตย์ก็รู้แล้วว่าเขาให้เธอบันทึกเบอร์โทรศัพท์ด้วยตัวเอง
สองพี่น้องแลกเบอร์โทรศัพท์กับมินโฮไว้เสร็จสรรพ แล้วคนตัวใหญ่ก็ค้อมศีรษะให้พรอนงค์เป็นการเอ่ยคำลา ก่อนจะพาโฟล์กสวาเกนสีเงินยวงเคลื่อนออกจากประตูบ้านไป
รถของมินโฮแล่นออกไปจนลับสายตาแล้ว เหลือแต่เธอกับพี่สาวยังยืนอยู่ที่เดิม สองพี่น้องหันหน้ามองกันอยู่ในความเงียบอย่างรู้กัน ความหนักใจเริ่มกลืนกลบความยินดีที่ได้พบมินโฮอีกครั้งก็เพราะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“พี่นิ่มเห็นอย่างที่นุ่นเห็นใช่ไหม”
“เปลี่ยนไปมากเลย” พี่สาวบ่นเบาๆ ให้รู้ว่าหนักใจไม่แพ้กัน “ถ้าไปเจอกันที่อื่น บางทีพี่คงไม่กล้าเขาไปทัก มินโฮไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“น่าจะเพราะพ่อนั่นแหละ โดนบังคับให้เปลี่ยนชื่อด้วยนะ”
“คุณคิมชีจินเขาต้องการลบอดีตของมินโฮมากขนาดนี้เหรอนุ่น!”
