กลับบ้าน 2/3
บทที่ 3 กลับบ้าน
พรชนิตย์รู้ตัวเลยว่าสงบเสงี่ยมลงมากเพราะต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ปากไว กลัวจะไปถามอะไรจนทำให้มินโฮต้องสะเทือนใจเรื่องพ่ออีก
ทางที่เธอเลือกคือไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสงบ สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวใหญ่โคร่งของเพื่อนออกมาก่อนจะเอาเสื้อผ้าของตัวเองเข้าเครื่องซัก แล้วพอเดินกลับมาที่ชั้นล่าง ซุปกิมจิใส่หมูสามชั้นกับข้าวร้อนๆ ก็วางอยู่แล้ว แต่ก็นะ คนแฮงก์ซดได้แค่น้ำซุปเท่านั้นเอง
จะว่าไปก็อยากรู้ ห้าปีที่ผ่านมามินโฮใช้ชีวิตอย่างไร เรียกหนักแล้วยังทำกับข้าวเป็นแล้วหรือ ซุปกิมจิที่เตรียมไว้ให้เธอนี่ถึงรสชาติดีเสียจริง
“คุณกินเสร็จแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ จะได้ออกเดินทางกัน”
จู่ๆ คนที่ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างก็เดินลงมาจากชั้นสองแล้วออกคำสั่งโพล่งจนพรชนิตย์แทบสำลักกิมจิ
ยิ่งกว่านั้นคือใจหาย รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของคนที่เดินเข้ามานั่งด้วย ใบหน้าเธอก็เง้างอทันที ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจนต้องพูดกับเขาไปตรงๆ
“แกสุภาพกับฉันเกินเหตุหรือเปล่าวะ ผมๆ คุณๆ อยู่ได้ พูดแต่ละทีอย่างกับเขียนประโยคในหนังสือราชการ ขนลุกว่ะ!”
บอกไปอย่างนั้น แทนที่จะมีอะไรดีขึ้น มินโฮกลับมองเธอจนคิ้วขมวด หญิงสาวก็รู้แล้วว่าเธอคงไม่ได้สิ่งเดิมกลับคืนมา ก็ห้าปีแล้ว อะไรๆ อาจจะเปลี่ยนไปมากจนไม่อาจหวนคืน
“อะๆ เอาที่แกสบายใจ เรียกอะไรก็เรียก”
คนยอมแพ้ถอยให้ครึ่งทาง แค่เรื่องพูดจาพรชนิตย์ทำใจมองข้ามไปได้
หญิงสาวพยายามจะยิ้มให้ เอื้อมมือไปกุมมือเขา คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอยู่อีกฟากของโต๊ะอาหารข้างห้องครัวก็ก้มมองสองมือที่กุมไว้อย่างประหลาดใจ
“แต่รับปากฉันได้ไหมว่าแกจะไม่หายเงียบไปอีก ฉันเป็นห่วงแกมากนะรู้ไหม”
“ขอบคุณนะ”
อุ่นใจจนยิ้มออกได้ พรชนิตย์ก็สบายใจขึ้นเป็นกอง เพราะคำขอบคุณของมินโฮนั้นเธอนับเป็นคำสัญญาที่ว่าเขาจะไม่หายเงียบจากเธอไปไหนอีกแล้ว
แม้ได้ดั่งใจหวังแล้ว พรชนิตย์ก็ยังคอยเตือนตัวเองอยู่ว่าให้ระวังคำพูด
ตลอดทางที่มินโฮพาเธอกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมจนจะไปส่งถึงบ้านของพี่สาวในต่างจังหวัด เธอเลือกคุยเรื่องสัพเพเหระ ถ้าไม่ถามว่าที่นี่ที่ไหน ตึกนี้คืออะไร ก็ถามว่าต้นไม้ข้างทางที่โฟล์กสวาเกนสีเงินยวงคันนี้แล่นผ่านคือต้นอะไร
ส่วนเรื่องใดที่ข้องเกี่ยวกับพ่อของเขาก็จะเลี่ยงให้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักเจ็บปวดมาแค่ไหน เธอเห็นมาตลอดเจ็ดปีที่มินโฮย้ายตามแม่ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ว่ามินโฮแทบจะไม่เอ่ยปากถึงพ่อ
ไหนจะอีกห้าปีที่เขาเงียบหายไป ไม่รู้เลยว่าหัวใจของมินโฮจะชอกช้ำแค่ไหน เมื่อมาอยู่เกาหลีถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
มินโฮของเธอน่ารัก สดใส ยิ้มง่าย และติดตลก แต่กาลเวลาทำให้เขาขรึมลงไปมาก ดูสงบเยือกเย็นและสุขุม แต่ถึงอย่างนั้นความรักความหวังดีที่มีต่อเธอก็ยังไม่เสื่อมคลาย
พรชนิตย์มองเพื่อนไปก็อมยิ้ม ปล่อยให้มินโฮขับรถไปเรื่อยให้เธอได้ชวนคุยประปราย รถก็แล่นไปมุ่งหน้าสู่ซูว็อนซึ่งเป็นเมืองเอกของคย็องกี เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อและมหาวิทยาลัยถึงสิบเอ็ดแห่ง แต่ยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมโบราณของเกาหลี
หากเปรียบกรุงโซลเป็นไข่แดง จังหวัดคย็องกีก็เหมือนไข่ขาวที่ล้อมรอบ แต่ไข่ดาวฟองนี้ออกจะเบี้ยวหน่อย เพราะไข่แดงอยู่ขอบ ต่อจากนี้ไปเธอคงเดินทางไปหามินโฮได้ไม่ยากเพราะระบบรถไฟรวดเร็วดี
วางแผนแล้วก็อมยิ้ม รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเสียจริงที่มาเกาหลีครั้งนี้ นอกจากจะได้เรียนทำขนมกับเชฟชื่อดังแล้ว ยังได้พบเพื่อนรักอีกด้วย
“คุณโทร. บอกพี่สาวหรือยังว่าผมกำลังจะเข้าไป”
ใจลอยอยู่ครู่หนึ่งพรชนิตย์ก็หันมามองคนที่ขับรถให้นั่งเพราะมินโฮถามเสียงเย็น
“ไม่ต้องโทร. หรอก ไปถึงก็เข้าบ้านได้เลย ฉันมีกุญแจบ้าน”
“แม่สามีของพี่สาวคุณนี่ใจดีมากเลยนะ เท่าที่ฟังๆ มา ผมยังไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลย”
“คุณนายพัคคงเหงามั้ง ก็มีลูกชายอยู่คนเดียว พอพี่นิ่มแต่งเข้าบ้านก็ดีใจใหญ่ บอกว่าเหมือนได้ลูกสาว แล้วก็เป็นคนคะยั้นคะยอให้ฉันมาอยู่เกาหลีด้วยกัน แต่ที่ฉันมาจริงๆ ไม่ใช่เพราะแค่พี่นิ่มหรอก ก็แกสัญญากับฉันแล้วไงว่าจะมาอยู่เกาหลีด้วยกัน ฉันก็เลยสอบมาทำงานจนได้ แล้วก็ได้เจอแกจริงๆ นี่ไง”
“คุณรักษาสัญญา”
“จะไม่รักษาสัญญาได้ยังไง!” พรชนิตย์ค้อนจนเสียงหลง “ฉันไม่เคยลืมแกสักนาทีเดียว แกนั่นแหละขาดการติดต่อกับฉันไปได้ยังไง ใจดำชะมัด”
“แล้วครอบครัวของคุณที่ไทยล่ะ”
“คุณป้าก็อยู่กับพี่ณัฐนั่นแหละ”
รู้ทั้งรู้ว่ามินโฮเปลี่ยนเรื่องหนีก่อนจะโดนเธอเฉ่ง พรชนิตย์ก็ยอมตามน้ำเพราะคิดว่าเพื่อนอาจจะมีเรื่องที่ไม่อยากพูด
“เอ้อแก! พี่ณัฐแต่งงานแล้ว มีลูกตั้งสองคน ว่างๆ แกก็โทร. ไปหาคุณป้าบ้างสิ บ่นคิดถึงแกอยู่เหมือนกันนะ ท่านผิดหวังมากเลยตอนที่ฉันมาตามหาแกเมื่อสองปีก่อนแล้วไม่เจอน่ะ”
“อื้ม”
รับคำเหมือนขอไปที สายตาของมินโฮทอดมองไปยังท้องถนนมากกว่าจะมองหน้าเธอ พรชนิตย์ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดหรือเปล่า รู้สึกว่าห้องโดยสารของรถยนต์คันนี้เย็นวูบลงแปลกๆ ชอบกล
แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ รถก็เคลื่อนที่ช้าลงเพราะจีพีเอสนำทางที่มินโฮปัดหมุดไว้เตือนว่าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว บ้านตระกูลพัคอยู่ในพื้นที่ไม่แออัด แต่จัดว่าไกลจากบริษัทที่เป็นเจ้าของ ต้องขับรถถึงยี่สิบนาที
รถจอดสนิทที่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ของรั้วอิฐก่อสูงในรูปแบบกำแพงเมืองโบราณ พรชนิตย์ก็สลัดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจออกไปก่อน เดินลงมาเปิดประตูเองเพราะหวังว่าจะพามินโฮไปหาพี่สาว พรอนงค์คงดีใจมากไม่ต่างจากเธอหากได้เห็นหน้าคนที่รักเหมือนน้องแท้ๆ
โฮ่ง! โฮ่ง! แฮ่…
เสียงคำรามก้องทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูบ้านได้สำเร็จตาเหลือกโตขึ้นมา เธอไม่ทันได้บอกให้มินโฮขับรถเข้าบ้านเลย แต่หมาพันธุ์อัลเซเชียนตัวเบ้อเร้อก็วิ่งพุ่งเข้ามาหาด้วยอาการน้ำลายยืด พรชนิตย์ถึงกับยืนช็อก
หมาตัวใหญ่พุ่งเข้ามาหาเธอ เห็นชัดๆ ว่าสายคล้องหลุดออกจากมือของหญิงร่างท้วมผู้เป็นจ้าของ แต่ทุกอย่างรวดเร็วและน่ากลัว สมองของเธอไม่ทำงาน ยืนขาตายอยู่ที่หน้าประตูบ้านได้เพียงอย่างเดียว
“นุ่น!”
เสียงเรียกก้องกังวาน พรชนิตย์รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายถูกกระชากให้พ้นจากจุดที่ยืนอยู่ เธอปลิวหวือตามแรงดึง แล้วซบลงบนแผงอกของคนตัวใหญ่ที่เข้ามาช่วยเหลือ
