บทที่6
“พี่กับหุ้นส่วนเพิ่งมาจากข้างนอกที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ขืนปล่อยให้อุ้มแล้วทำหลานผมป่วยจะว่าไง!” ไม่รู้ว่ากมลคิดมากไปเองรึเปล่า แต่เหมือนเธอจะรู้สึกว่าน้องชายของคชานั้น ค่อนข้างที่จะเน้นย้ำคำว่า ‘เชื้อโรค’ ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำมากเป็นพิเศษ
“นะ…นั่นสิค่ะ มลเองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ขอโทษนะคะคุณนา มลคิดน้อยไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณมล ขอบคุณมากนะคะที่เอ็นดูยัยหนู” อย่าว่าแต่เอ็นดู อนาคตให้เธอเป็นแม่เลี้ยงเธอก็พร้อมที่จะเป็นให้
ขอแค่พ่อเด็กให้โอกาส
รับรองว่าเธอเป็นได้อย่างที่ว่ามาแน่!
ผู้หญิงคนนั้นขอตัวกลับหลังจากนั้นเพียงไม่นานโดยมีพ่อของลูกเธออาสาออกไปส่ง ทิ้งให้เธออยู่กับน้องชายเขาตามลำพัง
“ไหวไหมเรา” ซึ่งทันทีที่ได้เห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีของเธอเท่าไหร่เขาถึงได้เอ่ยถามกันขึ้นเบาๆ อย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ นาทำกับคุณคีเขาเอาไว้มาก ก็สมควรแล้วที่เขาจะเกลียดนา” ใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าพ่อของลูกต้องการทำให้เธอเจ็บ แต่ถึงจะรู้ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
หน้าที่ของเธอในตอนนี้ก็เหมือนอย่างที่เขาว่า นั่นคือต้องอดทนให้มาก ต่อให้วันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายสักแค่ไหนก็ต้องทน เพราะเธอเลือกให้เรื่องทั้งหมดลงเอยแบบนี้เอง!
“นาไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ อย่าโทษตัวเองแบบนั้น” หากจะให้ว่ากันตามจริงแล้ว คนที่ผิดมันคือน้าสาวของพรรณรีต่างหาก อีกฝ่ายพอรู้ตัวว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงพยายามทำทุกทางเพื่อให้หลานสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของตัวเองมีใครสักคนเข้ามาดูแลแทน ซึ่งคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนเลย นอกจากพี่ชายของเขาที่ช่วงนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าไปพัวพันกับสองน้าหลาน
“ต่อให้นาจะไม่ได้เป็นคนสลับยาพวกนั้น…แต่ก็คือต้นเหตุของเรื่องอยู่ดีนี่คะ” แล้วแบบนี้จะให้เธอลอยตัวอยู่เหนือความผิดได้อย่างไรกัน อีกอย่างหากไม่ใช่เพราะน้าของเธอเป็นห่วงเธอจนคิดทำเรื่องแบบนั้นขึ้นมา ป่านนี้เขาอาจแต่งงานมีครอบครัวกับผู้หญิงที่เขารักไปแล้ว ไม่ต้องมาจมปรักอยู่กับคนสารเลวแบบเธอ
หากเพียงแต่เธอไม่อ่อนแอ และทำให้น้าเห็นว่าเธอสามารถอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้ เรื่องแบบนั้นมันก็คงไม่เกิดขึ้น
“ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ขอให้รู้ไว้ว่าพี่อยู่ข้างนาเสมอนะ” คำปลอบที่มาพร้อมฝ่ามืออบอุ่นที่ค่อยๆ ลูบเบาๆ บนหัวนั้นทำให้เธอยิ้มได้ ทว่าใครอีกคนที่เพิ่งจะเดินกลับเข้ามากลับยิ้มไม่ออก!
เป็นอีกครั้งแล้ว ที่คชาต้องมาเห็นภาพความสนิทสนมระหว่างน้องชายกับแม่ของลูก มันเป็นภาพที่ทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็น และทันทีที่น้องชายขอตัวกลับไป เขาก็ไม่รีรอที่จะกระชากแม่ตัวให้เดินตามกันที่ระเบียงห้อง หวังจะคุยกันให้รู้เรื่อง ว่าเธอจะไปให้ท่าผู้ชายคนไหนบนโลกนี้ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่น้องชายเขา เพราะมันคงแปลกพิลึกหากพี่น้องมีเมียคนเดียวกัน!
“คุณคี…นาเจ็บนะคะ”
“ทีผัวจับนิดจับหน่อยทำเป็นเจ็บ หรือต้องเป็นไอ้คามถึงมีสิทธิ์แตะต้องเธอได้!” ต่อให้จะไม่ใช่เมียที่อยากได้ แต่หล่อนก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียของเขา เพราะอย่างจะทำอะไรก็ควรไว้หน้ากันบ้าง!
ไม่ใช่คิดจะปล่อยให้ผู้ชายคนไหน จับเนื้อต้องตัวเอาง่ายๆ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่คามเลยนะคะ อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว!” คเชนทร์เป็นคนดี ดีมากทีเดียว เขาไม่ควรต้องมาพบเจอกับความเข้าใจผิดด้วยเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไม่ว่าจะจากใครคนไหน
“ออกตัวปกป้องมันเสียขนาดนี้…ฉันชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าเด็กนั่นเป็นลูกของฉันจริงๆ รึเปล่า” สิ้นคำพูดใบหน้าคมคายก็สะบัดไปตามแรงตบ ซึ่งกว่าจะได้สติว่าเผลอทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ร่างเล็กก็ถูกคนพาลตวัดเข้าไปโอบรัดอย่างแรง เป็นผลให้เธอออกแรงดิ้น แต่ก็เหมือนว่านั่นมันจะยิ่งทำให้เขาโกรธกันมากขึ้น
“คุณคี!”
“กล้าดียังไงเอามือสกปรกมาตบหน้าฉันห๊ะ!”
คราวนี้เป็นเสียงร้องของลูกที่ดึงสติเขาให้กลับมา ชายหนุ่มยอมปล่อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินหลบออกไปสงบสติอารมณ์ที่นอกบ้าน ทิ้งไว้ก็แต่อีกคนที่จำต้องรีบขยับไปช้อนอุ้มแก้วตาดวงใจของตัวเองขึ้นแนบอก ก่อนจะพบเข้ากับบางสิ่งที่แปลกไป
“เป็นอะไร!” พักใหญ่ทีเดียวกว่าคชาจะเดินกลับเข้ามาเพราะเสียงของลูกสาวที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด ซึ่งมันผิดนิสัยของแกที่ปกติมักจะร่าเริงแจ่มใส จะออกฤทธิ์เพียงตอนหิวกับง่วงเท่านั้น
“น้องรินตัวร้อนค่ะ แกน่าจะมีไข้” ความจริงเธอสังเกตุอาหารลูกมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ไม่นึกว่าตัวแกจะร้อนจัดเร็วแบบนี้
“ส่งลูกมานี่แล้วรีบไปเตรียมข้าวของ ฉันจะพาแกไปโรงพยาบาล!” แม้ใจจะเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน แต่เพราะเธอรู้ดีกว่าใครว่าข้าวของจำเป็นของลูกนั้นวางอยู่ส่วนไหนของบ้านบ้างถึงยอมส่งตัวแกไปให้ผู้เป็นพ่อได้อุ้มระหว่างรอเธอเตรียมของ
คุณสินีนาถเป็นคนแรกที่ทราบข่าวการป่วยของหลานสาวจากลูกชายที่โทรไปขอร้องให้นางช่วยทำบางสิ่งให้ และทันทีที่นางแจ้งข่าว ทุกคนในบ้านก็พากันแห่มาที่โรงพยาบาลโดยทันที ไม่เว้นแม้แต่ท่านสันติ ที่เอ่ยสั่งคนสนิทให้ยกเลิกตารางนัดหมายทุกอย่างในวันนี้ เพราะว่าท่านคงไม่มีอารมณ์ไปทำอย่างอื่น ตราบใดที่ไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าเหลนตัวน้อยไม่เป็นอะไร
ทว่าสภาพอิดโรยราวกับคนไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งนอนของพ่อแม่เด็กนั้น ทำเอาใครต่อใครถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปนาน
พรรณรีพอเข้าใจได้ แต่กับอีกคนนี่สิ!
“แม่มาก็ดีแล้วครับ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนหลานสักสามชั่วโมงหน่อยได้ไหมครับ” เขารอจนกระทั่งท่านพยักหน้าให้ ถึงได้เดินมารั้งต้นแขนของอีกคน ที่ทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ให้ลุกขึ้นยืน
“ปะ..ไปไหนคะ” เพราะไม่คิดว่าเขาจะคว้าข้อมือเธอให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า พรรณรีถึงได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“กลับบ้าน!”
“นาอยากอยู่กับลูก คุณคีกลับไปคนเดียวเถอะค่ะ” ความจริงเธอเองก็ตั้งใจจะบอกให้เขากลับไปพักที่บ้านอยู่แล้ว ติดแต่ว่ายังหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะพูดเรื่องนี้กับเขาไม่ได้มันก็เท่านั้นเอง
“แต่ฉันว่าเธอกับตาคีพากันกลับไปหลับสักงีบเถอะ ไว้เย็นๆ ค่อยมาเปลี่ยน เดี๋ยวทางนี้พวกฉันช่วยดูให้เอง ไม่ต้องห่วง”
“แต่…”
“เอาตามที่แม่นาถเขาว่านั่นแหละ ไม่ต้องห่วง” กระทั่งเมื่อเสียงทรงอำนาจของท่านสันติเอ่ยขึ้นมาบ้าง นั่นแหละเธอถึงได้ยอมตัดใจปล่อยให้พ่อของลูกพาขึ้นรถกลับบ้านเพื่อพักเอาแรง
“นาเป็นห่วงลูก”
