จุดที่ 2 จุดเริ่มต้นที่...เฮีย
มหาวิทยาลัย
07.55 น.
[อีข้าวมึงอยู่ไหนแล้ววววว อีกสามนาทีจารย์เฉลิมเกียรติจะเข้าแล้วนะ มึงไปมัวมุดหัวอยู่ไหนนนน]
ทันทีที่ฉันกดรับสาย เสียงของอีตุ๊ดแมนเพื่อนรักก็ดังขึ้นจนต้องรีบเอาโทรศัพท์ห่างออกจากหู
สาบานสิว่านั่นเสียงมนุษย์ มันใช้ความดังกี่เดซิเบลกันเนี่ย
“กูกำลังวิ่งขึ้นตึกอยู่ มึงอย่าเร่งอีตุ๊ด แฮ่ก ๆ”
เสียงหอบหายใจดังขึ้นกระหืดกระหอบ เเสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยที่ฉันมี
วันนี้แม่งของก็เยอะอีก มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์อีกข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้าสีดำคู่ใจที่ถูกสกรีนคำว่า ‘FREEDOM’ ตัวใหญ่ ๆ ลงไปบนผืนผ้าแสดงให้เห็นว่าคนใช้มันรักอิสระมากแค่ไหน
มิหนำซ้ำไหล่ยังต้องสะพายกระเป๋าซึ่งบรรจุกีตาร์โปร่งลูกรักไว้ข้างหลังอีกด้วย
ยอดมนุษย์จริง ๆ อีกนิดเดียวฉันสามารถเป็นกัปตันอเมริกาได้แล้วนะ
ทั้งหนักทั้งเหนื่อยโว้ย!
[อีบ้า มึงทำไมไม่ขึ้นลิฟท์มา เรียนชั้น9นะชะนีไม่ใช่ชั้น2ชั้น3]
อีตุ๊ดโวยวายดังขึ้นมาอีกครั้ง
“คนต่อแถวยาวจนล้นมาหน้าตึกละมึง แฮ่ก! ขืนรอแม่งกูโดนจารย์เฉลิมสวดยับแน่”
ฉันตอบมันไปอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองป้ายหมายเลขชั้นที่ติดอยู่ตรงผนัง
‘ชั้น 7’
“มึงแค่นี้ก่อนนะ กูจะถึงละไม่เกิน1นาที”
[เออรีบเลยมึง นาทีที่ 59 จารย์แม่งถึงห้องละนะ]
“เค ๆ”
ฉันรับคำมันกลับไปก่อนจะกดตัดสายและสายตาก็เหลือบไปมองยังหน้าจอโทรศัพท์ที่บอกเวลาตอนนี้
07.57 น.
ฝีเท้ายังคงวิ่งขึ้นบันไดต่อไปอย่างไม่ลดละแม้ขาจะล้าจนแทบล้มทั้งวิ่งก็ตาม
ยังไงวันนี้ต้องทัน อยากด่าตัวเองว่าโง่สักล้านครั้งเพราะสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาวิ่งขึ้นบันไดอยู่แบบนี้ก็เพราะความโง่และขี้ลืมของตัวเองล้วน ๆ น่ะสิ
เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อคืนมัวแต่ดูวิธีการสอนแต่งหน้าแต่งตัวแบบสาวใสในพี่ยู (youtube) จนลืมดูเวล่ำเวลาซ้ำยังลืมตั้งนาฬิกาปลุกอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะเฮียเล คนอย่างไอ้ข้าวไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ช่วงนี้กำลังฝึกแต่งหน้าอยู่ไง วันนี้ก็แต่งมานี่ก็เป็นสาเหตุแห่งความสายด้วยเหมือนกัน
ทำไงได้ วันนี้รุ่นพี่ปี 4 นัดคุยเรื่องงานคณะหนิ และเฮียเลก็จะมาด้วยอย่างน้อยวันนี้ก็ขอสวยให้เฮียเห็นสักวัน แต่ดูเหมือนว่าไอ้เครื่องสำอางที่แต่งมามันจะหลุดไปกับคราบเหงื่อหมดแล้ว...
โถ่ชีวิต...
‘ชั้น 9’
และแล้วในที่สุดฉันก็มาถึงงงงงงงง อยากจะกรี๊ดร้องดัง ๆ แต่ทำไม่ได้
ฉันรีบผลักประตูออกไปจากบันไดหนีไฟทันที ก่อนจะรีบวิ่งไปหาเลขห้องที่เรียนวันนี้
แต่...
ห้องไรวะข้าว เสือกลืมอีก
โว้ยยยยยยยยยยยย
ขี้เกียจหยิบโทรศัพท์มาหารูปตารางเรียนด้วยไม่รู้อยู่ตรงส่วนไหนของโทรศัพท์อีกนั่นแหละ เพราะแม่งมีแต่รูปเฮียเลทั้งที่เซฟไว้และแอบถ่ายซึ่งก็กินพื้นที่เมมโมรี่ในเครื่องไปเป็นครึ่ง
รูปตัวเองกับรูปงานนี่นับจำนวนได้เลยนะแต่รูปเฮียนั้น...นับไม่ถ้วน
คิดดูสิว่าข้าวรักและบูชาเฮียแค่ไหน
แต่ทันใดนั้นตัวเลขจำนวนสองชุดก็แวบขึ้นมาในสมองอันชาญฉลาดที่กำลังพยายามกู้คืนข้อมูลซึ่งถูกฝังลึกไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งในสมอง
29096 รึเปล่าวะ (อาคาร 29 ชั้น 9 ห้อง 6) หรือว่า 29099 (อาคาร 29 ชั้น 9 ห้อง 9)
และมันเสือกโผล่มามาสองห้องไง กรรม!
แต่โบราณท่านว่าไว้เราต้องเชื่อในความคิดแรกเสมอ
ประจวบเหมาะกับที่ฉันวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่ 6 พอดีฉันเลยเตรียมจะผลักประตูเข้าไปโดยไม่มีความลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น มั่นใจเต็มร้อยมากว่าเปิดไปจะเจออีเเมนนั่งหน้าสลอนอยู่หลังห้อง
เหวอออ!
แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก่อน ขณะที่ฉันกำลังจะผลักเข้าไปกลับมีใครคนหนึ่งจากข้างในเปิดประตูออกมาข้างนอกพอดี
มือที่เตรียมจะดันประตูอย่างเต็มแรงเลยกลายเป็นดันอากาศ และมันทำให้ฉันเสียการทรงตัวอย่างรุนแรง
ตุบ!!!
“อ้ะ”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วมาก มากจนฉันต้องหลับตาปี๋เพราะความตกใจเมื่อร่างทั้งร่างล้มลงไปยังพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
แต่แล้วความเจ็บปวดที่คิดว่าจะได้รับ กลับไม่เจ็บเท่าที่ควรจะเจ็บ
ฝ่ามือฉันเหมือนปะทะกับอะไรบางอย่างที่มันทั้งแน่นและเเข็งเหมือนกล้ามเนื้อของคน
กลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบผู้ชายลอยเข้ามาแตะจมูกอย่างจัง เพราะทั้งปากและจมูกของฉันตอนนี้มันกำลังสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นนั้น
ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากส่วนนั้นก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และในระดับสายตาก็มองเห็นว่าไอ้กลิ่นและสัมผัสเมื่อกี้ที่ได้รับมันคือซอกคอขาว ๆ ของใครบางคน...
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ และฉันก็ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นดูผู้ชายใต้ร่าง ได้แต่มองซอกคอขาว ๆ นั่นอย่างตกตะลึง และสตั้นไป 10 วิ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปไหนเมื่อเห็นรอยแดงอ่อน ๆ ตรงต้นคอของเขาซึ่งสาเหตุของรอยนั่นก็คงไม่พ้นเป็นฟันของฉันที่ไปกระเเทกโดนเมื่อกี้แน่นอน
“เอ่อ...เป็นอะไรไหมครับ”
คนใต้ร่างส่งเสียงถามขึ้นด้วยความห่วงใย ปลุกสติฉันที่หายไปให้กลับมา
แต่ความรู้สึกข้างในหัวใจกลับบอกว่ารู้สึกคุ้นน้ำเสียงนี้มาก
มาก...ราวกับว่าคือน้ำเสียงของคน ๆ เดียวกัน
“มะ..ไม่เป็นไรค่ะ”
แต่ฉันไม่มีเวลามาสงสัยอะไร เลยรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากร่างของเขาและนั่นก็ทำให้ฉันได้เห็นโฉมหน้าของคนที่ตัวเองล้มทับอยู่
ตาฉันเบิกกว้างขึ้นจนแทบถลนออกมาจากเบ้า ปากอ้าเหวอขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ดวงตาไล่กวาดมองใบหน้าของคนใต้ร่างด้วยความเผลอไผล คิ้วหนา ๆ ดวงตาคม ๆ แพขนตาเรียงกันอย่างสวยงาม ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปสีแดงระเรื่อ...
อา ...
ไหนจะจมูกโด่งเป็นสันที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้อีก
ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกอุ่น ๆ ของเขา ใกล้จนนัยน์ตาฉันพร่าเบลอไปหมด
“ฮะ...เฮีย”
คิ้วหนาของคนใต้ร่างขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ฉันเปล่งเสียงนั้นออกไป
แต่ฉันนั้นไม่มีสติแล้ว
“หืม..เฮียเหรอ?”
เขาเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่เหมือนจะงงยิ่งกว่าเดิมกับสิ่งที่ฉันเผลอพูดไปเมื่อครู่
“เหี้ยแล้วข้าว!”
ฉันหันหน้าหนีมาสบถกับตัวเองอย่างลืมตัว
ก่อนจะตั้งสติรีบลุกขึ้นจากตัวคนร่างสูงใทันที แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือการลุกขึ้นมาแล้วเจอกับสายตาของคนทั้งห้องจับจ้องอยู่
รุ่นพี่ปี 4 ทั้งนั้น..
แถมสายตาที่มองมายังมีทั้งแววตาของคนขบขัน หมั่นไส้ โกรธจัด
ไม่เว้นแม้กระทั่ง ล้อเลียน
“วีดวิ้วววว”
“ว้าววว นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เชี่ย น้องน่ารักว่ะ”
“ฮิ้วววว”
“หนุ่มฮอตเราโดนสาวน้อยลวนลามว่ะ”
“หน้าแดงใหญ่แล้วน้าา”
เสียงเป่าปากและเสียงเอ่ยแซวของรุ่นพี่ผู้ชายดังขึ้นเซ็งแซ่
ไม่เว้นแม้แต่... ประโยคที่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยิน
“ขอเบอร์หน่อยได้ปะครับน้อง”
เหี้ยยยยย! เเม่งโคตรเหี้ยของจริง
และฉันก็ได้แต่ยืนนิ่งตัวชาดิกไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษหรือรีบ ๆ ก้าวขาวิ่งออกไปจากห้องนี้
สมองมันเบลอและรวนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง
เกิดมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องมาอับอายอะไรเท่าวันนี้เลย
จอดมอไซค์แล้วลืมเอาขาตั้งลงยังไม่อายเท่านี้ สะดุดขาตัวเองล้มหน้าคณะก็ไม่อายเท่านี้
อับอัาย...ขายขี้หน้าที่สุด
ในขณะที่ฉันยังยืนเอ๋อแดกหน้าบางอยู่ตรงที่เดิมทันใดนั้นก็รับรู้ถึงวัตถุอะไรบางอย่างที่พัดผ่านใบหน้าไปมา และฉันก็พบว่ามันเป็นมือของใครบางคน
นั่นทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
และนั่นจึงทำให้เจอกับใบหน้าหล่อเหลาทำลายล้างของเฮียเลที่ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงตอนไหนไม่รู้
พร้อมกับประโยคคำถามที่ทำเอาคนอย่างฉันใจสั่นยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
สายตาคมของเฮียสำรวจมองร่างกายฉันทันทีที่เขาถามจบไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบบนต้นแขนตัวเองอย่างแผ่วเบา
"เลือดออกด้วย เจ็บรึเปล่าเนี่ยเรา ทำไมถึงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา?"
"..."
อะ...อ่อนโยนเกินไปแล้ว เฮียอย่าทำแบบนี้
"ว่าไงเจ็บมากเลยเหรอ ?"
"คะ...คือว่า"
