Episode 25
“ลูเซี่ยน...”
ผมมองร่างที่แน่นิ่งไปของคุณเมด
ทำไมถึงต้องทำกับคุณเมดแบบนี้กันนะ....
ผมถอนหายใจและปรับอารมณ์เล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปที่พระราชากับองค์สันตะปาปา
“พวกเจ้าคงจะมีอะไรที่จะบอกข้าสินะ”
ทั้งสองที่เห็นผมจ้องไปด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ก็ถึงกับหยุดหายใจชั่วขณะ
“ข้าต้องขออภัย แต่ว่าลูเซียนนั้น ถูกต้องสงสัยว่าจะเป็นสายลับของประเทศข้างเคียงมานานแล้ว แล้วพอมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าจึงไม่มีทางเลือก”
จะบอกว่า คุณเมดเป็นผู้ต้องสงสัยมานานแล้วอย่างนั้นหรือ?
ผมที่คิดแบบนั้นหรี่ตาลงกับคำพูดขององค์ราชา ด้วยในใจที่เหมือนถูกคนอื่นหลอก
“เจ้าจะบอกข้าว่า เจ้าส่งคนน่าสงสัยมาเพื่อติดตามข้าอย่างงั้นหรือ แล้วยังให้ตราสัญจกรติดตัวไปด้วยเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นท่านยุย เพียงแต่ว่า เราต้องการที่จะทดสอบเธอเพียงเท่านั้น แล้วยังมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสียก่อน เราจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากคาดคั้นความจริงเอาจากเธอให้เร็วที่สุด”
แปลว่าคุณเมดยังไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยอย่างเต็มตัว เลยส่งตัวคุณเมดมาให้ติดตามผมเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์
เท่าที่ผมได้อยู่กับคุณเมดมา คุณเมดนั้นไม่เคยใช้ตราสัญจกรเพื่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยแสดงท่าทางน่าสงสัยออกมาเลยสักนิด แล้วก่อนที่คุณเมดจะสิ้นลมไปนั้น คุญเมดยังคิดถึงผมเป็นอันดับแรกอีก
ถ้าผมไม่หายตัวไปละก็....
หลังจากที่ผมพอจะเข้าใจแล้วว่า ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเพราะผม ซึ่งถ้าได้ลองเอามาพิจารณาดูจริงๆ ก็จะพบว่าพวกหม่าม้านั้นก็มีความผิด จนผมที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ก็ได้แต่มองพื้นหินด้วยความเจ็บปวด
เราอาจจะช่วยให้คุณเมดหลุดพ้นจากข้อสงสัยต่างๆได้ แต่ว่า...
ผมรู้ตัวดีว่า ถ้าไม่มีพวกหม่าม้าอยู่ด้วย คนเหล่านี้ก็ไม่แม้แต่จะแลผม แล้วยิ่งคุณเมดที่เป็นเพียงสามัญชนแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่
ค่าของชีวิตทำไมมันช่างน้อยนิด โลกใบนี้มันช่างโหดร้าย
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมด แล้วให้พวกคุณเมดเข้ามา”
ตอนนี้ผมคิดได้เพียงแค่จะทำอะไรเพื่อคุณเมดได้บ้างนะ
“ตามพระประสงค์”
องค์ราชาสั่งให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนี้ออกไปให้หมด ซึ่งพระสันตะปาปาเองก็ก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไปเหมือนกัน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีพวกคุณเมดที่เคยดูแลผมเดินเข้ามาในห้อง
“หัวหน้า....”
“ท่านไม่น่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ฮึก”
เหล่าเมดวิ่งเข้าและเกาะอยู่ข้างๆ คุณลูเซี่ยนจนไม่มีที่ว่างให้ผมเข้าไป
“พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าหน่อยจะได้ไหม?”
“คุณหนู.....”
ผมยิ้มให้เล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผมจะทำให้ได้นั้นก็มีไม่มากนัก
“พวกหม่าม้า ช่วยหนูได้หรือป่าวคะ คุณเมดเป็นคนดี อย่างน้อยๆ ก็ขอให้คุณเมดรับรู้ว่าพวกเราจะคิดถึงคุณเมดเสมอ”
“ยุยจัง ชอบเมดคนนี้อย่างนั้นหรอ?”
หม่าม้าถามขึ้นมา อย่างไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวจนผมหัวเราะแหย่ๆ ออกมา
หม่าม้าเอลาสพูดแบบนี้ออกมา หมายความว่ายังไงกันแน่คะ
“แฮะๆ ก็.. ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่ค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ลูเซี่ยนคอยปรนนิบัติรับใช้หนูอยู่นั้น ลูเซี่ยนทำด้วยความเต็มใจแล้วคอยปรับตัวแล้วเอาใจใส่หนูอยู่เสมอ เลยคิดว่าอาจจะชอบก็ได้ค่ะ หม่าม้าเอลาส”
“งั้นหรอ น่าเสียดายนะยุยจัง แต่พวกมนุษย์เองก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ไม่เคยเห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่นถ้าไม่ใช่คนรักหรือผู้ที่มีผลประโยชน์ต่อตนเอง”
การฆ่าสัตว์เพื่อมาเป็นอาหารเองก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลนั้นด้วยสินะ เพราะพวกสัตว์เองก็ไม่เคยบอกพวกเรานี่นาว่าพวกเค้าเกิดมาเพื่อเป็นอาหารให้กับพวกเรา แล้วมนุษย์นั้นก็ยังยกตัวเองขึ้นมาว่าเป็นสัตว์ประเสริฐอีก ช่างเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
“แล้วหม่าม้าช่วยหนูหน่อยจะได้ไหมคะ เพราะอย่างน้อยๆ แม้จะเป็นแค่กายที่ไร้ซึ่งวิญญาณ หนูก็อยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุด”
“หม่าม้าคิดว่าลูเซี่ยนไม่ต้องการแบบนั้นนะ เพราะว่าภูติแห่งความตายสัมผัสได้เช่นนั้น แล้วถ้ายุยจังมองและสัมผัสให้ดีๆ ยุยจังก็จะเข้าใจ”
หม่าม้าต้องการที่จะบอกอะไรกันแน่
คุณหนูค่ะ.....
เสียงแว่ว ผมลองหลับตาและสัมผัสถึงเสียงนั้นให้มากขึ้น ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่และสิ่งที่หม่าม้าเอลาสต้องการที่จะสื่อนั้นหมายความว่ายังไง
หลังจากที่ผมตั้งใจสัมผัสถึงมันผมก็ลืมตาขึ้นพร้อมๆ กับความพรั่งพรูที่มันเอ่อล้นขึ้นมาจนไม่อาจจะอดกลั่นความรู้สึกนี้ได้
“คุณหนูค่ะ!!! คุณหนูเป็นอะไรไปค่ะ คุณหนู....”
ตุ้ม!!!
“เกิดอะไรขึ้น!!! ”
คุณเมดที่เห็นผมอยู่ดีๆ ก็มีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ถึงกับตื่นตูม กันใหญ่ รวมทั้งพวกทหารที่พรวดพราดกันเข้ามา เพราะได้ยินเสียงของเหล่าเมดที่กำลังตกใจเพราะผม
“ไม่เป็นไร.. ข้าไม่เป็นไร.... ลูเซี่ยน เจ้าได้ยินข้าใช่ไหม?”
คุณหนู... ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง... ได้โปรดอย่าร้องไห้เพื่อคนอย่างข้าเลยนะเจ้าค่ะ...
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูเซี่ยนในตอนปรกติที่ใส่ชุดคุณเมดและคอยรับใช้ผมอยู่ตลอด เพียงแต่มีร่างกายที่โปรงใส และไม่สามารถบอกได้ว่า เธอยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
“ทำไม...”
เพราะข้า... เป็นสายลับที่ลอบเข้ามาจริงๆ เจ้าค่ะ... เพราะฉะนั้นคนอย่างข้าไม่สมควรที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนูเลยแม้แต่น้อย และคนอย่างข้าไม่สมควรได้รับความหวังดีจากคุณหนูด้วยเช่นกัน...
“เรื่องนั้นใครเป็นคนตัดสินละ ถ้าข้าบอกว่าเจ้าสมควรที่จะอยู่คอยรับใช้ข้าที่สุดแล้ว แล้วใครจะทำไม?”
ถึงจะพูดเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจจะอยู่ข้างๆ คุณหนูได้อีกแล้ว ฮึก! .... ข้าขอโทษเจ้าค่ะ.... ข้าดีใจ ฮึก! ... ที่ได้พบคุณหนูผู้สูงส่ง... แต่เวลานั้นช่างสั้น... ข้าขอโทษเจ้าค่ะ...
ผมกำหมัดแน่น และกัดฟันดังกรอด
“ด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์....”
“เดี๋ยวก่อนยุยจัง ถ้าจะทำแบบนั้น ยุยจังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อกงล้อแห้งโชคชะตาของโลกใบนี้ด้วยนะ”
“อึก! ”
ผมที่ไม่แม้แต่จะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ได้หม่าม้าช่วยเตือนสติของผมเอาไว้ จนต้องก้มลงไปมองพื้นด้วยความเกลียดชังตัวเอง ที่ไม่แม้แต่จะทำอะไรได้เลย และต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงอยู่เสมอ
“แต่มีวิธีหนึ่งนะยุยจัง โดยการสร้างเสากงล้อแห่งโชคชะตาขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง เพราะถ้ายุยจังทำอย่างนั้น จะสามารถดึงลูเซี่ยนออกมาจากกงล้อแห่งโชคชะตาของโลกใบนี้ได้ แล้วยุยจังจะต้องเป็นคนแบกรับโชคชะตาของลูเซี่ยนแทน”
“แล้วมันทำยังไงหรือค่ะหม่าม้า”
“โดยการเริ่มทุกอย่างขึ้นใหม่จากศูนย์ ชื่อ ร่างกาย โชคชะตา และอย่างสุดท้าย เผ่าพันธุ์ ยุยจังจะต้องกำหนดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ และเผ่าพันธุ์ในปัจจุบันก็มีเพียงแค่สี่เผ่าพันธุ์ มนุษย์ ภูติ เทพ แล้วก็มาร ยุยจังจะต้องตัดสินใจให้ดีๆ นะจ้ะ เพราะการสร้างใหม่ มันยากเสียยิ่งกว่าการสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเสียอีก และเผ่าพันธุ์ที่ยุยจังสร้างขึ้นมาใหม่นั้น ก็จะไม่ถูกผูกมัดด้วยโชคชะตาทั้งมวล แต่ยุยจังจะเป็นผู้กำหนดเอง”
งั้นหรอ มีวิธีแบบนี้ด้วยสินะ
“ลูเซี่ยน ในนามผู้สร้าง... อึก! ”
ตึ่ก! ... ตึก! ...
_ห่วงภวังค์
นี่มัน.........
“ไงตัวข้า กลับมาแล้วสินะ”
“ที่นี่....”
ผมมองไปโดยรอบมันเป็นทุ่งหญ้าที่มีวิวพระอาทิตย์ตกดินเป็นฉากหลัง และลมพัดอ่อนๆ
“เจ้าไม่ต้องกลัวไปใย ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านเจ้า เพียงแต่ว่าตัวข้าที่ข้าได้ส่งไปนั้น บัดนี้ได้ถึงเวลาแล้วที่ตัวข้าทั้งสองจะต้องกลับคืนสู่รากเดิม”
“หมายความว่ายังไง”
ผมไม่เข้าใจกับคำพูดของเด็กผู้หญิงตรงหน้า ที่แม้จะมองไปที่ใบหน้านั้นสักแค่ไหนก็ไม่อาจจะเห็นได้
เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้ม และผมเองก็กำลังสับสนอยู่เล็กน้อยที่อยู่ดีๆ ผมก็มาโผล่ที่นี่
“ฟุฟุ ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า เมื่อถึงเวลาที่เราทั้งสองกลายเป็นหนึ่ง แล้วเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเองว่าข้าคือใคร เช่นนั้น บัดนี้... พลังและสติปัญญา จักกลับคือสู่รางเง่าเดิมของมัน ข้ารอเวลาที่เจ้าจะเข้าถึงพลังของเจ้าที่แท้จริงมาโดยตลอดเพื่อที่จะสื่อสารกับเจ้าและกลับสู่ร่างเดิมของข้า”
“เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละ แล้วนี่คือตัวจริงของข้าอย่างนั้นหรือ?”
เด็กผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ แต่ก็หยุดลง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“หุหุ ถูกต้อง เราได้แยกออกจากกันเมื่อนานมาแล้ว เพราะตัวข้าเองนั้นต้องการที่จะตรวจสอบว่าช่วงเวลาที่ทุกอย่างถูกปิดผนึกนั้น มันเกิดอะไรขึ้น และข้าในตอนนี้ก็ได้รับรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่จริงข้าก็ต้องการให้ตัวข้าอยู่ต่ออีกสักหน่อยแต่ว่า พลังของข้ามันเหลือน้อยเต็มทน จนจะไม่อาจจะรักษาสมดุลของโลกใบนี้เอาไว้ได้แล้ว ข้าจึงจำต้องเรียกตัวข้ากลับมา”
หรือก็คือที่ผมมาโผล่อีกโลกหนึ่งนี่ก็เพราะว่า ตัวผมเองเรียกตัวผมกลับมาอย่างงั้นหรือ อย่าบอกนะว่าโลกนี้คือโลกที่ผมควรจะอยู่ตั้งแต่แรก
“เราเสียเวลากันมามากแล้ว พลังของข้าอ่อนแอนัก ถ้าไม่รีบกลับสู่ร่างเดิม ข้าตงแย่ ส่วนเรื่องที่เหลือเจ้าจะกระจ่างเองเมื่อถึงเวลาที่เรารวมเป็นหนึ่ง เพราะฉะนั้นข้าขอฝากที่เหลือด้วยนะ ตัวข้า...”
ว่าแล้วทำไมถึงรีบจัง เพราะดูดีๆ แล้วตัวของเด็กผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าของผมนั้น แทบจะเลือนรางเต็มทน
หลังจากนั้นเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็วิ่งเข้ามาหาผมแล้วหายเข้าไปในตัวผม แต่ก่อนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งหายไปนั้น
หน้าตาเหมือนกับเราเลย.....
แล้วหลังจากนั้น ผมก็ตื่นขึ้นมาจากห้วงภวังค์
ที่นี่มันห้องทรมาน....
“ยุยจัง เป็นอะไรมั้ย? หม่าม้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปรกติในตัวของยุยจังนะ”
เอ๋... เวลาไม่ได้เดินเลยระหว่างที่อยู่ในห้วงภวังค์
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่เจอกับตัวเอง.....”
“เอ๋?” ั
