บทที่ 4
“ไม่ต้องค่ะ ฝันขอกลับเอง คนเดียว” พาขวัญเอ่ยแต่ละประโยคชัดๆ
“ไว้พี่จะโทรหา”
“อย่าพึ่งดีกว่าค่ะ เพราะฝันยังรับปากไม่ได้เหมือนกันว่าจะรับสายพี่หนึ่งไหม”
“ครับ” เวทัยเอ่ยรับ ก่อนจะมองตามพาขวัญไปกระทั่งเธอออกไปจากร้านอาหารจึงถอนหายใจออกมาหนักๆ ที่ปลดล็อคเรื่องพาขวัญได้ แม้จะจบไม่สวยก็ตามที
ส่วนพาขวัญที่เวลานี้รู้สึกเจ็บจนจุก เพราะจู่ๆ ความรักก็มาพังลงในค่ำคืนที่ควรจะเป็นคืนที่เต็มไปด้วยความทรง
จำดีๆ แต่ทว่ามันกลับเป็นคืนที่แสนเลวร้ายสำหรับเธอ
“ฝัน” คามินอุทานออกมาเมื่อเห็นพาขวัญเดินออกมาจากร้านอาหารตามลำพัง และสภาพเธอก็ดูผิดปกติไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าดูเศร้าสร้อย เดินเหม่อจนเกือบถูกรถลูกค้าร้านอาหารชน นั่นทำให้เขาต้องรีบเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป จากนั้นก็ก้าวยาวๆ อย่างเร็วตรงไปหาเธอ
“กะ...แก” ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าเป็นคามิน พาขวัญถึงกับตาแดง ความอ่อนแอมันพุ่งเข้าใส่จนเธอรับไม่ไหวอีกแล้ว
“ทำไมเดินออกมาคนเดียว”
“ไม่มีอีกแล้วแก ไม่มีอีกแล้ว”
“เป็นอะไร หนึ่งทำอะไรแกอย่างนั้นเหรอ” คามินยกมือขึ้นมาสัมผัสต้นแขนของพาขวัญ นั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเธอกำลังสั่น
“เขา...บอกเลิกฉัน”
“ว่าไงนะ” ชายหนุ่มอุทานออกมา นั่นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้มาก่อน
“พี่เขาบอกเลิกฉันแล้ว”
“ไอ้คนสารเลว สับปลับ” คามินสบถออกมา แม้เวทัยจะได้ชื่อว่าเป็นญาติก็ตาม
“แกจะไปไหน” เอ่ยจบพาขวัญรั้งแขนของคามินไว้
“ไปถามให้รู้เรื่องว่าเพราะอะไรหนึ่งถึงบอกเลิกแก”
“ฉันถามมาแล้ว เขาบอกว่าต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงที่บ้านเขาหามาให้”
“หึ...พูดแก้ตัวให้ตัวเองดูดีเชียวนะ” คามินกัดฟันกรอดๆ นั่นเพราะเขามั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่เหตุผลนี้แน่นอน ผู้ชายอย่างเวทัยนะเหรอจะยอมถูกจับคลุมถุงชนถ้าไม่มีเหตุ และเขาก็พอจะรู้ด้วยว่าเหตุที่ว่าคืออะไร แต่คิดไม่ถึงว่าเวทัยจะบอกเลิกพาขวัญเพื่อผู้หญิงคนนั้น
“ต่อให้จะเป็นเพราะอะไร พี่เขาก็บอกเลิกฉันไปแล้ว สี่ปีที่ผ่านมามันไม่มีความหมายเลยแก” เอ่ยจบน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้มาตลอดก็ไหลอาบแก้ม พาขวัญยืนร้องไห้อยู่เงียบๆ แต่มันเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่คามินยังสัมผัสได้
ยิ่งน้ำตาหยดหนึ่งของเธอหยดลงบนแขนเขาด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้คามินเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ เจ็บเพราะเขาช่วยอะไรพาขวัญไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะทำอะไรได้มากว่าการยืนปลอบใจเธอ
“กลับบ้านกัน”
“อืม” พาขวัญเอ่ยรับ ก่อนที่คามินจะคว้ามือเธอไว้แล้วพามายังรถ จากนั้นก็ขับออกไปทันที เวลานี้คนอกหักไม่ได้เอะใจว่าคามินมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เพราะสิ่งที่เธอโฟกัสมีเพียงความรู้สึกเจ็บจากการถูกบอกเลิก
พาขวัญนั่งกอดตัวเองร้องไห้อยู่เงียบๆ อกหักครั้งนี้เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนเสียสติ แต่ทำไมคามินถึงรู้สึกกลัว เพราะความเงียบมันเดายากว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ความเงียบระหว่างคนทั้งคู่เกิดขึ้นมาตลอดทางกระทั่งถึงบ้าน พาขวัญ ทันทีที่ลงมาจากรถได้เธอก็เริ่มรวบรวมสิ่งของทุกอย่างที่เวทัยเคยให้ ทำไปก็ร้องไห้แบบไม่ออกเสียงไปด้วย พาขวัญเอาของพวกนั้นออกมากองไว้ที่หน้าบ้าน ปริมาณของแทนใจตลอดสี่ปีที่ผ่านมากองสูงทีเดียว ทั้งของธรรมดาและราคาเป็นแสน จากนั้นเธอก็จุดไฟแล้วเผา
เปลวไฟลุกพรึบขึ้นพร้อมๆ กับพาขวัญที่ยืนมองด้วยแววตาเฉยชา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด เพราะบนแก้มเธอยังคงมีคราบน้ำตาให้เห็น คามินได้แต่มองไม่ได้เข้าไปค้านหรือห้ามกับสิ่งที่เธอกำลังทำแต่อย่างใด
“ผู้ชายเฮงซวย ไปตายซะ”
เพราะอกหักแบบไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นทำให้พาขวัญถึงกับเสียศูนย์ เธอไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งจะลุกขึ้นจากเตียงก็ยังไม่อยากทำ เธอจึงตัดสินใจลางานเพื่อสงบสติอารมณ์อยู่บ้าน
ส่วนคามินที่อยู่เฝ้าตั้งแต่เมื่อคืนก็ออกไปหาอาหารเช้ามารอ หวังให้พาขวัญลงมากินแต่รอจนจะเลยเที่ยงก็ยังไม่เห็นเธอ จึงตัดสินใจขึ้นไปหา พอเปิดประตูเข้าไปสายตาก็มองเห็นเธอนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ไม่หิวหรือไง”
“ไม่” เสียงอู้อี้ตอบมาจากคนที่ยังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
“แต่ฉันแหกขี้ตาออกไปซื้อโจ๊กร้านโปรดกับปาท่องโก๋มาให้แกด้วยนะ กินสักหน่อยไหม”
“กินไม่ลง”
“อาบน้ำแปรงฟันยังเนี่ย” คามินยังคงพยายามชวนพาขวัญคุย แม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมสักเท่าไหร่
“ยัง”
“ป่านนี้น้ำลายบูด ขี้ฟันเกาะหมดแล้ว แกทนได้ยังไง”
“ปล่อยมันไปสักวัน”
“อยากไปไหนไหมวันนี้”
“ไม่”
“แกจะคลุมโปงแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะฝัน” ในที่สุดคนที่พยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ ก็ตบะแตก นั่นเพราะไม่อยากเห็น พาขวัญอมทุกข์อยู่แบบนี้
“รู้แล้ว”
“รู้แล้วก็โผล่หน้าออกมาสิ”
“เออ...โผล่มาแล้ว พอใจยัง” เอ่ยจบพาขวัญก็โยนผ้าห่มออกไปจากตัว แล้วโผล่หน้ามาให้คามินได้เห็น นั่นทำเอาชายหนุ่มถึงกับเสียงอ่อนลง
“ตาแกบวมเลย”
“ใช่นะสิ เกิดมาก็พึ่งจะเคยร้องไห้เอาเป็นเอาตายก็คราวนี้…แม่ง” พาขวัญสบถออกมา พร้อมกับหยัดตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ถึงจะมองไม่เห็นหน้าตาตัวเองแต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก นั่นเพราะเธอเอาแต่ร้องไห้แล้วก็ร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อคืน จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว ตื่นมาก็ยังแอบมีน้ำตาซึมอีก
“แล้วดีขึ้นไหม”
“ยัง...แต่เอาน้ำตาออกไปก็เหมือนจะช่วยได้หน่อย”
