EP 4 : เต้าหู้คิดถึงแม่
“ไปหยิบกระเป๋า”
“นี่นายลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นคุณหนูของบ้านนี้ถึงชอบทำตัวเป็นคุณชายมาสั่งฉันตลอด!”
“...”
“ว่าไง! ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นลูกเจ้านาย... / ไปหยิบกระเป๋าแล้วมากับพี่เดี๋ยวนี้แยมโรล อยากอยู่ที่นรกนี่มากกว่าไปหาแม่รึไง”
“...”
“โอเค” ฉันเงียบไปเขาก็พูดต่อแค่สั้น ๆ แล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องก่อนจะไปหยิบกระเป๋าของฉัน
“ถ้าอยากแต่งตัวใหม่ก็ตามสบาย จะลงไปรอที่รถ”
“...”
กริ๊ก!
“...ไอ้หมาบ้าอวดดี” ฉันด่าไล่หลังออกไปเบา ๆ หลังจากที่เขาเดินออกไปจากห้องนอนของฉันแล้ว
“ไปหยิบกระเป๋าแล้วมากับพี่เดี๋ยวนี้แยมโรล อยากอยู่ที่นรกนี่มากกว่าไปหาแม่รึไง”
“เหอะ!” ฉันแค่นเสียงแล้วปาดน้ำตาตัวเองก่อนจะเดินไปที่ห้องแต่งตัว
ไม่ได้สนใจคำพูดของเขามากมายหรอกนะฉันโฟกัสก็แค่คำว่า อยากอยู่ที่นรกนี่มากกว่าไปหาแม่รึไง ต่างหาก!
“อืม จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้พลาดล่ะ...กูจะปิดเกมนี้แล้ว”
...??? คุยกับใคร แล้วคุยอะไร?
ปิดเกมอะไรของนายนั่น
“อืม กูจะเอามันให้...แค่นี้ล่ะ” ฉันกำลังจะเดินไปที่รถเขาแต่เขายืนอยู่ในสวนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เลยได้ยินพอดี ไม่ได้แอบฟังหรอกนะคะ ไม่รู้จะแอบฟังไปทำไมไม่ได้สำคัญอะไรถึงคำพูดที่ลอยเข้าหูจะทำให้สงสัยนิดหน่อยแต่ก็ช่างเถอะ เรื่องของนายนี่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตของฉันอยู่แล้ว แต่เขาหันมาพอดีเลยเห็นฉันทำให้เขาเหมือนจะหยุดพูดไปพักหนึ่งแล้วตัดบทกับปลายสายด้วยการวางสายทั้งที่ฟัง ๆ แล้วก็น่าจะยังคุยไม่จบ
“คุยก่อนก็ได้นะ” ฉันพูดก่อน ไม่ได้เกรงใจแต่แค่อยากบอกให้รู้ว่าฉันไม่ได้สนใจอะไรอยากคุยก็คุยเลยแค่เดินผ่านมาพอดีก็แค่นั้น
“คุยเสร็จแล้ว” เขาบอกฉันเสร็จเดินล้วงกระเป๋านำหน้าฉันไปที่รถทันที
เหอะ!
...ไอ้หมาบ้าขี้เก๊ก
หมั่นไส้เป็นบ้าเลย
-เวลาต่อมา-
“อ้าวอคิน วันนี้วันศุกร์นี่ทำไมมาเวลานี้ล่ะ”
“สวัสดีครับอาหมอ” ผมถูกทักจากอาจารย์หมอชื่อดังและพ่วงตำแหน่งผู้อำนายการของโรงพยาบาลนี้ระหว่างที่แยกตัวออกมาซื้อกาแฟ
“อื้ม ตกลงว่าไงล่ะ ไม่สบายเหรอถึงมาโรงพยาบาลเวลานี้”
“เปล่าครับ ผมพาคุณหนูมาเยี่ยมคุณแม่เขาเหมือนเดิมนั่นล่ะครับ พอดีวันนี้ไม่ได้มีธุระอะไรกันเลยมาเร็ว แล้วนี่อาหมอกำลังจะไปตรวจคนไข้เหรอครับ”
“อาเพิ่งตรวจเสร็จ กำลังจะไปพักน่ะ”
“ครับ ถ้างั้นผมขอรบกวนเวลาอาหมอสักครู่ไม่ทราบว่าอาหมอจะพอสะดวกไหมครับ”
“หึ ๆๆ ไม่สะดวกได้ยังไงล่ะ ระดับคุณอคินจะคุยทั้งวันอาก็ยินดี”
“ขอบคุณครับ” ผมพูดพร้อมกับก้มหัวให้ท่านนิดหน่อยก่อนจะเดินไปคุยกันต่อที่ห้องทำงานของท่านเพราะท่านรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่ผมขอคุยนั่นแปลว่าผมต้องการให้มันเป็นความลับเสมอ...
#AKIN END
#JAMROLL TALK
“นายกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันอยากอยู่เฝ้าคุณแม่นาน ๆ” ฉันมองเห็นเขาที่เดินมาผ่านการสะท้อนของกระจกที่ฉันกำลังยืนจ้องอยู่เลยบอกโดยที่ไม่ได้หันไปมอง วันนี้วันศุกร์แต่ฉันไม่ได้ไปเรียน ขาดนั่นแหละ เพราะไม่มีความสามารถในการลากตัวเองไปนั่งเรียนได้ เจอเหตุการณ์ที่โต๊ะอาหารเมื่อเช้าใครจะไปเรียนลง
“ทำได้แค่ยืนเกาะประตูมอง จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งวันเลยรึไงครับคุณหนู”
“เรื่องของฉัน ไปทำงานของนายเถอะเดี๋ยวเรียกรถกลับเอง นายต้องเข้าบริษัทไม่ใช่รึไง” ไปทำอะไรก็ได้เผื่อจะต่อลมหายใจให้บริษัทคุณพ่อล้มละลายช้าลงสักนิด
“อารินทร์คงไม่สบายใจถ้ารู้ว่าลูกสาวมายืนมองท่านทั้งวันแบบนี้”
ขวับ!
“อย่ามายุ่ง” ฉันหันไปมองแล้วบอกเสียงแข็ง อย่ามายุ่ง อย่ามาคิดแทนคุณแม่ของฉัน
“ก็แค่พูดความจริง อารินทร์จะดีใจจริง ๆ เหรอ”
“อย่ามาตัดสินใจแทนคุณแม่ฉันถ้านายไม่เคยต้องนอนโดดเดี่ยวแบบท่าน” ฉันพูดไปกัดฟันไป ฉันก็ไม่เคยนอนโดดเดี่ยวแบบคุณแม่หรอกแต่ฉันคิดว่าถ้าเป็นฉัน ฉันคงรู้สึกแย่ คงเจ็บปวดหัวใจที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เลย
“...ฮึ!” เขามองหน้าฉันพักหนึ่งถึงได้แค่นเสียงออกมา แต่การแค่นเสียงของเขาไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่าสายตาที่ดูเหมือนโกรธแค้น
...โกรธอะไร?
...แค้นอะไร?
...เป็นบ้าอะไรถึงมามองฉันด้วยสายตานี้ คนที่โกรธคนที่ควรใช้สายตานี้ควรเป็นฉันที่ถูกห้ามไม่ให้อยู่เฝ้าแม่ตัวเองรึเปล่า
“ฉันจะอยู่ ถ้านายอยากรอก็รอ...”
หมับ!
“นี่! ทำบ้าอะไรปล่อยมือฉันนะ!” ฉันสะบัดมือแต่ขาก็ต้องถลาตามแรงลากแล้วสุดท้ายก็นั่นแหละ...ฉันตัวแค่นี้จะเอาปัญญาไปสู้ผู้ชายตัวเท่าควายผสมพันธ์กับกระทิงได้ยังไง!
“นี่! ปล่อย!”
“สะบัดสะบิ้งเข้าไปถ้าไม่อายคน” ฉันไม่ได้โวยวาย ฉันกัดฟันบอกเพราะอยู่ในโรงพยาบาลแต่ไอ้คนที่ลากแขนฉันก็พูดจาเนิบนาบได้โคตรน่าทุบหัว
“ใครสะบัดสะบิ้งฮะ? นายลากฉันแบบนี้ไม่น่าอายคนกว่ารึไง!”
“ถ้างั้นก็เลิกฝืนตัวแล้วปล่อยให้จูงมือดี ๆ” ก็ยังเป็นโทนเสียงเดิมคือราบเรียบเนิบนาบจนน่าโมโห!
“ปล่อย! จะพาไปไหนฉันไม่ไป!” ฉันไม่ได้เสียงดังนะคะ แค่เสียงแข็งแต่กัดฟันพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่พูดไปก็เท่านั้นเพราะไอ้หมาบ้าคนนี้ไม่คิดจะปล่อยเลย!
“นี่! บอกให้ปล่อยไง!” พอมาถึงที่จอดรถที่ไม่มีคนฉันก็เริ่มเสียงดังขึ้น สะบัดข้อมือมากขึ้นเผื่อว่าตัวเองจะเป็นอิสระ
“ขึ้นรถแล้วจะปล่อย”
“ฉันจะอยู่เฝ้าคุณแม่!”
“ยืนเกะกะขวางทางเข้าออกหมอพยาบาลแบบนั้นเขาไม่เรียกว่าเฝ้า”
“ยุ่งอะไรด้วยฮะ!”
“...” เขาไม่ตอบแต่ลากฉันแรงขึ้นจนฉันเจ็บข้อมือไปหมด แหกปากว่าอะไรก็ไม่ตอบโต้เลยสักคำจนเดินมาถึงรถก็เปิดประตูด้านหน้าแล้วจับฉันยัดลงไป พอก้นถึงเบาะฉันก็รีบขยับตัวเพื่อลงจากรถแต่ไอ้บ้าลูกควายผสมพันธ์กับกระทิงก็ยืนบังแล้วชี้นิ้วมาที่ฉัน
“อย่า” เขาพูดสั้น ๆ แต่สายตาที่มองมากำลังข่มฉันอยู่แล้วถามว่าฉันต้องกลัวไหม!
“อย่าอะไร? อย่าเยอะให้มันมากนะคิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ!”
“จะให้พูดไหมล่ะว่าเป็นใคร”
“อย่ามา... / หรือต้องให้บอกด้วยว่าเป็นอะไร?”
“...”
“นั่งดี ๆ”
“...”
“นั่งดี ๆ เดี๋ยวนี้...คุณหนู”
“...”
!!!
ฉันสะบัดหน้ากลับมาด้วยความโมโหก่อนที่ประตูรถมันจะถูกปิดแล้วอีกฝั่งที่เป็นของคนขับรถก็เปิดในเวลาไม่นาน
“จะไปไหน” แค่รถเคลื่อนฉันก็ถามเสียงห้วน
“ถึงก็รู้เอง”
“...” ก็นี่ไง แล้วจะไม่ให้เกลียดได้ยังไง ก็เพราะเขาจองหองถือดีชอบทำตัวแบบนี้กับฉันที่เป็นลูกสาวของเจ้านายเขาแบบนี้นี่ไง
โอเค ฉันทำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายก็ได้แค่เงียบ เก็บความโมโหเอาไว้ให้ได้ ไม่ใช่แค่เก็บให้ได้มากที่สุดด้วยนะแต่ฉันต้องเก็บไว้ให้ได้ต่างหาก เก็บทั้งที่อกกำลังจะระเบิดเพราะต่อให้ต่อว่าหรือด่าทอด้วยคำพูดเจ็บแสบแค่ไหนก็สู้ไอ้หมาบ้าคนนี้ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ!
-เวลาต่อมา-
ฉันขมวดคิ้วหลังจากที่รถเลี้ยวเข้าซอย ๆ หนึ่ง
“จะทำอะไร? พามาบ้านนายทำไม” ยังไม่ต้องถึงบ้านเขาหรอกแค่เลี้ยวเข้าซอยฉันก็รู้แล้วว่าเขาจะพาฉันไปที่ไหน
“พาไปอยู่”
“อะไรนะ?” คำตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ คิ้วฉันขมวดเป็นโบว์ไปแล้วมั้ง พาไปอยู่ พูดบ้าอะไรออกมา ฉันเข้าใจนะว่าคนเราใช้ปากพูด แต่ก็ช่วยใช้สมองคิดก่อนพูดบ้างก็ดี พูดสั้น ๆ เหมือนเป็นเรื่องง่ายทั้งที่ความจริงเขารู้ดีว่าคนอย่างฉันไม่มีทางอยู่บ้านเขาแน่นอน แล้วอีกอย่างมันมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องอยู่บ้านเขาไม่ทราบ
“อยู่ที่นี่แหละ อีกสามวันครบตามที่ตกลงกับปั้นชาคุณหนูค่อยกลับไป”
“ไม่มีทาง! ฉันไม่อยู่บ้านนาย ไม่อยู่กับนายแน่นอน” ฉันบอกและเชิดหน้าขึ้น จะให้ฉันอยู่บ้านเขานี่นะ? เอาอะไรมาคิด!
“อยากกลับไปทั้งที่สถานการณ์กำลังไม่ดีเหรอ”
“...” เสียงเรียบเอ่ยถามออกมาทำให้ฉันเงียบลงในอัตโนมัติ
“อยู่ที่นี่นั่นแหละ ผมไม่กวนคุณหรอก อยู่กับไอ้เต้าหู้ไป...มันคิดถึงแม่มัน”
