Carl’s story 1❊
ภายในร้านที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเป็นเพื่อนเท่านั้น
เศษหลอดแก้วที่แตกสะท้อนแสงวิบวับเข้ามาในนัยน์ตาของผม
ทำเอาเส้นอารมณ์ผมกระตุกขึ้นมาทันที
ยัยบ้านั่น! จะเก็บกวาดทั้งทีก็อย่าให้เหลือเศษแบบนี้สิ ผู้หญิงบ้าอะไรกวาดพื้นไม่เกลี้ยงเนี่ย
เฮ้อ~
ผมเดินเข้ามาหยิบที่ตักผงกับไม้กวาดในห้องครัวออกมาเก็บกวาดอีกรอบ เสียงเศษแก้วหนึ่งชิ้นที่เหลือกระแทกกับที่ตักผงดังกุกกักเบาๆ ราวกับจะย้ำเตือนเสียงเศษหัวใจที่แตกร้าวของผมยังไงยังงั้น
สายตาของผมทอดมองเศษหลอดไฟที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวอย่างหม่นหมอง
เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยอมตอบรับคำชวนดูแลร้านให้คาเร็นชั่วคราวเพราะต้องการจะมาทวงเคมี่คืนจากไอ้เวรดอมนั่นยังไงล่ะ
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการ และผมจะต้องทำให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม
ผมกับเคมี่เคยคบกันมาก่อนตอนอยู่อเมริกา แต่ต้นปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มระหองระแหงด้วยเหตุผลที่ผมเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ หลังจากนั้นผมก็ถูกเธอทิ้งไปคบกับผู้ชายคนใหม่ ซึ่งก็คือ ‘ดอม’ หมอนั่นน่ะแหละ
ดอมเป็นนักศึกษาทันตแพทย์แลกเปลี่ยนที่อเมริกา แต่เมื่อสองเดือนที่แล้วหมอนั่นต้องย้ายกลับมาที่เมืองไทยด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เคมี่ต้องเก็บกระเป๋าตามหมอนั่นกลับมาด้วย
ผมยอมรับความสัมพันธ์ของสองคนนั้นไม่ได้หรอก ผมไม่คิดว่าเคมี่จะหมดรักในตัวผมจริงๆ เธอก็แค่ตื่นเต้นไปกับของเล่นชิ้นใหม่เท่านั้น หน้าที่ของผมก็คือทำยังไงก็ได้ให้เคมี่เบื่อของเล่นใหม่นั่นเร็วๆ เพื่อที่เธอจะได้หันกลับมาหาผม คอยดูก็แล้วกันสิ่งที่เคมี่เรียกว่าความรักกับดอมนั่นน่ะ ผมจะเป็นคนทำลายมันเอง
กึก... กึก...
ผมเหลือบมองเศษหลอดแก้วชิ้นสุดท้ายที่ถูกเทลงในถังขยะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด... ภาพใบหน้าของมินตราลอยเด่นขึ้นมาแทนที่เรื่องของเคมี่กับดอมอย่างไม่มีเหตุผล ทำไมผมต้องนึกถึงยัยนั่นด้วยนะ ไม่เข้าใจเลยสักนิด! ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด เหอะ!
ผมกระแทกที่ตักผงกับไม้กวาดเก็บเข้าที่ก่อนจะเดินออกมาปิดร้านแล้วมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อตัดรำคาญ ไม่งั้นเสียงของมินตราที่ย้ำเตือนให้มาดูอาการคนเจ็บก็คงไม่หายไปจากในหัวของผมสักที
ยัยบ้านั่นทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ตลอดเวลาเลยหรือเปล่านะ ไม่เข้าใจว่าคาเร็นทนกับลูกจ้างเจ้ากี้เจ้าการแบบนั้นได้ยังไงเหมือนกัน
โรงพยาบาลธาราพิลักษณ์
ผมสอบถามห้องพักผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวในห้องฉุกเฉินเมื่อเช้าที่เคาน์เตอร์ แม้จะไม่รู้ชื่อจริงแต่อาการของเธอคนนั้นก็เป็นที่สะดุดตาของเจ้าหน้าที่หลายคนจึงตามหาตัวได้ไม่ยากนัก และผมก็มาถึงห้องพักของเธอจนได้...
รู้สึกว่าจะได้ยินมินตราเรียกชื่อเธอว่า ลีลาร์
ลีลาร์สินะ... ผมทวนชื่อนั้นในใจก่อนจะเคาะประตูสองทีแล้วผลักเปิดเข้าไปข้างใน
ก๊อกๆ
“...”
ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอ่านนิตยสารรถยนต์อยู่บนโซฟาในห้องตวัดสายตามามองผม ก่อนจะเอ่ยทักขึ้นมาด้วยเสียงไม่เป็นมิตรนัก
“แกเป็นใคร?”
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าหมอนั่นกำลังปล่อยรังสีอำมหิตใส่ผมยังไงยังงั้น
ผมชำเลืองมองหน้าผู้ป่วยที่นอนหลับอยู่บนเตียงเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มาผิดห้องจึงตอบออกไปตามตรง
“ฉันเป็นเจ้าของร้านอาการที่เกิดอุบัติเหตุ”
“อ่อ... เจ้านายของมินตรา” หมอนั่นมองผมด้วยสายตาอ่อนลง ก่อนจะตวัดสายตากลับไปอ่านนิตยสารรถยนต์ตามเดิม
“ท่าทางนายจะสนิทกับลูกจ้างร้านเรานะ” ผมถามออกไปอย่างสงสัย
“ก็อยู่ชมรมเดียวกันน่ะ” หมอนั่นตอบโดยไม่ได้ละสายตาไปจากนิตยสารในมือ
“งั้นเหรอ...” ผมพยักหน้าพลางนึกในใจว่ามีอีกหลายสิ่งเลยที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับพนักงานของตัวเอง
“แล้วมินตราล่ะไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” จู่ๆ หมอนั่นก็วางนิตยสารลงแล้วหันมามองหน้าผมที่เดินมานั่งอยู่บนโซฟาตัวข้างๆ
“กลับบ้านไปแล้วล่ะ วันนี้ที่ร้านปิด ยัยนั่นก็คงต้องมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง” พูดไปแล้วก็นึกแปลกใจ ทำไมผมถึงคิดเรื่องของมินตราได้ขนาดนี้กันนะ
“อืม... ถ้ามินตราไม่ได้กำลังเศร้าอยู่ก็ดี”
“เศร้าเหรอ?” ผมจ้องหน้าหมอนั่นอย่างข้องใจ จะว่าไปแล้วผมยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่ายเลยนี่นา
“นายไม่รู้เหรอ?”
ผมส่ายหน้า
“มินตราเพิ่งจะอกหักมาน่ะ มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายก่อนที่นายจะมาอยู่ที่ร้าน ว่าแต่คาเร็นไม่ได้เล่ารายละเอียดให้นายฟังเลยเหรอ”
“เปล่านี่”
“งั้นเหรอ... งั้นฉันก็พูดมากไปน่ะสิ อ่า... งั้นอย่าใส่ใจเลยนะ มันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับนายหรอก”
รู้สึกเจ็บใจแปลกๆ แฮะ! ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมงั้นเหรอ? เหอะ!
“แล้วนายเป็นใครกัน ท่าทางจะรู้จักยัยนั่นดีหนิ”
“อ้อ! โทษทีลืมแนะนำตัวไปเลย”
หมอนั่นยิ้มอย่างเป็นมิตร วูบหนึ่ง ผมรู้สึกหมั่นไส้กับสีหน้าท่าทางใจดีของผู้ชายคนนี้จับใจ
“ฉันลีแคล เป็นพี่ชายของลีลาร์”
“อ้อ! ยินดีที่ได้รู้จักและก็ขอโทษเรื่องอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้ด้วย” ผมพูดออกไปจากใจจริง
“ไม่เป็นไร มินตราอธิบายให้ฉันฟังหมดแล้วล่ะ เรื่องอุบัติเหตุนั่นน่ะ ฉันไม่ติดใจหรอก ยังไงก็ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหนิจริงมั้ย”
“...”
“แต่ถ้านายตั้งใจให้มันเกิดก็ว่าไปอย่าง เพราะฉันจะไม่มีวันให้อภัยกับคนที่เอาความเจ็บของคนอื่นมาล้อเล่นเด็ดขาด”
“...!!!”
