ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
วันต่อมา...
...อะไรคือสิ่งที่ลูกจ้างที่ดีพึงปฏิบัติ?
ฉันนอนคิดเรื่องนั้นทั้งคืนจนในที่สุดก็ได้คำตอบ นั่นก็คือตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีความจำเป็นต้องไปว่อกแว่กกับเรื่องของคนอื่น
แน่นอนรวมทั้งเรื่องที่ลูกค้าสาวๆ รุมตอมคาร์ลด้วย
“พี่มินตราคะ ทำอะไรสักอย่างสิสองโต๊ะนั่นนั่งนานเกินไปแล้วนะ แบบนี้ลูกค้าที่เข้ามาใหม่ก็ไม่มีโต๊ะนั่นกันพอดี”
ใบบอนเดินมาสะกิดแขนฉันที่ยืนผสมน้ำดื่มอยู่บนโต๊ะในห้องครัว
ฉันเหลือบมองหน้ายัยนั่นครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วทำไมเธอไม่จัดการเองล่ะ อย่าลืมสิว่าพวกเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร้านของเราต้องหยุดกิจการเมื่อวานน่ะ ช่วยทำงานให้คุ้มกับเวลาที่เสียไปหน่อย อยากให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้านายหรือไง”
ใบหน้าและพนักงานคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างทำหน้าสลดลงทันควัน
“แต่ว่า... ในร้านเราไม่มีใครใจกล้าหน้าด้านเหมือนพี่แล้วนี่นา” ใบบอนพึมพำออกมา
หน็อยยัยนี่
“ใบบอน! ถ้ามีเวลามาเอ้อระเหยนักก็ไปล้างจานโน่นไป”
“ชิๆ” ยัยนั่นทำปากมุ่ยอย่างไม่พอใจ เดินตูดบิดออกไปหลังร้าน
เฮ้อ!~
ว่าจะไม่วุ่นวายแล้วนะ... ฉันยกถาดแก้วน้ำออกมาเสิร์ฟพนักงานที่โต๊ะหนึ่งก่อนจะชำเลืองมองกลุ่มลูกค้าสองโต๊ะที่ใบบอนพูดถึง พอมองตามสายตาของลูกค้ากลุ่มนั้นไปก็จะเจอกับคาร์ลที่ยืนประจำเคาน์เตอร์แคชเชียร์อยู่ข้างประตูร้าน
เกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที หมอนั่นไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงว่าตัวเองมีหน้าตาน่าหลงใหลขนาดไหน ฮึ่ย
ความหล่อของนายทำเอาสาวๆ จะล้มโต๊ะกันอยู่แล้ว พวกเธอต่างก็รุมจิกทึ้งโต๊ะด้วยความเขินอยู่ฝ่ายเดียวทุกครั้งที่คาร์ลเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเอามาก
ฉันเดินเข้าไปหาสาวๆ ที่โต๊ะหนึ่ง
“ขอโทษนะคะ”
พรึบ!
“...!!!” พวกเธอๆ ต่างพร้อมใจกันหันหน้ามาจ้องฉันตาขวาง ...คงรู้ล่ะสิว่าจะถูกไล่ที่ เฮ้อ
“จะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยคะ?” ฉันยิ้มใสให้พวกเธอ ก่อนจะยื่นเมนูลงตรงหน้าเป็นเชิงบังคับ ถ้าจะนั่งอยู่ในร้านต่อก็ต้องสั่งอาหารแต่ถ้าไม่สั่งก็เชิญออกไป
ฉันคิดในใจแบบนั้นแต่ดูเหมือนพวกเธอๆ ทั้งหลายจะอ่านใจฉันออก รีบฉวยเมนูไปเปิดดูทันที รู้จักยัยมินตราน้อยไปซะแล้ว! และฉันก็ทำแบบนี้กับอีกโต๊ะ
ไม่นานทางร้านเราก็ได้รับออร์เดอร์เพิ่ม เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง
ยัยใบบอนจัดการกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้แสดงว่ายังอ่อนหัดอยู่นะ! ชิ!
หลังจากเอาเมนูไปส่งพ่อครัวในครัวเสร็จฉันก็เดินออกมาจัดการบัญชีอาหารที่ยังค้างคาต่อที่เคาน์เตอร์ รู้สึกได้ถึงสายตาของคาร์ลที่จ้องมองฉันอยู่ แต่ฉันไม่อยากใส่ใจ ก้มหน้าทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น
“ยังมีอะไรต้องจดอีกเหรอ” เสียงหมอนั่นที่ยืนข้างๆ เอ่ยขึ้น
ฉันไล่ดูรายการในบันทึกครู่หนึ่งก่อนจะนึกแปลกใจ... อะไรกันรายการพวกนี้ คาร์ลเป็นคนทำงั้นเหรอ?
“ไม่มีแล้ว” ฉันเอ่ยออกไปเสียงเรียบ
“...”
ความเงียบที่น่าอึดอัดนี่มันอะไรกัน ...พอไม่มีอะไรให้ทำที่หน้าเคาน์เตอร์ฉันก็ไม่รู้จะยืนอยู่ต่อไปทำไม ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวออกจากเคาน์เตอร์หมอนั่นก็เอ่ยขึ้นมาซะก่อน
“วันนี้จะไปโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“อืม หลังร้านปิดน่ะ”
“มันดึกไม่ใช่เหรอ”
“อืม” แล้วฉันก็เดินออกมาทันที เพราะไม่มีอะไรต้องพูดกับคาร์ลอีก เฮ้อ! แต่ฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเป็นห่วงฉันหรือเปล่านะ?
ตึกๆ ตึกๆ
ไม่สิ! เดี๋ยวก่อน!! แล้วทำไมฉันต้องใจสั่นด้วยเนี่ย อร๊าก!!! พอๆ เลิกๆ หยุดคิดได้แล้ว เมื่อวานถูกหมอนั่นตวาดใส่เอาไว้ยังไงลืมไปแล้วหรือไง ฉันเป็นแค่ลูกจ้างก็ควรอยู่ส่วนลูกจ้าง ไม่ควรจะเอาเรื่องเจ้านายมาใส่ใจสิ
“พี่มินตรานี่เสิร์ฟโต๊ะสี่กับเจ็ดใช่มั้ยคะ?” เสียงพนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อฉันเดินเข้ามาในครัว
“อ่อจ้ะ”
“พี่มินตรานี่เก่งจังเลยนะคะ แทนที่จะไล่พวกนั้นไปตรงๆ กลับแกล้งให้พวกนั้นสั่งเพิ่ม ชั่วร้ายไม่มีใครเกินเลย จี้นับถือพี่จริงๆ”
“ฮื่อ! เหรอ?”
“ค่ะ งั้นจี้ขอตัวเอาอาหารไปเสิร์ฟก่อนนะคะ”
“จ้ะ!!”
ฉันยิ้มเหี้ยมให้ยัยจีจี้พนักงานฝีปากคมอีกคนของร้าน K-Restaurant ให้ตายสิ! พวกเธอเห็นฉันเป็นคนยังไงกันฮะ!
ฮึ่ย!
เฮ้อ น่าหงุดหงิดชะมัด ฉันหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากห้องครัวมาคอยบริการลูกค้าในร้าน กลับต้องสะดุ้งตกใจเพราะหน้าเกือบจะชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนที่เดินสวนเข้ามาพอดี
“คาร์ล”
ฉันอึ้งนิดๆ รีบก้าวถอยออกมาทันที รู้สึกหอบหายใจถี่เพราะหัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
...คงไม่ใช่เป็นเพราะคาร์ลหรอกนะ ฉันเหลือบมองหน้าหมอนั่นอย่างกลัวใจตัวเอง
“เอ่อ... ฉันนึกขึ้นได้พอดีน่ะ”
คาร์ลจ้องหน้าฉันนิ่ง เหมือนเขาตั้งใจมาพูดกับฉันโดยเฉพาะ
“เอ๊ะ?”
“ถ้าจะไปโรงพยาบาลก็ไปตอนนี้เลยก็ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“กลางคืนมันอันตราย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ฉันส่ายหน้า นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก เฮ้อ! ก่อนจะเดินออกมาแต่คาร์ลก็รั้งข้อมือฉันเอาไว้ก่อนที่ฉันจะก้าวพ้นประตู
ฉันหันกลับไปมองหมอนั่นอย่างข้องใจ
“...???”
“คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงน่ะ หัดสนใจหน่อยสิ”
ฉันกะพริบตาปริบๆ ...ปะเป็นห่วงฉัน?
ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจเต้นแรงเกินไปมั้ยเนี่ย
“นี่... กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า?”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอน่ะ”
“ฉันมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” ฉันขมวดคิ้ว จ้องหน้าคาร์ลอย่างไม่เข้าใจ
“เธอทำเป็นไม่สนใจฉันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว มันน่ารำคาญเข้าใจมั้ย!?” หมอนั่นจ้องหน้าฉันด้วยแววตาคมกริบ
“แล้วฉันทำผิดตรงไหนล่ะ? ลูกจ้างก็อยู่ส่วนลูกจ้างไง นายเป็นคนบอกฉันเองนะ”
“นี่คิดจะประชดกันเหรอ”
“ประชดอะไร!? เปล่าสักหน่อย”
“ถ้าไม่เรียกว่าประชดแล้วมันอะไรล่ะ”
ฉันถอนหายใจออกมาพลางกลอกตาขึ้นลงอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ฉันก็แค่ตั้งใจทำหน้าที่ของลูกจ้างที่ดีเท่านั้น มันผิดงั้นเหรอ? ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะนัดใครมาที่ร้านหรือทำอะไรกับใคร ขอแค่มันไม่ส่งผลกระทบต่อร้านอาหารของเราก็พอแล้ว”
“นี่เธอ!”
“...”
“เป็นแบบนี้เพราะถูกฉันว่าเมื่อวานเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ไม่ต้องการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเจ้านายเท่านั้นเอง ขอตัวนะคะ”
ฉันฝืนยิ้มให้คาร์ลก่อนจะสะบัดมือเขาออกจากข้อมือแล้วเดินออกมาข้างนอก ให้ตายสิ! ทำไมถึงรู้สึกแน่นหน้าอกแบบนี้นะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วทำไมถึงรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ด้วยล่ะ
ฉันเปล่าคิดอะไรกับคาร์ลสักหน่อย!
ไม่เลยสักนิดเดียว!!!
“พี่มินตรา” เสียงใบบอนดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังยืนเหม่ออยู่ที่ผนังด้านหนึ่งในร้านอาหาร
“หือ” ฉันเหลือบมองหน้ายัยนั่นอย่างสงสัย
“พี่คาร์ลออกไปข้างนอกน่ะ ฝากให้พี่ดูแลร้านด้วย”
“เอ๊ะ?” ฉันแปลกใจเล็กน้อย หมอนั่นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนใบบอนจะเดาใจฉันถูก เพราะยัยนั่นพูดออกมาทันทีหลังจากที่สบตาฉัน
“ออกไปทางหลังร้านน่ะ เห็นว่าวันนี้จะไม่เข้ามาอีกแล้ว”
“บอกมั้ยว่าไปไหน?”
“โรงพยาบาล”
“อ่อ”
เท่านั้นฉันก็เข้าใจแล้ว หมอนั่นเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เลวร้ายเท่าไหร่ อย่างน้อยๆ เขาก็มีจิตสำนึกและรับผิดชอบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลีลาร์ เฮ้อ!! ฉันควรจะจัดการกับอารมณ์ที่ปั่นป่วนของตัวเองยังไงดีนะ ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะวางตัวยังไงกับคาร์ลดี จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนครั้งแรกที่เจอกันหรือเป็นอย่างวันนี้ต่อไปดี...
เฮ้อ! เหนื่อยใจชะมัด!! ไม่ว่าฉันจะเป็นแบบไหนก็โดนหมอนั่นรำคาญใส่งั้นเหรอ บ้าที่สุดเลย!!!
