ตอนที่ 3
ครืด! ครืด! ครืด!
ลีแคล
เดินออกมาจากร้านยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็สั่นครืดขึ้นมา ฉันหยิบออกมาดูก่อนจะเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นชื่อของคนโทรมาโชว์หราอยู่บนหน้าจอ
“ลีแคล” ฉันกดรับสายพร้อมกับเอ่ยชื่อของคนปลายสายออกไป
[มินตรา ตอนนี้ลีลาร์ออกจากห้อง ICU แล้วนะ พักอยู่ห้องพิเศษน่ะ]
“อ้าวเหรอ อืมๆ แล้วตอนนี้ลีลาร์เป็นยังไงบ้าง”
[ก็ปลอดภัยดี ตอนนี้หมอให้ยาแก้ปวดและก็นอนพักผ่อนน่ะ]
“งั้นเหรอ แล้วร่างกายล่ะ? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า หมายถึง... เย็บไปกี่เข็มแล้วจะเสียโฉมมั้ย” ฉันถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ลีลาร์ค่อนข้างจะเป็นคนหน้าตาดีและห่วงสวยพอสมควร ถ้าหากหน้าตาเธอต้องมายับเยินเพราะอุบัติเหตุบ้าบอแบบนั้นคงกรี๊ดไม่ออกแน่
[อืม... ก็เย็บไปหกเข็มน่ะ แผลตรงหน้าไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ที่หนักก็คือบนศีรษะ]
“...” ฉันรู้สึกเสียใจจนไม่รู้จะเอ่ยออกไปยังไงดี และเหมือนลีแคลจะเดาใจฉันออก เขาจึงพูดออกมาว่า
[ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกมินตรา เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ลีลาร์ไม่ระวังเอง อีกอย่างถ้าน้องสาวฉันจะต้องเสียโฉมเพราะเรื่องนี้จริงๆ ก็ไม่น่ากังวลหรอกเดี๋ยวยัยนั่นก็แจ้นไปทำศัลยกรรมเองนั่นแหละ]
=_=^ เอ่อนี่นายเห็นน้องตัวเองเป็นอะไรเนี่ย!?
“ถ้าหน้าตาดีอยู่แล้วก็ไม่มีใครอยากทำศัลยกรรมให้เจ็บตัวหรอกนะ” ฉันแหวกลับไปเสียงฉุน
[ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า แค่ไม่อยากให้เธอเครียดเท่านั้นแหละ เรื่องนั้นจะทำยังไงต่อมันก็แล้วแต่ลีลาร์ละนะ]
“ชิ! เออ... เรื่องค่ารักษาเดี๋ยวทางร้านเราจะดูแลเองนะ นายไม่ต้องออกเอง”
[บอกแล้วไงว่าไม่ต้องน่ะ ฉันไม่ได้โทษพวกเธอสักหน่อย]
“อย่าปฏิเสธเลยน่าให้ทางเรารับผิดชอบเถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกผิดน้อยลงนะ”
[เฮ้อ! งั้นก็ได้ ถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจขึ้น]
“อื้ม ฉันดีใจนะที่นายเข้าใจฉัน”
หลังจากนั้นฉันก็วางสายจากลีแคล รถเมล์สายที่ผ่านหน้าหอพักวิ่งมาจอดตรงป้ายพอดี ฉันหยุดคิดครู่หนึ่ง... ถ้าให้กลับห้องไปตอนนี้ก็คงสงบใจไม่ได้ เรื่องค่ารักษาพยาบาลลีลาร์ตีกันวุ่นอยู่ในหัวฉันไม่หยุด ยังไงก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกคาร์ล ฉันกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกขัดใจก่อนจะกลั้นใจเดินวกกลับมาที่ร้าน! เพื่อบอกข่าวเรื่องลีลาร์ให้คาร์ลทราบ
แอ๊ด!
“...”
คาร์ลที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่บนโต๊ะเหลือบมามองฉันทันทีที่ประตูถูกเปิดออก หมอนั่นไม่พูดอะไรนอกจากมองฉันด้วยสายตานิ่งๆ แวบหนึ่งก่อนจะละสายตาจากไป
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ขยับปากบ่นพึมพำคนเดียว
“นี่... ไม่คิดจะเก็บกวาดกันเลยหรือไงนะ เศษแก้วเนี่ยเดี๋ยวก็ได้บาดมือเท้าเอาหรอก”
บอกไม่ถูกว่าฉันรู้สึกหงุดหงิดขนาดไหนที่กลับมาอีกรอบยังเห็นเศษหลอดไฟแตกเกลื่อนกลาดพื้นแบบนี้ ครั้นจะเอ่ยปากต่อว่าคาร์ลก็อึดอัดใจเพราะเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วหมอนั่นยังตะคอกใส่ฉันอยู่เลย
น่าโมโหชะมัด! แล้วนี่ฉันกลับมาทำไมเนี่ย
ฉันกระแทกไม้กวาดกับที่ตักผงวางใส่มุมผนังห้องภายในห้องครัวอย่างอารมณ์เสียหลังจากเก็บกวาดเสร็จ ก่อนจะมองออกไปที่ประตู หายใจฮืดฮาด นับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อทำใจให้เย็นลงก่อนจะไปพูดกับคาร์ล
“นี่!”
ฉันเดินออกมายืนเท้าสะเอวจ้องหน้าคาร์ลที่นั่งอยู่บนโต๊ะ หมอนั่นชำเลืองมองฉันเงียบๆ ด้วยสายตาเรียบเฉย
“นายไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย”
คาร์ลสบถลมหายใจก่อนจะกระแทกเสียงใส่ฉันอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้าจะมาบ่นฉันก็กลับไปซะ!”
ฉันอ้าปากอึ้ง อยากด่าหมอนี่ใจจะขาดแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ยังไงซะเขาก็เป็นญาติกับเจ้านาย ขืนพูดอะไรไม่เข้าหูเดี๋ยวฉันจะซวยซะเปล่าๆ ฮึ่ม! ท่องไว้เพื่อร้าน เพื่องาน เพื่อลีลาร์... O_O ใช่สิ! ฉันมัวแต่ใส่ใจกับการกดอารมณ์ไม่ให้โมโหคาร์ลจนเกือบจะลืมเป้าหมายหลักที่กลับมาที่นี่แล้วให้ตายสิ!
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่โดนคาร์ลสบถใส่เมื่อครู่แล้วพูดเรื่องลีลาร์ออกไป
“ตอนนี้ลีลาร์ออกจากห้อง ICU แล้ว ถ้านายรู้สึกผิดบ้างก็ช่วยโผล่หน้าไปดูอาการเธอหน่อย อ้อ! แล้วก็ช่วยเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลด้วย”
คาร์ลจ้องหน้าฉันก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบขอไปที
“รู้แล้วน่า”
“แล้ว... เคมี่กับแฟนกลับไปนานแล้วเหรอ?”
_ พูดออกไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตัวเองชะมัด
ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันแท้ๆ แต่ว่า... ท่าทางซึมกะทือของคาร์ลก็ทำให้ฉันไม่สามารถมองข้ามไปได้ อะไรกันนะ ความรู้สึกเป็นห่วงหมอนั่นแบบนี้ ชิ! น่ารำคาญใจชะมัด
พรึบ!
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!”
คาร์ลตวัดสายตาคมกริบขึ้นมองฉันทำเอาฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก รู้สึกแย่ที่ไปยุ่งเรื่องของเขาขึ้นมาทันที
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น... ทำตัวไม่ถูก ถ้าเดินหนีไปตอนนี้จะดีหรือเปล่านะ...
ฉันจ้องมองใบหน้าคาร์ลที่หันมองไปทางอื่นอย่างลังเลใจ
เขาดูหงุดหงิด... ไม่ได้ดั่งใจ... ขุ่นเคือง... เหมือนคนที่พยายามอดกลั้นกับความรู้สึกของตัวเอง
ทั้งที่อยากรักแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้ และทั้งที่รู้ว่ารักไม่ได้กลับยากที่จะลืม
วูบหนึ่ง... ราวกับว่าฉันมองเห็นภาพของตัวเองสะท้อนออกมาจากร่างของคาร์ล ความรู้สึกรักข้างเดียวทำไมฉันจะไม่รู้จัก รู้ซึ้งเลยล่ะว่ามันเจ็บและทรมานขนาดไหน
แม้ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุโชว์มันจะครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าฉันชอบหมอนั่น ชอบจนเผลอทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไป และมันก็ติดเป็นตราบาปในหัวใจของฉันตราบจนทุกวันนี้...
“คาร์ล” ฉันเอ่ยชื่อเขาเสียงเบาหวิว สิ่งหนึ่งที่ฉันกลัวตอนมองหน้าของเขาก็คือ ...กลัวเขาจะทำแบบเดียวกันกับฉัน
ฉันไม่อยากให้ใครทำผิดพลาดในเรื่องความรักเหมือนฉันอีกแล้ว
ความคิดที่จะไขว่คว้าความรักมาด้วยวิธีสกปรกนอกจากจะไม่สมหวังแล้วยังเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองอีกด้วย ความขมขื่นและทรมานแบบนั้นฉันรู้ซึ้งดีเลยละ เพราะงั้นถึงได้ไม่อยากเห็นใครต้องเป็นเหมือนกับตัวเองไง
“ฉันรู้ว่านายอาจจะยังไม่ลืมเคมี่ แต่ว่าตอนนี้เธอมีแฟนใหม่ไปแล้วนายก็ควรจะ”
“เธอจะไปรู้อะไร!”
ฉันชะงัก! ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็โดนหมอนั่นตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“หยุดพูดเหมือนเข้าใจฉันได้แล้ว!”
คาร์ลหยุดตะคอก ดวงตาคมกริบหรี่มองฉันนิ่ง ก่อนจะเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมา
“หรือว่าเธอสงสารฉัน”
ฉันจ้องหน้าคาร์ลนิ่ง พูดอะไรไม่ออก รู้สึกมึนงงไปหมด
“...” ทำไมฉันต้องรู้สึกสงสารนายด้วย?
“เก็บความเวทนาของเธอไว้ใช้กับคนอื่นเถอะอย่ามาใช้กับฉัน! เพราะว่าฉันยังไม่แพ้” คาร์ลผุดลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ ก่อนที่หมอนั่นจะก้าวออกจากโต๊ะ ฉันก็ได้สติรีบตะครุบแขนเขาเอาไว้ทันควัน!
“คาร์ล!”
“ปล่อย!” หมอนั่นจ้องมองฉันด้วยแววตาราบเรียบ
“นายคิดจะทำอะไร”
ฉันจ้องตอบนัยน์ตาคมกริบเลือดเย็นนั่นอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอคิดจะทำอะไร?”
“ฉัน...” ฉันกะพริบตาปริบ! พูดอะไรไม่ออก เพิ่งรู้ตัวว่าเกาะแขนเขาเอาไว้แน่น
ฉันปล่อยมือออกจากแขนของคาร์ลอย่างลังเล นึกไม่ออกว่าก่อนหน้านี้คิดอะไรอยู่ถึงได้กระโดดเข้าไปเกาะแขนเขาเอาไว้แบบนั้น
“เลิกวุ่นวายกับฉันได้แล้ว เป็นแค่ลูกจ้างอย่าสะเออะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย”
“...!!!” ฉันยืนนิ่ง! เม้มริมฝีปากแน่น ปวดหนึบในใจอย่างบอกไม่ถูก
สำหรับคาร์ลฉันคงเป็นแค่ลูกจ้างต่ำต้อยเท่านั้น หึ! น่าสมเพชจริงๆ ที่ฉันหลงลืมสถานะของตัวเองไป
“ขอโทษค่ะที่รบกวน ยังไงก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมลีลาร์ที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ ...ขอตัวค่ะ” ฉันพูดสุภาพกับคาร์ลก่อนจะเดินออกมาจากร้านด้วยหัวใจที่เบาโหวงพิกล...
ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหล แปลกจริง... ทำไมฉันต้องรู้สึกน้อยใจด้วยนะ!?
