ตอนที่ 4 (2)
ตกดึกคืนนั้นฉันก็มาเยี่ยมลีลาร์ที่โรงพยาบาลตามที่บอกเอาไว้กับคาร์ล
“พี่มินตรา” ลีลาร์เรียกฉันเสียงใสทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง?”
“สบายดีค่ะ แต่ไม่รู้จะมีแผลเป็นหรือเปล่า” พูดเสร็จก็ทำหน้าเศร้าใจขึ้นมาทันที
เฮ้อ! ฉันถอนหายใจก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
“แล้วเกิดนึกอะไรล่ะ ถึงได้โผล่ไปที่ร้าน” ฉันเอ่ยถามประโยคที่สงสัยมาหลายวัน
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่จะไปดูให้แน่ใจ” ลีลาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ
“ดูอะไร?”
“ก็... ข่าวที่ว่าพี่คาเร็นไม่อยู่น่ะสิ”
“เฮ้อ!”
“ไม่อยู่จริงๆ เหรอคะ พี่คาเร็นน่ะ” ลีลาร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“อืม”
“พี่มินตรารู้หรือเปล่าว่าเขาไปไหน”
“ไม่รู้หรอก”
“แล้วเขาไม่บอกอะไรเลยเหรอ?”
“ไม่หนิ”
“...”
“พี่นึกว่าเธอจะรู้อะไรซะอีก” ฉันมองหน้าลีลาร์อย่างหนักใจแกมสงสัย
“ลีลาร์ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ” ยัยลีลาร์ทอดมองผ้าห่มบนตักของตัวเองด้วยสายตาเลื่อนลอย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้ๆ คือลีลาร์แอบมีใจให้กับคาเร็นเจ้านายของฉันมานานแล้ว และที่คาเร็นหายตัวไปกะทันหันแบบนี้ก็คงจะทำให้ลีลาร์สะเทือนใจน่าดู
เฮ้อ! อย่างที่บอกฉันไม่เข้าใจความคิดของเจ้านายเลยจริงๆ หนีเที่ยวเวลาแบบนี้เนี่ยนะ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่...
แล้วจู่ๆ ฉันก็สังเกตเห็นดอกกุหลาบสีแดงที่ปักอยู่ในแจกันบนโต๊ะข้างเตียงของลีลาร์ รวมทั้งที่วางอยู่บนโต๊ะรับรองหน้าโซฟาด้วย
“ลีแคลเป็นพี่ชายที่โรแมนติกดีนะ”
“อะไรคะ?” ลีลาร์สะดุ้ง มองหน้าฉันอย่างตื่นตระหนก
“ก็ดอกไม้นั่นไง”
“อ๋อ... ไม่ใช่พี่ลีแคลหรอกค่ะแต่เป็นของคาร์ลน่ะ”
“หืม?”
ฉันเบิกตากว้าง รู้สึกแปลกใจที่หมอนั่นซื้อดอกกุหลาบสีแดงมาเยี่ยมไข้ลีลาร์แบบนี้
“เขาหน้าตาดีนะคะ แถมยังแบดบอยกว่าพี่คาเร็นอีก”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ออกความเห็นเท่านั้น”
“หมอนั่นจัดการค่ารักษาพยาบาลให้เธอแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่รู้สิคะ ลีลาร์ไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก แค่เห็นเขามาเยี่ยมไข้ก็พอใจแล้ว”
“พูดแบบนี้แสดงว่าปลื้มคาร์ลล่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ยังไงคนที่อยู่ในใจลีลาร์ก็มีแค่พี่คาเร็นคนเดียวแหละค่ะ แต่ถ้าคาร์ลทำให้ลีลาร์ลืมพี่คาเร็นได้ก็...”
“ก็อะไร?”
“ฮี่ๆ ไม่มีอะไร”
“ชิ!”
“ว่าแต่พี่มินตราเถอะ ทำงานกับคาร์ลทุกวันระวังจะหลงเสน่ห์นะคะ”
“ว่าไงนะ!”
“....”
“แล้ว... หมอนั่นมาเยี่ยมเธอนานหรือเปล่า”
“อ้อ! เขาเพิ่งจะมาก่อนหน้าพี่มินตราไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“ไม่กี่ชั่วโมง?” ฉันมองหน้าลีลาร์อย่างแปลกใจ ก็หมอนั่นออกมาจากร้านตั้งแต่เที่ยงแล้วนี่นา แล้ว... ก่อนหน้านั้นเขาไปทำอะไรกันแน่นะ ชักสงสัยแล้วสิ! ชิ!! อย่าให้รู้นะว่าหนีงานไปทำเรื่องไร้สาระน่ะ ฮึ่ย!
ฉันถอนหายใจ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“แล้ววันนี้ลีแคลไม่มาอยู่กับเธอเหรอ?”
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ”
“เป็นพี่ชายที่ห่วงน้องสาวจริงๆ นะหมอนั่น”
“น่ารำคาญล่ะสิไม่ว่า” ลีลาร์บุ้ยปาก อะไรกันยัยนี่มีพี่ชายดีๆ แล้วยังไม่พอใจอีกเหรอ ชิ! น่าอิจฉาชะมัด ฉันว่าคงได้เวลากลับแล้วล่ะมั้ง ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วด้วยเดี๋ยวรถเมล์หมด ไม่อยากนั่งแท็กซี่เท่าไหร่ มันเปลือง
“เอ่อ... พี่คงต้องขอตัวกลับก่อนนะลีลาร์ โทษทีที่อยู่ได้ไม่นาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ระหว่างนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพอดี... ลีแคลนั่นเอง
“อ้าวมินตราจะมาค้างด้วยเหรอ” หมอนั่นจ้องหน้าฉันอย่างสงสัย
ค้างกะผีน่ะสิ! คนกำลังจะกลับเนี่ย...
ฉันยิ้มซื่อๆ แล้วตอบออกไป “เปล่าแค่มาเยี่ยมน่ะ”
“หืม? แค่มาเยี่ยมเหรอ”
“อืม”
“ดึกจังเลยนะ แล้วนี่มีรถกลับเหรอ?” ลีแคลพูดพลางยกนาฬิกาแบรนด์เนมที่ข้อมือขึ้นมาดู เบื่อจริงๆ พวกคนรวยเนี่ย ชิ
“มีแหละ” ฉันตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลุกขึ้น กำลังจะเดินออกจากโต๊ะเสียงลีลาร์ก็ดังขึ้นมา
“พี่ลีแคลไปส่งพี่มินตราสิคะ”
เราทั้งคู่ชะงัก... มองหน้ากันอย่างอึ้งๆ ครู่หนึ่งก่อนที่ฉันจะรีบบอกปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรลีลาร์ พี่กลับเองได้”
แต่ว่าลีแคลมีความเป็นสุภาพบุรุษกว่าที่คิด... หมอนั่นรีบออกหน้าออกตาทันที
“ให้ฉันไปส่งเธอดีกว่า ดึกๆ แบบนี้กลับบ้านคนเดียวมันอันตรายนะ เป็นผู้หญิงก็หัดระมัดระวังบ้างสิ”
“นั่นสิคะ อย่าประเมินตัวเองต่ำไปสิพี่มินตรา รู้มั้ยว่าหน้าตาพี่มันยั่วยวนผู้ชายขนาดไหน”
ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นจากปากคนสวยอย่างเธอหรอกนะลีลาร์! และฉันก็ไม่เชื่อด้วยว่าหน้าตาฉันมันยั่วยวนผู้ชาย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันคงไม่ต้องอกหักหรอก ชิ!
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายมันไว้ใจได้?” ฉันแกล้งแหย่ลีแคลเล่น หมอนั่นขำก๊ากออกมาทันที อะไรกันยะ!!!
“ฮ่าๆๆ วางใจได้น่าฉันไม่คิดอะไรกับเธอหรอก”
“มั่นใจ?” ฉันยังแกล้งแหย่ลีแคลต่อเพราะหมั่นไส้กับสีหน้ามั่นอกมั่นใจซะเต็มประดาของหมอนั่นเป็นที่สุด
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะถ้าพี่ลีแคลตกหลุมรักพี่มินตราจริงๆ ลีลาร์ให้ไฟเขียวเลย” ยัยลีลาร์เอ่ยขึ้นมาอย่างชอบอกชอบใจ ยัยบ้านี่ทำเอาฉันไปต่อไม่เป็นเลย จากตอนแรกแค่เล่นๆ ตอนนี้กลับกระดากอายจนไม่กล้าสบตาลีแคลเลยแฮะ นี่ฉันเป็นคนอ่อนไหวง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย!
“เอ่อ... ไปกันเถอะมินตรา อย่า... อย่าไปถือสาคำพูดลีลาร์เลย”
แล้วทำไมนายต้องประหม่าด้วยเนี่ยลีแคล!
“อะอืม...”
ฉันจะไม่คิดอะไรเลยถ้านายไม่พูดตะกุกตะกักแบบนั้น
“โชคดีนะคะ”
ลีลาร์โบกมือ ยิ้มส่งเราสองคนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าพึงพอใจ
หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ยะ!?
ฉันชะงักเมื่อมาถึงชั้นหนึ่งของตึกแล้วสายตาก็เหลือบเห็นใครบางคนเข้า...
“...”
“มีอะไรหรือเปล่ามินตรา?” เสียงลีแคลดังขึ้นมาทันที
“อะ... เปล่าแค่คิดว่าเจอคนรู้จักน่ะ”
“หืม?”
ฉันหันไปมองทางเดิมอีกรอบ ตอนแรกนึกว่าตาฝาดแต่พอมองดีๆ กลับยิ่งมั่นใจว่าเป็นเขา...
“ดอม?” ฉันเอ่ยชื่อนั้นออกมาก่อนที่เขาจะเดินผ่านฉันไปเฉยๆ
ดอมชะงัก แล้วหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาประหลาดใจ
“คุณ?” ดูเหมือนว่าเขาจะยังจำฉันไม่ได้ แต่ว่าฉันไม่คุ้นเลยแฮะกับคำพูดสุภาพแบบนี้น่ะ...
“เราเคยเจอกันที่ร้านอาหารจำได้หรือเปล่า?”
“อ้อ! เธอนั่นเอง”
“...”
“แล้วมาทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ ไม่สบายเหรอ?”
“เปล่าค่ะ มาเยี่ยมญาติน่ะ ว่าแต่นายล่ะ”
“ผมเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ฝึกงานที่นี่น่ะครับ”
“อ่อ...”
ฉันพยักหน้ารับรู้... พลางนึกในใจ อะไรมันจะบังเอิญแบบนี้กันนะ
“มินตราไปกันได้หรือยัง? ดึกแล้วนะ” เสียงลีแคลดังขึ้น
“แฟนเหรอครับ?” ดอมหันไปมองหมอนั่นครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มให้ฉัน
“เอ่อ... ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนที่มหาวิทยาลัยน่ะ”
“มินตรา” เสียงลีแคลดังย้ำมาอีกที ฉันจุ๊ปากอย่างรำคาญก่อนจะหันมาพูดกับดอม
“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะคะ”
“อ่อ... ครับ”
แปลกจังแฮะ! การพบกันกับดอมที่โรงพยาบาลมันกวนใจฉันอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องยุ่งยากใจบางอย่างเกิดขึ้นงั้นแหละ
วันต่อมา...
ดอกกุหลาบสีแดงช่อโตสะดุดสายตาถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ตั้งแต่เช้า ทำเอาฉันงง มึน และอึ้งไปหลายวินาที จนกระทั่งคาร์ลโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว แล้วตะโกนบอกด้วยท่าทางปกติราวกับว่าเราไม่เคยมีเรื่องอะไรกันเลย
“ของฉันเองแหละ ชอบหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ?” ฉันกะพริบตาอย่างงุนงง เหลือบมองกุหลาบช่อโตตรงหน้าหัวใจสั่น หระ... หรือว่าจะซื้อมาให้ฉัน!?
ตึกๆ ตึกๆ
อร๊าย!~ กำลังคิดอะไรของนายอยู่เนี่ย
“ว่าไงชอบมั้ย?” คาร์ลถามย้ำมาอีกที
“อะอืม”
“หึๆ” หมอนั่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ออกมาจากครัว แล้วหยิบกุหลาบหนึ่งดอกออกจากช่อยื่นมาตรงหน้าฉัน
“อะของเธอ”
ฉันเหลือบมองกุหลาบในมือของคาร์ลกับกุหลาบช่อใหญ่สลับกันไปมาอย่างงุนงง
“ขอโทษสำหรับเรื่องที่ฉันทำให้เธอหนักใจก่อนหน้านี้ ลืมๆ มันไปเถอะนะ คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ บอกตามตรงฉันไม่ชอบเลยจริงๆ ท่าทางที่เธอทำเป็นไม่สนใจฉันน่ะ”
หน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที... เกือบจะร่าเริงอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินประโยคต่อมาของคาร์ล
“ส่วนนี่...” เขาหยิบกุหลาบช่อใหญ่ขึ้นมาถือพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม “...ฉันจะเอาไปขอโทษเคมี่ที่ทำตัวงี่เง่าในวันนั้น”
“...” ฉันอึ้งไปหลายนาที... ปวดแปลบที่หัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ มองคาร์ลที่กำลังอมยิ้มฝันหวานกับช่อกุหลาบในมือแล้วขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
อะไรทำให้ฉันคิดว่าช่อกุหลาบนั่นเป็นของฉันกันนะ น่าละอายใจและสมเพชตัวเองจริงๆ
“มินตรารับไปสิ คำขอโทษจากฉัน”
ฉันเหลือบมองกุหลาบหนึ่งดอกที่คาร์ลยื่นมาให้ ก่อนจะรับมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
“ถ้างั้นวันนี้ฝากร้านด้วยนะ ฉันจะแวะไปหาเคมี่และก็จะเอาขนมไปเยี่ยมไข้ลีลาร์ที่โรงพยาบาลด้วย”
“...”
คาร์ลเดินฮัมเพลงกลับเข้าไปในครัวอย่างอารมณ์ดี ครู่ต่อมาหมอนั่นก็เดินถือกล่องใส่คุกกี้ออกมาจากครัวแล้วหอบเอาช่อกุหลาบออกจากร้านไป...
ฉันกวาดสายตามองรอบๆ ร้านที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกวูบโหวง... ตั้งแต่ทำงานที่ร้านนี่มาไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันรู้สึกเหงาขนาดนี้มาก่อน
เมื่อไหร่พนักงานคนอื่นจะมากันสักทีนะ...
ฉันเหลือบมองดอกกุหลาบที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมันขึ้นมาหมุนอย่างใจลอย... ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่หมอนั่นยังอุตส่าห์นึกถึงฉัน แม้ว่ามันจะน้อยกว่าส่วนของเคมี่ก็ตามที
