Carl’s story 2❊
ผมขับรถตรงมาที่โรงพยาบาลธาราพิลักษณ์อย่างอารมณ์ดี มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรแบบนี้ที่ลีลาร์เข้าโรงพยาบาลเดียวกับโรงพยาบาลที่หมอนั่นฝึกงานอยู่ หึๆ โอกาสที่ผมจะได้แกล้งทำเป็นเจอกับเคมี่เหมาะๆ แบบนี้ไม่มีอีกแล้ว หลังจากสืบรู้มาว่าดอมมักจะขลุกอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด ทำให้เคมี่ต้องเป็นฝ่ายแวะเวียนมาหาหมอนั่นบ่อยๆ มันทำให้ผมมองเห็นช่องว่างที่จะเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างสองคนนั้น...
เคมี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบวิ่งตามใครและยังเป็นประเภทที่ชอบทำตัวติดแฟนตลอดเวลา หึ! ไม่รู้ว่าเธอนึกครึ้มใจอะไรถึงได้สลัดรักผมแล้วเลือกมาคบกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาให้แบบนี้ อย่าเพิ่งชะล่าใจนักเลยดอม เพียงเพราะเคมี่เลือกนายก็ไม่ได้หมายความว่านายจะกุมหัวใจเธอได้อยู่หมัดสักหน่อย ประมาทเมื่อไหร่ได้เสียเคมี่คืนให้ฉันแน่
ผมก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ แล้วก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะอยู่ข้างเดียวกับผมเพราะทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดเคมี่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมพอดิบพอดีราวกับรู้ล่วงหน้า
“คาร์ล” เคมี่เรียกชื่อผมทั้งๆ ที่ยังอยู่ในลิฟต์
“ไง” ผมเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับแกล้งทำหน้าแปลกใจใส่เธอ
“มาทำอะไรที่นี่?” เคมี่ก้าวออกมาจากลิฟต์พลางมองข้าวของในมือผมด้วยสีหน้าสงสัย
“มาเยี่ยมเพื่อนน่ะ”
ผมตอบพลางโชว์กล่องใส่คุกกี้ในมือให้เคมี่ดูเพื่อยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ปั้นเรื่องโกหก แต่ดูเหมือนเคมี่จะยังไม่หายข้องใจ แน่นอนว่าเธอต้องกำลังคิดว่าผมมาดักรอเจอเธอชัวร์!
“ถ้าไม่เชื่อจะไปด้วยกันก็ได้นะ”
“เอ่อ...” เคมี่ท่าทางลังเลก่อนจะเหลือบมองช่อกุหลาบในมือผม “แล้วนั่นให้เพื่อนด้วยเหรอ?”
ผมกระตุกยิ้ม “อะไรกันหึงเหรอ?”
“บ้า! แค่สงสัยน่ะ”
“หึๆ เปล่าหรอก นี่ของเธอต่างหาก”
“เอ๊ะ! ไหนบอกว่ามาเยี่ยมเพื่อนไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันอะไร...”
ผมรีบพูดขึ้นมาก่อนที่เคมี่จะคิดอะไรเป็นตุเป็นตะไปไกล
“มาเยี่ยมเพื่อนจริงๆ แต่ว่านี่ตั้งใจจะเอาไปให้เคมี่ที่ห้องพักน่ะ แต่ดีจริงๆ ที่เจอก่อนจะได้ไม่ต้องหอบไปหอบมากลัวช้ำ”
พูดเสร็จผมก็ยื่นช่อกุหลาบในมือให้เคมี่ในขณะที่เธอยังคงทำหน้ามึนงงใส่ผมอยู่อย่างนั้น
“นี่... ช่วยยืนยันหน่อยสิว่ามันแค่เรื่องบังเอิญที่เราเจอกันที่นี่น่ะ?” เคมี่เม้มริมฝีปาก หรี่ตามองผมอย่างครุ่นคิด
“อะไรกันเคมี่ ผมมันน่าสงสัยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็นิดนึง”
“แต่ว่า... ผมรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปจริงๆ นะ กุหลาบนี่ถือว่าเป็นการไถ่โทษจากผมก็แล้วกัน ช่วยรับมันไปด้วย”
“ถ้านายรู้สึกผิดจริงๆ ก็น่าจะเลิกยุ่งกับพวกเราได้แล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมหันไปมอง แล้วก็ต้องสบตาเข้ากับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
ไอ้ดอม!!
หมอนั่นฉวยช่อกุหลาบไปจากมือผมแทนเคมี่ มันปรายตามองดอกกุหลาบที่ชูช่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“ดอกไม้ไถ่โทษจากนายฉันจะขอรับเอาไว้เอง หมดธุระแล้วใช่มั้ย? ไปกันเถอะเคมี่”
“เอ่อ... ค่ะดอม” เคมี่เหลือบมองผมกับดอมสลับกันด้วยสายตาลำบากใจก่อนจะถูกดอมจับมือแล้วเดินตามกันออกไปอย่างรวดเร็ว
หึ!! ไม่คิดจะพูดอะไรกับผมก่อนไปเลยหรือไงนะยัยนั่น ยิ่งเธอให้ความสำคัญกับดอมมากเท่าไหร่ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกเจ็บในใจของผมมากขึ้นเท่านั้น บ้าเอ๊ย
ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจก่อนจะหันมากดลิฟต์เพื่อขึ้นไปเยี่ยมลีลาร์ที่ห้อง
“ว้าว! คุกกี้น่าอร่อยจังเลยค่ะ”
เสียงใสของลีลาร์ดังขึ้นมาทันทีที่ผมส่งกล่องคุกกี้ไปให้
“อืม! ชอบก็ดีแล้วล่ะ”
“...” ลีลาร์มองหน้าผมนิ่งทำให้ผมต้องเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คาร์ลหงุดหงิดอะไรมาเหรอ”
ผมชะงัก ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกอ่านง่ายขนาดนี้
“ก็เสียงของคาร์ลมันแข็งกว่าปกติหนิ โกรธใครมาเหรอ หรือว่าถูกพี่มินตราเหวี่ยงมา ฮิๆ” แล้วลีลาร์ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาทันทีที่พูดถึงมินตรา
ทุกวันที่ผมมาเยี่ยมลีลาร์ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เธอจะไม่เอ่ยชื่อมินตราออกมา... ก็ไม่ใช่ว่าผมรำคาญหรอกแต่ว่าแค่แปลกใจเท่านั้นที่มินตราถูกอ้างถึงบ่อยๆ ราวกับว่ายัยนั่นเป็นคนสำคัญของทุกคน ซึ่งทำให้ผมไม่พอใจเอาซะเลยเพราะรู้สึกว่ายัยนั่นต้องสำคัญกับผมคนเดียวเท่านั้น
แต่... ทำไมผมต้องคิดแบบนั้นด้วยนะ ไม่เข้าใจเอาซะเลย
“ท่าทางเธอจะชอบมินตรามากเลยนะ”
“อื้อ ก็เป็นพี่ที่ชมรมน่ะ”
“งั้นเหรอ”
“นี่คาร์ล... พี่คาเร็นติดต่อมาบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่”
“เหรอ” แววตาของลีลาร์เศร้าหมองลงถนัดตาเมื่อเอ่ยถึงคาเร็น นี่ก็อีก... ไม่มีครั้งไหนที่คุยกันแล้วลีลาร์จะไม่ถามถึงคาเร็น ไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของผมคนนั้นก่อเรื่องอะไรเอาไว้ จู่ๆ ก็หนีไปแล้วทิ้งร้านเอาไว้ให้คนอื่นดูแลแทน มันต้องมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
แอ๊ด~
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา
พี่ชายของลีลาร์ปรากฏตัวต่อหน้าผม หมอนั่นขมวดคิ้วหน้าตึง ท่าทางไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เห็นหน้าผม หวงน้องสาวน่าดูแฮะหมอนี่
“นายอีกแล้วเหรอ” ลีแคลจ้องหน้าผมอย่างไม่สบอารมณ์
ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องนั่งอยู่ต่อ อีกอย่างเห็นหน้าลีแคลแล้วมันรู้สึกเหม็นขี้หน้าอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะลีแคลมันชอบทำหน้าเขม่นใส่ผมบ่อยๆ ล่ะมั้งนะ
“ไม่ต้องห่วงฉันกำลังจะกลับแล้วล่ะ” ผมบอกลีแคล
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคาร์ล เพิ่งมาเองนะ” ลีลาร์จ้องหน้าผมตาละห้อย
“อืม... ต้องกลับไปดูร้านน่ะ”
“นายมาเยี่ยมลีลาร์ทุกวันแบบนี้ฉันล่ะเป็นห่วงมินตราจริงๆ” ลีแคลโพล่งขึ้นมา
ผมตวัดสายตาคมกริบไปมองหน้าหมอนั่นทันควัน เรื่องภายในร้านคนนอกอย่างนายไม่มีสิทธิ์มายุ่ง ...ก็อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอกแต่ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะชวนทะเลาะไปก็ไม่มีประโยชน์
“ยัยนั่นแกร่งกว่าที่คิด ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ถึงฉันไม่อยู่มินตราก็ดูแลร้านได้”
“งั้นนายก็ไม่ได้ช่วยอะไรที่ร้านเลยล่ะสิ มินตราน่าสงสารแฮะ”
ผมกัดฟันกรอด!~ ไอ้หมอนี่มัน
“เออ! ถ้าห่วงยัยนั่นนักทำไมนายไม่ไปดูแลเลยล่ะ”
“...” ลีแคลเงียบกริบ เหมือนผมไปสะกิดโดนอะไรบางอย่างเข้า
“นั่นสิพี่ลีแคล ไปดูพี่มินตราเลยสิจะได้หมดห่วง” ลีลาร์เชียร์ ทำเอาผมหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ลีแคลกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปดีดหน้าผากน้องสาวหนึ่งที
ปัก!
“โอ๊ย! เจ็บ"
“ไม่ต้องพูดแล้วลีลาร์ ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันแค่ห่วงมินตราในฐานะที่เป็นเพื่อนในชมรมเดียวกันเท่านั้น เลิกคิดอะไรไปไกลได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ พี่มินตราน่ารักดีออก ไม่สนเหรอ? รีบๆ ลืมคนเก่าของพี่ไปได้แล้วยังไงเขาก็ไม่กลับมาหาพี่หรอก”
“ลีลาร์!!!”
“ชิ!”
ผมกะพริบตาปริบๆ มองพี่น้องสองคนนั้นทะเลาะกันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรี้ตัวเองออกจากห้องเงียบๆ ไม่อยากขัดจังหวะของพวกเขา
ติ้ง!~
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเมื่อมาถึงชั้นล่าง ผมก้าวออกมาจากลิฟต์ตามปกติอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ท่าทางสบายใจหนิ”
...แต่เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ผมชะงักและหันกลับไปมอง
ดอมยืนล้วงกระเป๋าเสื้อพิงผนังข้างประตูลิฟต์จ้องมองมาที่ผมด้วยแววตานิ่งๆ ก่อนจะขยับตัวแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนาย”
“โทษที ฉันกำลังรีบ” ผมปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“แค่สองนาที”
ผมจ้องหน้าหมอนั่นนิ่ง แค่สองนาทีงั้นเหรอ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกำลังคิดจะทำอะไรแต่ว่าเลิกซะเถอะ เคมี่เลือกฉันแล้ว เพราะฉะนั้นเลิกรังควานความรักของเราสักที นอกจากจะไม่เกิดผลดีแล้วยังจะทำให้พวกเราทั้งสามคนเจ็บปวดเปล่าๆ ถ้านายรักเคมี่จริงก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของเธอสิถึงจะถูก”
ผมแค่นยิ้มกับเหตุผลของดอม
“หึ! ไม่ต้องให้คนอย่างนายมาสั่งสอน ฉันจะเป็นคนตัดสินเองว่าอะไรถูกอะไรผิด” แล้วผมก็เดินออกมาทันที รู้สึกหงุดหงิดและโมโหกับท่าทีที่ทำเหมือนตัวเองเหนือกว่าของหมอนั่น คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เจ๋งมากงั้นเหรอ หึ เวรเอ๊ย!!!! ผมเหวี่ยงเท้าเตะอากาศไปตามทางอย่างอารมณ์เสีย
