ตอนที่ 1
22.40 น.
“ขอร้องล่ะ... แค่มาเจอกันอีกสักครั้งไม่ได้เลยเหรอ?”
ฉันเหลือบตาขึ้นมองคาร์ลที่นั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะอาหารตัวใกล้ๆ กับเคาน์เตอร์
ฉันกำลังยืนสรุปบัญชีรายรับ-จ่ายประจำวันอยู่ นึกเขาอยู่แขวะในใจ ปากก็ทำเป็นพูดดีแต่เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นจะช่วยงานอะไรได้
หมอนั่นไม่ได้มีความรู้พื้นฐานในการบริหารร้านอาหารเลยสักนิด เอาแต่เกะกะคนอื่นไปวันๆ แถมใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายปีศาจที่น่าหลงใหลนั่นยังสร้างภาระให้กับพนักงานในร้านอีก ทุกคนถูกออร่าของหมอนั่นก่อกวนจนไม่เป็นอันทำงานเลยน่ะสิ
ที่แย่กว่านั้นพวกลูกค้าสาวๆ ที่เข้าร้านต่างแสดงท่าทีกรี๊ดกร๊าดใส่คาร์ลอย่างไม่เก็บอาการเลยสักนิด กระทั่งว่าอาหารเกลี้ยงโต๊ะแล้วยังไม่ยอมลุกออกจากร้าน ขนาดฉันใช้สายตาไล่ สะกิดด้วยคำพูดแรงๆ แล้วก็ยังแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนั่งจ้องหน้าคาร์ลอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งต้องไล่หมอนั่นให้ไปอยู่ในครัวพวกสาวๆ ถึงได้ยอมสละโต๊ะ ย้ายก้นออกจากร้าน
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉันเนี่ยจะบ้าตาย
ขืนหมอนั่นยังปล่อยฟีโรโมนล่อเพศตรงข้ามแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ‘ หายนะ ’ ได้เกิดขึ้นกับร้านอาหารของคาเร็นอย่างไม่ต้องสงสัยแน่
เจ้านายคิดอะไรอยู่นะถึงได้ส่งตัวดึงดูดความยุ่งยากใจพรรคนี้มาดูแลร้านแทน ฮึ่ย!! ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหนื่อยด้วย
“เคมี่... แค่ครั้งเดียวแล้วผมจะไม่กวนใจคุณอีก”
อะไรกันนะหมอนั่น... สีหน้าเจ็บปวดแบบนั้นถูกผู้หญิงหักอกอยู่หรือไง แต่ว่าหน้าตาดีขนาดนั้นยังกล้ามีคนทำให้ช้ำใจอีกเหรอ? ไม่ใช่ละมั้ง ฉันส่ายหน้าไปมาขณะจรดปากกาลงบนสมุดบันทึกรายรับ-จ่ายประจำสัปดาห์
พรึบ!
“...”
หืม... ไฟดับ!?
ฉันนิ่งค้างกะพริบตาปริบๆ ท่ามกลางความมืดสลัว ตึกรอบข้างก็เหมือนจะดับไปด้วย มีเพียงแสงไฟจากถนนเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่ อ้อ... และก็ไฟจากมือถือของคาร์ลด้วย
หมอนั่นคุยกับใครอยู่กันนะ? จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา ขนาดไฟดับยังไม่สนใจเลยสักนิด ท่าทางจะเป็นคนสำคัญมากสิท่า... เหอะ!! น่าหมั่นไส้ชะมัด
“...ถ้าพรุ่งนี้เคมี่ไม่มา ผมจะไปหาเอง”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน
ท่ามกลางความมืดสลัวที่ผิดปกตินี่มัน... พอลองหันออกไปมองข้างนอกก็ได้รู้คำตอบในทันที ไฟร้านอื่นๆ ด้านนอกทยอยติดกันบ้างแล้วแต่ว่าไฟในร้านกลับไม่ยอมกะพริบเลย หรือว่าหลอดไฟจะเสียเพราะไฟดับก่อนหน้านี้ ฮึ่ย!!! อะไรกันเนี่ยมีแต่ปัญหาจังวุ้ย!!
ฉันควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสะเปะสะปะ แต่ยังไม่ทันจะหาเจอ ไฟฉายจากหน้าโทรศัพท์มือถือของคาร์ลก็ฉายส่องหน้า
ฉันหรี่ตาลงในทันที จ้องหน้าหมอนั่นอย่างหงุดหงิดแกมสงสัย
“จะส่องทำไมเนี่ย แสบตา!”
“ก็ไม่ได้ยินเสียง นึกว่าหายไปกับความมืดแล้วซะอีก”
ดูมันคิด! -__-+
“ฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย”
บรู๊ว!!!!!!~~~~
O แล้วทำไมหมาต้องมาหอนตอนฉันพูดคำนั้นด้วยเนี่ย!!!
คาร์ลลดโทรศัพท์มือถือลงแต่ยังไม่ปิดไฟฉาย
“แล้วอีกนานมั้ย?”
หมอนั่นเอ่ยออกมาท่าทางจะไม่ได้ใส่ใจกับเสียงเห่าหอนของสุนัขก่อนหน้านี้เลย
นายนิ่งจริงหรือแกล้งนิ่งกันแน่? แต่คาร์ลเป็นลูกครึ่งคงไม่เชื่อเรื่องผีสางหรอกมั้ง... มั้งนะ?
“อะไร?”
ฉันถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ละสายตาจากแววตาคมเข้มสีน้ำตาลตรงหน้ากลับมามองหาโทรศัพท์ของตัวเองต่อ และไม่นานฉันก็เจอพอดีกับที่คาร์ลตอบกลับมา
“ก็งานน่ะเมื่อไหร่จะเสร็จ กะจะอยู่ที่นี่ยันเช้าเลยหรือไง”
ฉันจุ๊ปากอย่างรำคาญ
“ก็ถ้ามันไม่เสร็จก็คงต้องอยู่ล่ะ”
“พอได้แล้ว! พรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำต่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นมาเปิดร้านไม่ทันกันพอดี” หมอนั่นเอื้อมมือมาปิดสมุดบันทึกแล้วยึดไปถือไว้กับตัว
“เฮ้นี่นาย!” ฉันจ้องหน้าคาร์ลด้วยแววตาโมโห
“บอกว่าพอก็พอไง เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง กลับได้แล้วฉันจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง! แล้วเมื่อกี้นายว่าไงนะ? จะทำต่องั้นเหรอ รู้หรือไงว่าต้องทำยังไงบ้างน่ะ?”
“อ่านๆ ดูเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ”
ให้ตายสิ! ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา นายนี่มันหน้าตาดีไม่พอยังจะอวดดีอีกนะ เป็นศูนย์รวมของความหลงตัวเองหรือไง
ฉันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คว้าโทรศัพท์มือถือแล้วเดินอ้อมเคาน์เตอร์มาเพื่อจะแย่งสมุดบันทึกกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเก้าอี้ขวางทางอยู่ ทำให้ฉันเดินชนเข้าอย่างจังและเสียหลักล้มใส่คาร์ลแบบไม่ได้ตั้งใจ
“ว้าย” ฉันร้องออกมาเสียงหลง
หมับ หน้าฉันปักเข้าที่แผ่นอกของหมอนั่นเต็มเปา
“เฮ้ย” คาร์ลอุทานออกมาอย่างตกใจแล้วหมอนั่นก็ก้าวถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ
เคร้ง!! ตึง!!!
ได้ยินเสียงขาเก้าอี้อีกตัวเสียดสีกับพื้นแล้วล้มตึงลงพร้อมๆ กับที่โลกในหัวฉันเอียงวูบ!
พลั่ก!!!
“โอ๊ย!!!”
“อ๊ะ!!!”
ใช้เวลาครู่หนึ่งฉันก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น... เราทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกันอย่างเสียหลัก โดยที่หน้าฉันเกยทับอยู่บนซอกคอของหมอนั่น และพอฉันเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจแสงไฟในร้านก็สว่างวาบขึ้นมาพอดี
O_O เราทั้งคู่ต่างจ้องตากันนิ่ง... แสงไฟที่ส่องกระทบลงมาบนหน้าของคาร์ลทำให้เขาดูเปล่งประกายและเจิดจ้าจนฉันรู้สึกแสบตา และชวนหวั่นไหว...
ตึกๆ ตึกๆ
เฮือก!!! O
นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย
ฉันรีบผละออกจากร่างของคาร์ลทันทีที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่ได้นะ! จะปล่อยให้หมอนั่นมามีอิทธิพลต่อหัวใจไม่ได้เด็ดขาด ฉันกัดริมฝีปากแน่น ไม่อยากจะเปิดรับใครเข้ามาในหัวใจอีกแล้ว
คาร์ลผุดลุกขึ้นยืนตามฉันมาติดๆ หมอนั่นบิดตัวพลางนิ่วหน้านิ่วตาก่อนจะโอดครวญออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้
“เจ็บชะมัด! นี่จะไม่พูดอะไรสักคำเลยเหรอ เธอเพิ่งทำร้ายร่างกายฉันเองนะ”
“หา!?”
“หรือจะปฏิเสธ”
“มันเป็นอุบัติเหตุหรอกย่ะ!”
ฉันตะโกนเถียงออกไปอย่างไม่ยอมรับผิด
เหอะ ถึงนายจะเจ็บตัวแต่ก็ได้กำไรไม่ใช่เหรอ? ฉันเป็นผู้หญิงนะ ยังไงซะฉันก็เสียเปรียบวันยังค่ำนั่นแหละ แล้วนายจะมาบ่นเอาอะไรอีก ชิ
ฉันเหลือบมองคาร์ลด้วยสายตาไม่พอใจ
หมอนั่นสบถลมหายใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนๆ
“อะไรวะ! ผิดแล้วยังทำตัวอวดดีอีก ไม่น่าอยู่เป็นเพื่อนเลยจริงๆ”
เดี๋ยวนะ! ฉันเบิกตากว้าง...
“ที่พูดเมื่อกี้น่ะหมายความว่ายังไง?”
คาร์ลเดินไปหยิบเก้าอี้ทั้งสองตัวที่ล้มอยู่บนพื้นขึ้นมาตั้งให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่มองหน้าฉัน
“คิดว่าฉันทนนั่งอยู่ในร้านนี่ดึกๆ ดื่นๆ เพราะชอบหรือไง”
“ไม่ชอบแล้วนายจะมานั่งหาพระแสงอะไร”
“พระแสง?” คาร์ลจ้องหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ
=__=* เออช่างมันเถอะ!