ตอนที่ 1(2)
“จะบอกว่านายอยู่รอฉันงั้นเหรอ?”
เหอะ! อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อย่ะ ก็เห็นอยู่ว่านายคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเพลินจนลืมเวลาต่างหาก
“คิดว่าฉันอยากคุยโทรศัพท์ต่อหน้าคนอื่นนักหรือไง”
ฉันอ้าปากค้าง! หมอนั่นมันอ่านใจฉันได้หรือเปล่าเนี่ย
คาร์ลส่ายหน้าด้วยท่าทางเอือมๆ หยิบแจ็กเกตบนโต๊ะขึ้นมาสวม แล้วเดินมาคว้าข้อมือฉันไปจับ
“นี่นายจะทำอะไรน่ะ!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ
หมอนั่นหันกลับมามองด้วยสายตาขวางๆ “หรือจะนอนนี่!?”
เท่านั้นแหละ ฉันก็เข้าใจในทันทีว่าเขาต้องการอะไร
“ตะแต่ว่างานฉันยังไม่เสร็จเลยนะ!” ฉันละล่ำละลักบอกออกไป
“อยากจะทำโอทีก็ไม่ว่าหรอก! แต่ช่วยเกรงใจคุณผู้ดูแลชั่วคราวอย่างฉันด้วย ฉันไม่ได้อะไรจากการมาเฝ้าร้านนี่แทนคาเร็นเหมือนพนักงานที่ทำงานแลกเงินอย่างเธอหรอกนะ!”
ฉันเบิกตากว้าง คำพูดประชดของคาร์ลทำให้ฉันลืมเรื่องงานไปชั่วขณะแล้วสนใจอยากรู้เรื่องของเขาแทน
“หมายความว่าไง? นายไม่ได้อะไรตอบแทนเลยเหรอ”
คาร์ลนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเข้ม
“ถ้าเป็นในเชิงวัตถุน่ะไม่ได้หรอก”
“อ้าว! แล้วอะไรทำให้นายมาที่นี่ล่ะ”
นัยน์ตาของคาร์ลไหววูบ “ก็แค่... ความรู้สึกส่วนตัวล่ะ”
“...”
ตึกๆ ตึกๆ
ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ฟังแบบนั้นหัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายลึกซึ้งและจริงจังในคำพูดนั้นจนก่อให้เกิดพายุลูกเล็กๆ ขึ้นภายในหัวใจของฉันอย่างไม่รู้ตัว
“ไปได้แล้ว บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวจะไปส่ง” คาร์ลกระตุกข้อมือฉันให้เดินตาม
“ดะเดี๋ยวสิ! ยังไม่ได้ปิดร้านเลย” ฉันท้วง
หมอนั่นสบถลมหายใจ พูดออกมาอย่างรำคาญ
“งั้นก็รีบๆ เข้า ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว” พูดจบเขาก็อ้าปากหาวอย่างไม่เกรงใจ -__-^ เห็นว่าหน้าตาดีแล้วทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดหรือไง
“แป๊บนึง” ฉันทำเสียงในลำคอด้วยความรำคาญก่อนจะดึงมือให้หลุดจากการจับกุมของหมอนั่นแล้วเดินมาปิดร้าน กว่าจะเรียบร้อยก็กินเวลาเกือบๆ ห้านาทีเพราะต้องเช็กประตูหน้าประตูหลังให้เรียบร้อย
จากนั้นก็สลับป้ายหน้าร้านเป็น ‘ Close ’ แล้วค่อยลงกลอนล็อกประตูหน้าร้าน
คาร์ลกอดอกจ้องหน้าฉันด้วยสายตาดุๆ
“หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย?”
“อืม!” อะไรกัน สีหน้าแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ได้รั้งนายเอาไว้สักหน่อย ชิ!!
“ไปได้แล้ว”
แล้วเขาก็เดินนำฉันออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้ขอร้องให้นายไปส่งสักหน่อยแต่ท่าทางนายน่าแกล้งดีนะ หลอกให้คาร์ลขับรถวนสักหน่อยดีมั้ยนะ อยากวางก้ามกับฉันดีนัก ต้องรับน้องซะหน่อยสิถึงจะสนุก ฉันกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเดินตามหลังคาร์ลไปที่รถ
วันต่อมา...
8.25 น.
ฮ้าว!~ ง่วงชะมัด ฉันเดินป้องปากขณะอ้าปากหาวมาที่ประตูหน้าร้าน กำลังจะล้วงกุญแจขึ้นมาไขประตูก็สังเกตเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อก ก่อนจะผลักเข้าไปด้วยอาการงุนงง
...เมื่อคืนจำได้ว่าล็อกไปแล้วนี่นา
แก๊กๆ
หืม... ฉันเหลือบตาขึ้นมองตามเสียงนั่น ก่อนจะผงะอย่างตกใจ
“ทำอะไรน่ะ?”
คาร์ลยืนอยู่บนโต๊ะอาหาร และกำลังทำอะไรบางอย่างกับหลอดไฟที่เหมือนจะเสียแต่ไม่เสียเมื่อคืนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“หลบไปสิ! เดี๋ยวก็หล่นใส่หัวหรอก” หมอนั่นตะคอกกลับมาเสียงขุ่น
ฉันรีบรี้ตัวหลบจากตำแหน่งเสี่ยงภัยทันควันที่ได้ยินคำเตือนนั่น ก่อนจะเดินมาวางของไว้บนเคาน์เตอร์ พลางเอ่ยถามคาร์ลออกไปด้วยความแปลกใจ
“นายมาเช้าผิดคาดเลยนะ”
“อือ”
“แล้วจะทำอะไรน่ะ? อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยน”
“ใช่”
“แต่มันไม่ได้เสียหนิ”
“มั่นใจเหรอ?”
“ก็... เมื่อวานไฟยังติดเลย” ฉันยังไม่หายข้องใจ จ้องมองท่ายืดแขนประคับประคองหลอดไฟของคาร์ลอย่างชื่นชม
คนอะไรดูดีเป็นบ้า แต่เพราะเพดานอยู่สูงมากทำให้คาร์ลที่ยืนอยู่บนโต๊ะยังต้องลำบากเขย่งเท้าเอื้อมมือไปจนสุดแขนก็ยังหวิดจะไม่ถึง แต่ก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ดี...
ฉันเอียงคอมองพลางอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว วูบหนึ่งฉันคิดอยากจะเก็บภาพความทรงจำนี้ไว้ดูคนเดียว ไม่อยากให้มีใครเปิดประตูเข้ามาตอนนี้เลย...
“นี่กี่โมงแล้ว?” เสียงทุ้มของคาร์ลดังขึ้น
ฉันสะดุ้งรู้สึกตัวก่อนจะลนลานมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ
“แปดครึ่ง”
แอ๊ด!
ทันทีที่ฉันบอกเวลาออกไปประตูหน้าร้านก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วและรีบร้อน หัวใจฉันสลดวูบลงทันใดที่รู้ว่าจะต้องแบ่งภาพความทรงจำที่น่าประทับใจของคาร์ลกับคนอื่น ก่อนอึ้งไปพักใหญ่เมื่อปะทะสายตาเข้ากับเจ้าของร่างที่โผล่พรวดเข้ามา
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยชื่อนั้นออกไป ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจที่ยัยนั่นก้าวเข้ามาก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
“ระวัง!” คาร์ลตะโกนออกมาสุดเสียง
เพล้ง
“กรี๊ด!!!”
ฉิบหายแล้ว! ฉันเบิกตากว้าง ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าตัวแข็งทื่อ!
หลอดไฟที่คาร์ลเพิ่งจะเปลี่ยนเสร็จหมาดๆ ร่วงลงมาใส่กลางศีรษะของเธอเข้าพอดิบพอดีราวกับผีแกล้ง ร่างบางทรุดลงกับพื้นอย่างเข่าอ่อนก่อนที่เลือดสีแดงจะค่อยๆ ซึมออกมาจากหนังศีรษะไหลผ่านเส้นผมแล้วหยดลงเสื้อเป็นสีแดงสดหยดแล้วหยดเล่า!
“ละลีลาร์...”
ฉันยกมือขึ้นปิดปากทันทีที่เอ่ยชื่อของเธอออกมา
ลีลาร์เคยเป็นกิ๊กกับคาเร็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ แต่ทว่าช่วงหลังๆ รู้สึกเธอจะโดนคาเร็นปฏิเสธและก็หายเงียบไปพักหนึ่ง
ตั้งแต่ที่คาเร็นหนีไปเที่ยวฉันก็ไม่เห็นลีลาร์โผล่หน้ามาที่ร้านนี่อีกเลย แล้วไหงวันนี้เกิดนึกอะไรถึงมาที่นี่ได้ล่ะเนี่ย เธอนี่ดวงซวยจริงๆ ลีลาร์
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกเปิดผางเข้ามาอีกรอบโดยผู้หญิงแปลกหน้าอีกคน
“คาร์ลขอโทษที่มาช้า...”
เสียงเธอชะงักไปกลางคันเมื่อเหลือบเห็นภาพตรงหน้าก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้หญิงคนนั้นใครกัน? คนรู้จักของคาร์ลงั้นเหรอ...
“เธอ... เป็นใคร?” ดูเหมือนคาร์ลจะยังช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้สนใจคนที่มาใหม่เลย
“เจ็บมากมั้ย โธ่ ทำไมซวยแบบนี้นะ” ฉันรีบเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมาทันที ก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปพยุงร่างที่อ่อนปวกเปียกของลีลาร์ขึ้นมา
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย รีบพาส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะ” ฉันหันไปพูดกับคาร์ลที่มองมาอย่างร้อนใจ
“พี่มินตราลีลาร์ไม่ไหวแล้ว” ลีลาร์ทรุดฮวบลงทันทีที่พูดจบ ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจแต่ยังไม่ได้ถึงอึดใจคาร์ลก็ฉุดตัวลีลาร์ไปจากมือฉันแล้วอุ้มเธอเดินออกจากร้าน
ฉันอึ้งนิดๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก หันรีหันขวางครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษแกมร้องขอกับผู้หญิงอีกคนที่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยท่าทางวิญญาณหลุด (ท่าทางจะตกใจมาก)
“ขอโทษนะคะ เราไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ยังไงก็รบกวนคุณลูกค้าช่วยอยู่ดูร้านระหว่างที่พวกเราไปโรงพยาบาลได้มั้ยคะ?”
“ลูกค้า?” เธอคนนั้นชี้มือใส่ตัวเองด้วยแววตามึนงง
“รบกวนด้วยนะคะ” ทว่าฉันไม่มีเวลาไปสนใจท่าทีสับสนของเธอ รีบหันไปฉวยกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือบนเคาน์เตอร์แล้ววิ่งตามคาร์ลออกจากร้านทันที