5. โครงการพันล้าน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
ฉันเดินเข้าบริษัทตามเคย แต่เพราะหลายวันมานี้ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ นอกจากพวกผีตามทางจะคอยแวะเวียนมาหาแล้ว เรื่องเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนก็ยังตามมากวนใจเสมอ ฉันสลัดดวงตาดุดันนั้นไม่ออกเลย ราวกับมันเป็นรอยประทับที่เมื่อเห็นเพียงครั้งก็จะจดจำไปจนตายซะอย่างนั้น
“อั่ก...” เป็นเพราะฉันเหม่อ ขณะที่จะเดินไปยังห้องของท่านประธาน ทำให้เดินชนใครสักคนอย่างจัง ให้ตายเถอะต้องเรียกสติตัวเองให้กลับมาหน่อยแล้ว
“ขอโทษทีค่ะ เป็นฉันไม่ระวังเอง” ฉันหันไปสบตาก่อนที่จะเอื้อมมือไปช่วยเขา แต่ไม่รู้เพราะใบหน้าของฉันที่มันดูตาขวาง ดุดัน แถมไม่ได้นอน ทำให้คนตรงหน้าตกใจตื่นกลัวจนตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมผิดเองที่เดินชนผู้จัดการ”
“หืม...เรียกฉันว่าผู้จัดการแบบนี้ แสดงว่าพนักงานใหม่สินะ”
“ครับ” ชายตรงหน้ายืนสำรวมก้มหน้า กุมมือตัวสั่นงึก ๆ ดูท่าฝ่ายอบรมคงเอาฉันไปพูดอะไรไม่เข้าท่าให้คนตื่นกลัวแบบนี้อีกแล้วนะสิ เอาซะตอนนี้คนทั้งบริษัทที่อยู่ใต้อำนาจมองฉันเป็นนางยักษ์นางมารกันหมดแล้ว
ไม่นานเลขาของไอ้กรณ์ ก็เดินผ่านเข้ามาพอดี เมื่อเธอเห็นฉันประจันหน้าเด็กใหม่ก็แลดูตกใจจนต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณฟ้า”
“ไม่มีอะไร แค่เดินชนกัน” เลขาได้ยินดังนั้นก็หันไปขึ้นเสียงกับพนักงานใหม่
“นายเดินชน คุณฟ้าเหรอ ขอโทษรึยัง”
“ใจเย็น ๆ ฉันเป็นฝ่ายเดินชนเขาเอง ไม่มีอะไรหรอก กลับไปทำงานเถอะ”ฉันหันไปพูดกับพนักงานใหม่ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเลขาของไอ้กรณ์มัน “ว่าแต่กรณ์มาทำงานรึยัง”
“ท่านประธาน มาแล้วค่ะคุณฟ้า”
“ฉันมีเรื่องต้องปรึกษากับกรณ์ เธอช่วยชงกาแฟเข้ามาให้ฉันด้วยได้มั้ย”
“ได้ค่ะ คุณฟ้า”
“ขอบใจมากนะ” ฉันตบไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะตรงไปยังห้องประธานของตึกนี้ ชั้นบนสุดอย่างเคย
ณ.ห้องประธานบริษัท
“ทำไมมาหาแต่เช้า ฉันยังไม่ได้เรียกซะหน่อย” ไอ้กรณ์ที่กำลังหัวหมุนกับเอกสารกองโตตรงหน้า
“ฉันจะมาถามว่า ไอ้โครงการนั่นที่เรายื่นเสนอไปมีข่าวคราวคืบหน้าจากทางกลุ่มนักลงทุนนั่นรึเปล่า” ฉันพูดพลางหย่อนตัวลงบนโซฟาด้านข้าง ก่อนที่เลขาของกรณ์จะนำกาแฟร้อนมาให้
“ยังเลย ไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิดดูท่าบริษัทเราคงไม่ถูกเลือกให้รับโครงการนี้แล้วล่ะ” กรณ์ละสายตาจากเอกสารเท้าคางมองฉันอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“เฮ้อ...เอานา..บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งนั้นที่ยื่นเสนอตัวทำโครงการ แค่เห็นชื่อบริษัทก็คงปัดเอกสารเราทิ้งแหละ” ฉันเองก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน การที่ต้องยื่นเสนอแผนโครงการ แต่กลับไม่ได้แม้แต่จะอธิบายมันจะไปสำเร็จได้ยังไง เสียดายชะมัด
“โอ๊ย เงินพันล้านของกู เวรเอ้ย” หึ...ซีอีโอ อย่างไอ้กรณ์หัวร้อนออกมาต่อหน้าฉัน อย่างไม่ปิดบัง ภาพลักษณ์แบบนี้ ทั้งบริษัทก็มีแต่ฉันนี่แหละที่ได้เห็นมัน
“ช่างเถอะ งานในมือของเราก็ล้นอยู่แล้ว ไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันใหม่”
“แต่นั่นพันล้านเชียวนะ งานที่เรามีอยู่รวมกันยังไม่ถึงเลย” กรณ์หน้าค้อนใส่ฉัน ก็รู้ว่าเสียดายแต่จะทำไงได้
“อย่าโลภเลยมึง บริษัทของแกเพิ่งก่อตั้งแยกจากบริษัทพ่อมึงมาไม่นาน เติบโตเกินตัวมันจะลำบากเอาได้นะ มีกูอยู่เดี๋ยวไว้จะไปหาดีลโครงการดี ๆ มาให้อีก” ฉันพูดพลางจิบกาแฟไป
“เฮ้อ บริษัทฉันถ้าขาดมึงไปคงแย่แน่ว่ะ อย่าทิ้งกันนะเว้ย” ไอ้กรณ์พูดพลางจ้องมองส่งสายตาน่าสงสาร ตลกเว่อร์
“ฮ่า....จะทิ้งได้ไง ร่วมหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้”
“มึงพูดแบบนี้กูก็สบายใจ ถ้าไม่มีมึง พ่อกูก็คงไม่ยอมปล่อยให้มานั่งบริหารเองแบบนี้หรอก”
“เอาล่ะ ในเมื่อมันไม่คืบหน้ากูขอตัวไปจัดการงานอื่น ๆ ต่อก่อน” ฉันที่กำลังจะลุกจากโซฟา จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของกรณ์ก็ดังขึ้น น่าจะเป็นการโอนสายมาจากเลขาของมันเอง
“สวัสดีครับ”
(...)
“ใช่ครับ”
(...)
“อะไรนะครับ” จู่ ๆ ไอ้กรณ์ก็ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าเบิกตาโพลงราวกับได้ยินสิ่งที่ตกใจจนเก็บสีหน้าไว้ไม่ได้ มันจ้องมาที่ฉัน จากใบหน้าแน่นิ่ง ตอนนี้เรียวปากของไอ้กรณ์ก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
(...)
“ได้ครับ ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่จะได้ไปเยี่ยมชม”
(...)
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ ผมจะไปตามวันเวลาที่กำหนดแน่นอนครับ”
สิ้นการสนทนาไอ้กรณ์ยืนตัวแข็งทื่อก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ไปทั้งอย่างนั้น
“เป็นอะไรไปมึง ใครโทรมา ทำหน้าอารมณ์ดีเชียว” ฉันถามเพราะดูสภาพตอนนี้ของไอ้กรณ์แล้วเหมือนคนสติเลอะเลือน แถมตอนนี้ยังเงยหน้า เอามือปิดตาอีกก่อนจะหัวเราะออกมาลั่น นี่มันไอ้กรณ์จริง ๆ เหรอเนี่ย
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่า...” เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วขนลุกแปลก ๆ
“เห้ย อย่าทำให้งงดิ เกิดอะไรขึ้น”
“ฟ้าคราม พวกเราจะรวยแล้วเว้ย”
“รวย? ที่เป็นอยู่ยังรวยไม่พอเหรอ”
“ไม่ ๆ ฉันหมายถึงบริษัทเรากำลังจะทำกำไรสูงสุดแล้วเว้ย”
“กำไร เดี๋ยวนะหรือว่าที่โทรมาเมื่อกี้ คือ...”
“ใช่ พวกเราทำได้เขาเลือกบริษัทเราเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยักษ์ใหญ่นี่แล้ว”
ฉันที่นั่งฟังอยู่ ก็รู้สึกดีใจไปด้วย เงินพันล้านท่องไว้ พันล้านมันมากองอยู่ตรงหน้าบริษัทเราแล้วจริง ๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะเลือกบริษัทขนาดกลางแบบนี้
“ไม่อยากจะเชื่อ” ฉันที่กำลังจะลุกออกไปสุดท้ายก็หย่อนตัวนั่งลงโซฟาตามเดิม
“อีก 3 วันเตรียมตัวเลยนะ เราสองคนต้องออกเดินทางไปยังเกาะที่ตั้งของโรงแรมนั่น ดูเหมือนจะได้นอนค้างด้วยราว 3 วัน 2 คืน”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ กูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้มั้ง”
“ไม่ แกต้องไป ทางโน้นแจ้งว่าต้องเป็นคนที่ไปโรงแรมวันก่อนด้วยเท่านั้น”
“แปลกแหะ แต่ไปก็ได้ 3 วันใช่มั้ย กูจะได้เตรียมเอกสารให้พร้อมเผื่อรับมือด้วย”
“มีเพื่อนเก่งนี่มันดีจริง ๆ”
“มึงก็ด้วย ไปจัดการงานกองโตซะ ถ้าเราได้งานนี้ขึ้นมา ดูท่าต้องทุ่มให้กับงานนี้หลายเดือนแน่” เราสองคนคุยกันไปยิ้มกันไปด้วยความอารมณ์ดี ตามประสาคนกำลังจะรวยเป็นกอบเป็นกำ (รวยอยู่แล้ว แต่รวยขึ้นไปอีกไงล่ะ อิอิ)
