บทที่ 6
“พี่มีงานให้เอ็งทำ” คนว่าจ้างไม่รีรอเพราะเวลาใกล้เข้ามาแล้ว
“เงินที่ผมจะได้” อธิเมศร์เอ่ยถามเรื่องค่าตอบโดยไม่รีรอ ถึงแม้นี่จะเป็นงานจากคนรู้จักกันก็ตามที เพราะงานของเอกรัฐจะเป็นอะไรไปได้นอกจากส่งของเถื่อนหรือไม่ก็ฆ่าคนที่คอยขัดแข้งขัดขา เพราะสองอย่างนั่นคืองานของเขาเช่นเดียวกัน
“หลักสิบล้าน”
“งานอะไร”
“ส่งของ” คำตอบของเอกรัฐไม่ได้ทำให้คนรับงานแปลกใจ ของที่ชายหนุ่มคนนี้พูดมาจะมีอะไรไปได้นอกจากของผิดกฎหมาย เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเจ้านายของเอกรัฐผู้มีหน้ามีตาในวงการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ เบื้องหลังนั้นทำอะไรบ้าง
“ไปที่ไหน” น้ำเสียงทุ้มๆ ของคนรับงานเอ่ยถาม
“รายละเอียดพี่จะส่งไปให้นายทางข้อความทีหลัง รอรับดีๆ”
“ครับ”
“เก็บกุญแจล็อคเกอร์นี่ไว้ นายต้องใช้มัน” เอกรัฐยื่นของสำคัญบางอย่างมาให้ เพราะนี่คือช่องทางที่จะไปถึงของที่อยากให้ส่ง อธิเมศร์เอื้อมมือไปหยิบกุญแจนั่นมาถือไว้ ก่อนจะขับรถออกไปทันที เพราะนี่คือการบ่งบอกว่าเขาจะรับงานชิ้นนี้ ที่เหลือรอรายละเอียดจากคนสั่งเท่านั้น คงสำคัญน่าดูเงินถึงได้มากขนาดนี้
“งานนี้ต้องฝากนายแล้วเสือ” ชายหนุ่มเอ่ยตามหลังรถของอธิเมศร์ไป งานนี้ถึงจะไม่ใช่เรื่องยากแต่การรับมือกับสิ่งของที่มีชีวิตอย่างณชาณัธฐ์ คงต้องฝากให้อธิเมศร์จัดการให้สมกับค่าจ้างวาน ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ของกลับมาหรือติดต่อกับทางบ้านได้ และทำยังไงก็ได้ให้ของปลอดภัย
ค่ำของวันนั้น อธิเมศร์ได้รับข้อความจากเอกรัฐถึงสถานที่รับของที่ต้องนำไปส่ง ดูลึกลับซับซ้อนอย่างที่คิด ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจหรือกลัวกับงานนี้แม้แต่น้อย เพราะชีวิตเขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้แล้ว จะหันหลังกลับอีกคงไปไม่ได้ ชายหนุ่มนั่งอ่านข้อความที่ได้รับอีกครั้งเพื่อความเข้าใจและจดจำ
“ฟิตเนส” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะกดลบข้อความนั้นทิ้งไป เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ไม่อยากให้สิ่งนี้ตามกลิ่นถึงเขาได้ ยามอยู่ตามลำพังและใช้ความคิดอธิเมศร์มักจะนึกถึงสิ่งที่เขากำลังหนี งานของพ่อและแม่ที่เขาหันหลังให้มันมาหลายปีตั้งแต่ทั้งสองคนเสียชีวิต
เขามุ่งสู่เส้นทางนักฆ่าหวังชำระแค้นให้คนในครอบครัว และเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาจัดการกับโจรที่ยิงพ่อกับแม่เขาจนเสียชีวิตด้วยมือของเขา กระสุนเพียงนัดเดียวทะลุตัดขั้วหัวใจสิ้นลมคาที่ ถึงมันจะตายง่ายไม่ทรมานอย่างที่หวังก็ตาม หนึ่งในเหตุผลของการฆ่าครั้งนั้นแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่เขาก็ไม่คิดเสียใจ
ประมาณสองทุ่มของวันรุ่งขึ้น อธิเมศร์ไปยังฟิตเนสเมื่อวานที่เขากับเอกรัฐคุยกัน ในมือชายหนุ่มมีกุญแจตู้ล็อคเกอร์ เขาเดินไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ชายก่อนจะมองหาตู้หมายเลขสามสิบแปด แล้วใช้กุญแจในมือไขเพื่อดูของข้างใน มันมีกุญแจรถ กระเป๋า และจดหมายวางรวมอยู่ ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าทางสะดวกจึงรีบเปิดจดหมายนั่นอ่านทันที
“เอาของไปส่งที่กระบี่ ดูแลของจนกว่าจะให้ไปส่งอีกที่ ชิบ!!” อธิเมศร์สบถกับตัวเอง เขาต้องดูแลของด้วยอย่างนั้นน่ะเหรอ เรื่องนี้ไม่เห็นเอกรัฐจะบอกให้รู้มาก่อน ถ้ารู้แต่แรกเขาก็ไม่มีวันรับทำเป็นอันขาด เพราะงานของเขาส่งคือส่งไม่ได้รับดูแล
ชายหนุ่มมองไปยังกระเป๋าที่วางอยู่ในตู้แล้วจัดการเปิดซิปออก มันคือเงินสดก้อนใหญ่ แม้จะเห็นเงินแต่ทว่าสีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ชายหนุ่มโทรศัพท์กลับไปหาเอกรัฐเพื่อปฏิเสธงานนี้แต่กลับติดต่อไม่ได้
“ซวยแล้วไหมล่ะไอ้เสือ เสือกไม่ถามรายละเอียดให้ดี” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดๆ สีหน้าดูหงุดหงิดจนน่ากลัว คิ้วขมวดเข้าหากันจนยุ่งไปหมด สุดท้ายเขาก็คงต้องรับงานนี้จนได้ อธิเมศร์หยิบทุกอย่างติดมือออกมายังลานจอดรถ ก่อนจะกดปุ่มบนกุญแจรถเพื่อมองหาว่าคันไหน
ไฟสีเหลืองนวลจากรถที่จอดอยู่กะพริบติดกันสามสี่ครั้ง บ่งบอกให้อธิเมศร์รู้ว่าคันไหนคือคันที่ใช่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้รถคันดังกล่าว สอดส่ายสายตาก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่และขับออกไปทันที จุดหมายปลายทางคือที่กระบี่ หัวใจของนักฆ่าหนุ่มดูกังวล ของที่ต้องส่งคืออะไรกันแน่ เพราะภายในรถแทบไม่มีของเถื่อนหรือผิดกฎหมายสักชิ้น
แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะรออีกต่อไปแล้ว เพราะงานคืองาน ที่สำคัญค่าจ้างตอนนี้อยู่ในมือเขา ถึงจะไม่อยากรับก็คงต้องรับ รถคันใหญ่มุ่งสู่จังหวัดกระบี่ทันทีแบบไม่รีรอ แต่ด้วยความสงสัยของ อธิเมศร์ก็ทำให้ชายหนุ่มจอดรถเข้าข้างทางแถวๆ เพชรบุรีหลังจากขับรถออกจากกรุงเทพฯ มาได้สองสามชั่วโมง ชายหนุ่มก้าวลงจากรถก่อนจะตรงมายังด้านหลัง เมื่อเปิดท้ายรถออกดูก็พบสิ่งของที่ว่าเข้าอย่างจัง
“อ่อย…อ้าน” ณชาณัธฐ์ดิ้นรนเมื่อท้ายรถถูกเปิดออก เธอแทบมองไม่เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพราะแสงไฟมันสะท้อนสายตา แต่อธิเมศร์นั้นมองเห็นเธอได้เป็นอย่างดี ณชาณัธฐ์กำลังสับสนอย่างหนัก จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ตอนนี้หญิงสาวถูกมัดมือมัดเท้าและมีผ้าปิดปากอยู่ นอนขดตัวอยู่ที่ด้านหลังรถ ใบหน้ามีเหงื่อซึมเต็มไปหมด เธอจำได้ว่ามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วก็ขึ้นรถคันที่ที่บ้านส่งมารับ หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในที่แคบมืดและได้ยินเสียงเครื่องรถดังอยู่ แม้จะพยายามออกไปจากที่นี่แต่กลับทำไม่ได้
“ชิบหาย” อธิเมศร์หัวเสียหนักกว่าเก่า เมื่อสายตามองเห็นของที่ต้องไปส่ง ชายหนุ่มไม่ได้ช่วยเธอออกมาจากท้ายรถแต่อย่างใด เขาปิดท้ายรถกลับลงไปอีกครั้งแบบไม่สนใจสีหน้าของเธอแม้แต่น้อย ได้ยินแต่เสียงร้องอู้อี้ดังเล็ดลอดออกมาเท่านั้นเอง อธิเมศร์หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วจัดการโทรออกไปยังเบอร์ของเอกรัฐ เขารอสายด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจนั้นร้อนเป็นไฟ
