บทที่ 5
เมื่อเข้ามาในห้องพักของตัวเองที่แคบกว่าห้องน้ำในบ้านของเธออีก อาเรียก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงแบบไม่รั้งรอ หญิงสาวมองไปยังรูปถ่ายที่อัดใส่กรอบสวยงามวางไว้บนหัวเตียง มันคือรูปของกลุ่มเพื่อนที่ในนั้นมีเธอกับนวคุณยืนกันคนละมุม แต่แววตาของเธอแทบไม่ได้มองกล้อง กลับมองไปยังชายหนุ่มคนที่เธอหลงชอบมาตั้งหลายปี แต่ทำไมเขาถึงได้ซื่อบื้อไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยก็ไม่รู้
“ทำไมเราถึงชอบผู้ชายที่โง่เง่าแบบนั้นได้นะ” อาเรียบ่นกับตัวเอง ตั้งแต่พบกับนวคุณในห้องเรียนเมื่อสี่ปีก่อน เธอก็ตกหลุมรักผู้ชายที่แสนธรรมดาคนนี้เข้าให้แบบถอนตัวไม่ขึ้น ความเป็นคนขี้อายจึงเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ไม่ได้บอกให้เขารู้ พยายามอยู่ใกล้เขาจนถึงขั้นย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่สุดหรูหรา เพื่อมาอยู่อพาร์ทเม้นท์แสนธรรมดานี่ จนทะเลาะกับที่บ้านเสียใหญ่โต
ที่สำคัญยังเลือกเรียนคณะที่ชายหนุ่มสนใจ นั่นคือกฏหมาย ทั้งๆ ที่เธอชอบเรียนดนตรีคลาสสิคด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ทิ้งมันมาเพื่ออยู่ใกล้นวคุณ ถึงใครจะคิดว่าเธอโง่ที่ทำอะไรแบบนี้ แต่มันคือความสุขที่เธอเลือก แต่พอรู้ว่าชายหนุ่มแอบชอบณชาณัธฐ์ที่มาจากประเทศไทยเหมือนกัน เธอก็รู้สึกเจ็บและเกลียดณชาณัธฐ์ทันที ทั้งๆ ที่เธอคนนั้นก็ไม่ได้แสดงออกว่าชอบนวคุณเลยด้วยซ้ำ
“ผู้ชายโง่ๆ” หญิงสาวมองหน้านวคุณในรูปถ่ายแล้วเอ่ยบอกไป ถือโอกาสที่ณชาณัธฐ์กลับเมืองไทยและได้ไปเที่ยวกับนวคุณบอกชอบชายหนุ่มไปตอนนั้นเลยจะดีไหมนะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็มีคนมาฉกไปอีก เธอต้องตายเป็นแน่
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว อาเรียก็รวบรวมความกล้าเข้าไว้ในหัวใจให้ได้มากที่สุด เพราะเธอจะทำมาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า
“จะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอครับคุณสุทิน” เอกรัฐเอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายที่เขาอยู่รับใช้เป็นมือขวามานานหลายปี ตั้งแต่อายุยี่สิบเลยก็ว่าได้ ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่กับสิ่งที่ได้รับรู้
“ไม่มีทางเลือก” สุทินมองไปยังลูกน้องคนสนิทที่ให้ความเชื่อใจ ไว้ใจ อยู่เคียงข้างกันมานาน จนเขาคิดว่าเอกรัฐคือลูกชายคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“คุณหนู อาจจะ…”
“นายต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาทำงานนี้ เพราะนั่นคือชีวิตของลูกสาวฉัน”
“ครับ” เอกรัฐเอ่ยรับปากอย่างสุดที่จะเลี่ยงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ในใจยังนึกไม่ออกว่าจะเลือกใครมาทำงานนี้ดี แต่กลับมีใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งแวบเข้ามาในความคิด คงต้องเป็นคนนั้นคนเดียวที่จะมาทำงานนี้ได้
สุทินตระเตรียมแผนการกับเอกรัฐอย่างเคร่งเครียด เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาด ปัญหาใหญ่จะตามมาทันที เขาสั่งห้ามลูกสาวไม่ให้กลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ เพราะเธอเจาะจงมาเองว่าจะกลับ ในใจของผู้เป็นพ่อดีใจไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น แต่เขาต้องผ่าตัดเป็นตายเท่ากัน ซึ่งหวังว่าหมอจะเก่งจนผ่าตัดได้สำเร็จ วันที่เขาปลอดภัยแน่แล้วถึงจะกล้าพบหน้าณชาณัธฐ์ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงต้องให้เธออยู่ห่างจากบ้านไปก่อนสักสองสามเดือน
เมื่อรับคำสั่งและแผนการที่แน่ชัดแล้ว เอกรัฐก็กลับออกมาจากห้องพักฟื้นของสุทิน เขาโทรศัพท์ออกไปหาเพื่อนรุ่นน้องที่เคยอยู่บ้านติดกัน อดีตนักเรียนนายร้อยตำรวจที่ต้องออกจากสถาบันทั้งๆ ที่ร่ำเรียนใกล้จะคว้ากระบี่มาประดับบ่าได้แล้วด้วยซ้ำ ว่าที่นายตำรวจอนาคตไกลผันแปรมาเป็นนักฆ่าและรับส่งของผิดกฏหมายทั่วราชอาณาจักร ขอแค่ให้เงินเป็นที่น่าพอใจเท่านั้น ทุกงานไม่มีคำว่าพลาด
“สงสัยพี่ต้องให้แกช่วยแล้ว” เอกรัฐเอ่ยกับตัวเองขณะรอให้คนที่อยากให้มาทำงานนี้รับสายเขา การพบกันของเขาและอธิเมศร์ดูจะเหนือความคาดหมาย เพราะอธิเมศร์ก็คือคนที่สุทินเคยว่าจ้างส่งของเถื่อน ทำให้ได้พบกันหลังจากไม่ได้เจอหน้ามานานหลายปี ครั้งแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะแววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อก่อนที่เคยสว่างไสวรุ่งโรจน์ ตอนนี้กลับดูเย็นชาจนเดาความคิดแทบไม่ออกด้วยซ้ำ จากเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ก้าวมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยวัยจะเข้าสามสิบปี ทำให้ดูสุขุมเยือกเย็น
แต่เอกรัฐเหมือนจะคว้าน้ำเหลว เพราะโทรไปเท่าไหร่ปลายสายกลับไม่มีท่าทีจะยอมรับ แต่ถ้าไม่ใช่อธิเมศร์ เขาก็มองไม่เห็นใครอื่นแล้ว เพราะงานนี้มันซับซ้อนจนกลัวคนที่ไม่ไว้วางใจหรือฝีมือไม่ดีพอแล้วทำพลาด เอกรัฐพิมพ์ข้อความก่อนจะส่งออกไปยังเบอร์ของอธิเมศร์ ก่อนจะเฝ้ารอให้ชายหนุ่มติดต่อกลับมาหาตน ใจเขาร้อนเหมือนไฟเพราะเวลาเดินเร็วไม่คอยท่า ป่านนี้ณชาณัธฐ์อาจจะเดินทางกลับแล้วก็เป็นได้ เอกรัฐรอสายของอธิเมศร์นานเกือบสามชั่วโมง ก่อนจะได้รับโทรศัพท์จากคนที่รออยู่
“ครับพี่” อธิเมศร์เอ่ยทักเอกรัฐเสียงเรียบ ถึงแม้เมื่อครู่เขาพึ่งสอยคนตามใบสั่งร่วงลงดิน ส่งวิญญาณสู่ภพที่ต้องการตามใบสั่งของใครก็ช่าง แต่เขาคือนักฆ่าที่จะไม่รับรู้เกี่ยวกับประวัติของเป้าหมายทั้งสิ้น ทำตัวเหมือนมัจจุราชกระชากวิญญาณของคนพวกนั้นให้หลุดลอย แต่มีงานหนึ่งที่เขาจะไม่รับทำ นั่นคือการฆ่าเพศที่ได้ชื่อว่าแม่
“พี่กำลังรอสายนายอยู่พอดีเสือ พอจะมีเวลาว่างออกไปคุยกันหรือเปล่า”
“ที่ไหน?” เอกรัฐบอกสถานที่ไป โดยเลือกที่ลับตาผู้คนหน่อยจะได้ไม่ผิดสังเกต เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ว่ากันและกันทำงานอะไร ประมาณหนึ่งชั่วโมงภายในลานจอดรถของฟิตเนสแห่งหนึ่ง รถของอธิเมศร์กับเอกรัฐขับมาสวนทางกันแต่หยุดเพื่อพูดคุย
