บทที่ 4
“ปอมาอยู่ที่อังกฤษนานหรือยัง?” นวคุณเอ่ยถามขึ้น เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เขายังไม่เคยพูดถามไถ่เรื่องนี้กับเธออย่างจริงๆ จังๆ เสียที
“ตั้งแต่เกรดหนึ่ง”
“เข้าปีที่เจ็ดแล้วสิ” น้ำเสียงชายหนุ่มฟังดูตื่นเต้น แต่การพูดของณชาณัธฐ์ไม่ได้ดัดจริตอังกฤษคำไทยคำเหมือนนักเรียนไทยที่นี่บางคน ที่เขาฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ประมาณนั้นแหละ ถูกพ่อจับส่งมาเรียน เมื่อก่อนไม่ชอบเลยแต่ตอนนี้ชอบที่นี่แล้ว” ณชาณัธฐ์ยักคิ้วให้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีใครถามเธอแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากขนาดคุยได้ทุกเรื่องแบบเขาก็เป็นได้ จะมีก็แค่แก๊งค์เพื่อนในห้องเรียนกับที่อพาร์ทเม้นท์เท่านั้น ส่วนเพื่อนที่เมืองไทย ป่านนี้คงลืมเธอไปแล้วเป็นแน่ๆ
“พี่แฟรงค์ล่ะ มาอยู่นานหรือยัง”
“จะห้าปีแล้ว”
“ชอบที่นี่ไหม” หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม
“เมื่อก่อนเฉยๆ ถึงขั้นไม่ชอบ แต่ตอนนี้ชอบแล้ว” คำว่าชอบบวกแววตาส่งมายังณชาณัธฐ์ แต่หญิงสาวกลับไม่ได้คิดอะไรเพราะชายหนุ่มตรงหน้าคือเพื่อนเท่านั้น แต่สำหรับนวคุณจะเป็นแค่เพื่อนก็ได้ หรือถ้าณชาณัธฐ์ให้เขาเป็นมากกว่านั้นก็ยินดี
“เหมือนกัน” ณชาณัธฐ์ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ แสดงออกถึงความน่ารักของตัวเองให้นวคุณเห็นและสัมผัสอีกครั้ง
“แล้วนี่ปอกลับบ้านบ่อยหรือเปล่า?” หญิงสาวส่ายหน้าให้กับคำถามของนวคุณ
“พึ่งกลับครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่”
“เฮ้ย…จริงเหรอ” ชายหนุ่มดูแปลกใจ เพราะผู้หญิงน่าจะกลับบ้านบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ไม่คิดถึงบ้านบ้างเลยหรือไง ขนาดเขายังคิดถึงจะแย่ โดยเฉพาะรสชาติอาหารของเมืองไทย
“จริงสิ จะโกหกทำไม ปอไม่ค่อยได้กลับบ้านหรอก แล้วพี่แฟรงค์กลับบ่อยไหม” ณชาณัธฐ์เอ่ยถามกลับบ้าง
“ปีละครั้ง”
“กลับบ่อยจัง” หญิงสาวมองเลยไปยังบ่อน้ำพุที่อยู่ด้านหลังนวคุณ รูปร่างมันเหมือนกับอันที่อยู่หน้าบ้านเธอจัง พอรู้ว่าจะกลับบ้านก็คิดถึงขึ้นมามากอย่างบอกไม่ถูก
“ครั้งนี้ปอจะกลับเมืองไทยนานไหม?”
“คงประมาณอาทิตย์หนึ่งมั้ง ดูก่อนว่าที่บ้านมีอะไรให้ทำ ถ้าสนุกก็จะทำต่อ แต่ถ้าไม่ก็กลับ” ณชาณัธฐ์เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าการกลับบ้านครั้งแรกของเธอหลังจากมาอยู่ที่อังกฤษนานถึงเจ็ดปี เธอจะอยู่ที่เมืองไทยสักกี่วัน
“ปอกลับบ้านนานแบบนี้พี่ก็คงเหงาแย่”
“ไม่หรอก…เพื่อนของพี่แฟรงค์ก็ตั้งหลายคนนี่นา” ณชาณัธฐ์ไม่ได้คิดอะไรกับประโยคของนวคุณ ทั้งๆ ที่มันมีความหมายอย่างอื่นแฝงอยู่
“มันไม่เหมือนกัน แล้วนี่ปอจะกินของหวานไหม?” นวคุณเอ่ยถาม เพราะเขาก็คงรอให้เธอกลับมานั่นแหละ หรือไม่ก็กลับเมืองไทยตามเธอไปอีกคน ซึ่งดูอย่างหลังจะเป็นไปไม่ได้ เพราะตารางกลับบ้านของเขาถูกเซ็ทไว้แล้วว่าจะกลับช่วงไหนบ้าง
“ไม่เอาละ ปออิ่มมากแล้ว” ณชาณัธฐ์ส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้คำชวนนั้น เพราะตอนนี้เธอรู้สึกอิ่มแล้วจริงๆ หญิงสาวนั่งมองรอบๆ บริเวณที่นั่งทานอาหารอยู่ บรรยากาศของเมืองใหม่ สถานที่แปลกใหม่ที่ต้องมาใช้ชีวิตเพื่อร่ำเรียน ถึงจะเหงาไปบ้างแต่ก็มีอิสระไม่น้อย
เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ทั้งสองก็กลับอพาร์ทเม้นท์ โดยที่นวคุณเป็นคนหิ้วของที่หญิงสาวซื้อมามากมายหลายถุงให้หญิงสาว ถ้าดูผิวเผินคนอื่นอาจมองว่าทั้งคู่เป็นคู่รักก็เป็นได้ เพราะดูน่ารักและเป็นธรรมชาติยามพูดคุย
กระทั่งถึงห้องณชาณัธฐ์ก็ขอบอกขอบใจนวคุณเป็นการใหญ่ที่วันนี้ชายหนุ่มช่วยเธอได้มาก ก่อนจะแยกตัวเข้าไปในห้องเพื่อจัดของ ส่วนนวคุณก็กลับห้องพักตัวเองที่อยู่ชั้นบน
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะ” อาเรีย หญิงสาวเมืองผู้ดี ผมสีน้ำตาลบรอนด์ นัยน์ตาสีสวย เพื่อนเรียนของนวคุณตั้งแต่เกรดสี่จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเลือกเรียนคณะเดียวกันเอ่ยถาม
“ก็คนมันมีความสุข แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้” นวคุณมองเพื่อนสาวที่ยืนกอดอกพิงผนังห้องเขาอยู่ ดูวันนี้หน้าตาอาเรียไม่ค่อยจะรับแขกสักเท่าไหร่เลย สงสัยไปกินรังแตนมาเป็นแน่ ชายหนุ่มไขกุญแจเข้าไปในห้อง ซึ่งอาเรียก็เดินตามเขาเข้าไปด้วย หญิงสาวสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ห้อง ออกอาการตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้ามาที่นี่ ก่อนจะพยายามตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“รอนาย”
“รอฉันทำไม” ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวมองมายังหญิงสาวตรงหน้า
“ก็ที่เราจะไปเที่ยวต่างเมืองตอนปิดเทอมไง นายยังไม่ให้คำตอบเลยว่าจะไปหรือไม่ไป” อาเรียทวนความจำให้นวคุณ แต่เท่าที่จำได้ชายหนุ่มเคยบอกแล้วว่าไม่ไป ซึ่งเธอจะตื้อเขาให้ไปพร้อมกันจนได้
“ไป”
“อ้าว…จะไปเหรอ” คำตอบของนวคุณทำให้อาเรียแปลกใจ เธอยังไม่ได้หว่านล้อมเขาเลยนี่นา ทำไมตอบตกลงง่ายกว่าที่คิด หรือเพราะสิ่งที่เห็นเมื่อครู่กัน
“อื้อ…ไป อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ทำ”
“ทำไม หรือเพราะเด็กคนนั้นจะไม่อยู่ นายก็เลยตัดสินใจไปกับเราขึ้นมา” คำพูดของอาเรียทำให้นวคุณไหวไหล่ให้ เธอรู้เรื่องการจะกลับเมืองไทยของณชาณัธฐ์ด้วยอย่างนั้นเหรอ
“ใช่”
“ไปก็ดี งั้นฉันกลับห้องก่อนแล้วกัน” อาเรียเดินกลับออกไปจากห้องนวคุณด้วยใบหน้าบึ้งตึง เพราะคำพูดเขามันช่างเสียดแทงหัวใจเสียเหลือเกิน ที่เขาจะไปเที่ยวด้วยเธอก็ดีใจอยู่หรอก แต่ทำไมถึงรู้สึกน้อยใจชายหนุ่มอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้กัน แต่ชายหนุ่มก็มองไม่เห็นความผิดปกตินั้น
