บทที่ 5 ลูกชาย
ไอ้ตุลย์กลับมาแล้วนะฟาง เสียงสะท้อนของประโยคนี้วนเวียนอยู่ภายในหัวของฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นแม้แต่วินาทีเดียวที่ได้รับรู้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดไม่เหมือนเดิมมาตลอดสุดทางแม้แต่เข้ามาในวังตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ การคิดมากของตัวเองเริ่มหายไปเมื่อมีนิ้วมือยาวดีดกลางหน้าผากเพื่อให้รู้สึกตัว
“ตื่น เครียดอะไรนักหนาเรียกเป็นสิบครั้งแล้ว”
“พี่...” เสียงฉันเอ่ยได้แค่นี้แล้วก็หยุดลงเมื่อเสี้ยวใบหน้าเรียวเข้ามาใกล้ระดับที่หายใจรดลงบริเวณแก้มของฉัน เขาไม่ทำอะไรมากกว่ากระตุกยิ้มแล้วปลดสายเบลท์ออกให้ก่อนถอยออกไป “นี่ไม่...”
“มันกลับมาแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“…”
“เชื่อดิ”
ถึงจะเป็นคำยืนยันแต่มันทำให้มั่นใจไม่ได้เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมาทุกอย่างทำให้ฉันไม่สามารถวางใจสักนิดเดียว อะไรมันเกิดขึ้นได้เสมอแม้แต่สิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ก็เถอะ
ที่ผ่านมามันเป็นบทเรียนให้ทั้งชีวิตฉันและก็เขาโดยไม่ใช่เรื่องของตัวเองทุกอย่างเป็นเรื่องของคนอื่นที่มักถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนทว่าพอมันลงตัวไอ้พายุลูกเก่าก็เหมือนกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเบาหรือว่าแรงหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม
“แต่...” ฉันกำลังจะแย้งขึ้น
“สิทธิของมันหายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วฟาง มาตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรนอกจากความเจ็บปวดหรอก”
“…”
“แค่มันมองความเจ็บปวดก็เล่นเข้าตัวมันหมดแล้วอย่ากังวลเลยไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น เข้าบ้านกัน”
เขาลงจากรถอ้อมเดินมาฝั่งฉันแล้วเปิดประตูให้พร้อมกับยิ้มหวานออกมาทั้งที่เป็นคนยิ้มยากอยู่แล้ว ทุกคนที่รู้จักเขาผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบผิวขาวๆ จนเห็นเส้นเลือดเด่นออกสะท้อนกับเรือนผมสีดำสนิทเป็นอย่างดียังไม่รวมจมูกสันโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูปเรียกว่าใบหน้าครบเครื่องเรื่องความดูดี ภายนอกภาพคุณชายออร่าจับมากทว่านิสัยด้านในล้วนสวนทาง
เขาไม่ได้มาดคุณชายตลอดเวลา
เขาไม่ได้สุภาพอะไรขนาดนั้น
และเขาก็ไม่ได้ใจดี
“พ่อ!”
เด็กชายวันสามขวบกว่าเมื่อเห็นเขาที่เดินนำหน้าฉันเข้ามาใบบ้านหลังใหญ่ก็รีบทิ้งปืนของเล่นในมือลงกระทบพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก สองเท้าเล็กที่สวมสลิปเปอร์เด็กสีเทาด้านหน้ามีลวดลายเป็นใยแมงมุมก็รีบวิ่งอ้าแขนเข้ามากระโดดใส่คนเป็นพ่อในทันที สองแขนในชุดเรียบแขนยาวสีเทากับกางเกงขาสั้นสีขาวเมื่อโดดคนเป็นพ่ออุ้มตัวลอยแบบนั้นมีเหรอที่จะไม่กอดคอคนเป็นพ่อแน่นอีกทั้งสองขายังกอดรัดเอวแน่น
“คิดถึงพ่อขนาดนั้นเลยใช่มั้ยครับ”
“คิดถึงมากเลยครับ”
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างยิ้มไปตามๆ กันไม่เว้นแม้แต่สาวใช้เว้นเสียแต่ว่าคนเดียวเมื่อฉันหันไปมองเขาที่นั่งอยู่นั้นที่ไม่มีรอยยิ้มเลยคงเป็นคนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศคนนี้
“เห็นคนเป็นพ่อรีบวิ่งทิ้งปืนที่พี่ชายตุลย์ซื้อมาให้เลย”
อ่าแบบนี้นี่เอง
ลูกชายฉันเล่นทิ้งแบบไม่แคร์เสียด้วยสิแต่ไม่เป็นไรหรอกฉันปล่อยให้พ่อลูกเขาหยอกล้อกันแบบนั้นเดี๋ยวเหนื่อยสองคนนี้ก็หยุดเองส่วนตัวเองก็เดินออกมาส่งยิ้มให้กับคนที่ส่งยิ้มหวานท่าทางผู้รากมากดีแบบสุดๆ แทน
ผู้หญิงวัยกลางคนที่คาดผมตรงหน้าแล้วปล่อยผมยาวดำจรดไปตามแผ่นหลังใส่เสื้อแบรนด์ดังมองแค่ตาก็รับรู้ว่ามันราคาแพงเครื่องประดับมุกบนตัวถึงจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทว่าพออยู่บนตัวมันกับเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ดูดีเหมือนมาจากผู้ดีอังกฤษ
น่าเกรงขามและก็น่าให้ความเคารพ
ยิ่งมีรอยยิ้มหวานแสดงขึ้นความอ่อนโยนก็ปกคลุม
ท่านคือหม่อมเจ้าดารุณี สัตบรรณภริยาของพระองค์เจ้ารัชกรณ์ สัตบรรณ ผู้ที่เป็นใหญ่ในวังสัตบรรณแห่งนี้อีกบุคคลหนึ่ง
“สวัสดีค่ะคุณแม่” ใช่ฉันเรียกหม่อมเจ้าดารุณี สัตบรรณว่าคุณแม่เหมือนที่ท่านเคยบอกถึงแม้จะยังไม่ชินก็ตามพร้อมกับเข้าไปนั่งข้างอีกฟากหนึ่งจากนั้นก็หันไปมองคนๆ นั้นที่ยังมองสองพ่อลูกหยอกล้อกัน ฉันรู้จักเขามานานแล้วแหละคนๆ นี้คือหม่อมราชวงค์ตุลย์ สัตบรรณ “สวัสดีค่ะพี่ชายตุลย์”
“สวัสดีจ๊ะหนูฟาง แม่คิดถึงหนูมากเลย”
“ฟางก็คิดถึงคุณแม่ค่ะ คิดถึงมากๆ เช่นกันค่ะ”
หม่อมดารุณีขยับตัวเข้ามาโอบกอดฉันพร้อมกับรอยยิ้มหวานของท่าน ยิ้มที่ฉันชอบเป็นพิเศษเพราะมันทำให้ตัวเองยิ้มตามได้อย่างง่ายดายที่สุด
“สวัสดีครับน้องฟาง” ก่อนหน้าพี่ชายตุลย์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทักทายของฉันเข้าไปให้ได้ยิน ใบหน้าได้รูปหันมายิ้มพร้อมกับรับไหว้ฉัน พี่ชายตุลย์ไปเรียนต่อที่อังกฤษพึ่งกลับมาเองอายุก็ห่างกันกับฉันเกือบสองปีเท่ากันกับพี่แฟแหละถ้าจะให้เปรียบ “น้องฟางสบายดีนะครับ”
“สบายดีค่ะ”
